รถใหม่
งานแสดงรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคืองานอะไร? คำถามนี้น่าจะหาคำตอบที่ลงตัวได้ยาก ขึ้นอยู่กับว่าผู้ตอบคำถามนี้คือใคร? และตีความหมายของคำว่า "ยิ่งใหญ่" ไว้อย่างไร? วัดจากพื้นที่จัดงาน วัดจากจำนวนผู้เข้าชมงาน วัดจากจำนวนรถที่แสดงในงาน หรือด้วยเกณฑ์วัดใดๆ
งานแสดงรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคืองานอะไร? คำถามนี้น่าจะหาคำตอบที่ลงตัวได้ยาก ขึ้นอยู่กับว่าผู้ตอบคำถามนี้คือใคร? และตีความหมายของคำว่า "ยิ่งใหญ่" ไว้อย่างไร? วัดจากพื้นที่จัดงาน วัดจากจำนวนผู้เข้าชมงาน วัดจากจำนวนรถที่แสดงในงาน หรือด้วยเกณฑ์วัดใดๆ
หากตั้งคำถามนี้กับคนรักรถในเยอรมนี คำตอบที่รับน่าจะเป็น "มหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท" งานแสดงรถยนต์รายการสำคัญของเมืองเบียร์ซึ่งมีขึ้นเป็นประจำทุกๆ สองปีในปีคริสตศักราชที่ลงท้ายด้วยเลขคี่ หากตั้งคำถามนี้กับเศรษฐีใหม่บางคนในสาธารณรัฐประชาชนจีน คำตอบที่ได้อาจจะเป็น"มหกรรมยานยนต์เซี่ยงไฮ้" งานแสดงรถยนต์ของเมืองมังกรที่เดินแล้วเดินอีกเดินกันสองวันเต็มๆ ก็ยังดูรถได้ไม่ครบทุกคัน หากตั้งคำถามเดียวกันนี้ในเมืองไทยกับคนเดินดินกินข้าวแกงที่เลิกเดินไปแล้วเพราะเพิ่งใช้สิทธิซื้อรถคันแรกของรัฐบาลนายกปู คำตอบที่ได้รับก็อาจจะเป็น"มหกรรมยานยนต์"ที่จัดกันเป็นประจำทุกๆ ปลายปีย่านถนนแจ้งวัฒนะ เพราะเป็นงานแสดงรถยนต์ระดับเอกซ์เอกซ์แอลที่มีผู้ชมเป็นล้าน แถมยังเข้าชมงานได้ฟรีทุกคนหากเป็นปีที่น้องน้ำยกกองทัพบุกเมืองกรุงอีกต่างหาก
สุดท้ายหากตั้งคำถามนี้กับคนฝรั่งเศส แน่นอนว่าคำตอบจะเป็นอื่นไปไม่ได้ถ้าไม่ใช่ MONDIAL DE L'AUTOMOBILE หรือ "มหกรรมยานยนต์ปารีส" งานแสดงรถยนต์รายการสำคัญซึ่งจัดกันในนครหลวงของฝรั่งเศสเป็นประจำทุกๆ สองปีในปีคริสตศักราชที่ลงท้ายด้วยเลขคู่ ที่คนฝรั่งเศสกล้าตอบคำถามนี้โดยไม่ลังเลก็ดูสมเหตุสมผลอยู่ เพราะแม้แต่ผู้จัดงานนี้คือองค์กรเอกชนที่มีชื่อว่า COMITE DES CONSTRUCTEURS FRANCAIS D'AUTOMOBILE (CCFA) ในภาษาฝรั่งเศส ซึ่งตรงกับ THE COMMITTEE OF FRENCH AUTOMOTIVE MANUFACTURERS ในภาษาอังกฤษ หรือ "คณะกรรมการของผู้ผลิตรถยนต์แห่งประเทศฝรั่งเศส" ในภาษาไทย ยังกล้าประกาศยืนยันอย่างเป็นทางการทั้งโดยคำพูดและเป็นลายลักษณ์อักษรว่า THE PARIS MOTOR SHOW IS THE BIGGEST MOTOR SHOW IN THE WORLD หรือ"มหกรรมยานยนต์ปารีสคืองานแสดงรถยนต์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก"
ที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ก็คือ มหกรรมยานยนต์ที่จัดในนครหลวงของเมืองน้ำหอมรายการนี้ เป็นงานแสดงรถยนต์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพราะจัดต่อเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 1898 จะขาดตกยกเว้นไปบ้างก็เฉพาะในช่วงที่มีปัญหา เช่นในช่วงปี 1939-1945 ที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 เดิมเคยจัดทุกปีและใช้ชื่องานเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า SALON DE L'AUTOMATIVE ภายหลังจึงเปลี่ยนเป็นจัดทุกๆ สองปี รวมทั้งเปลี่ยนชื่องานเป็นชื่อที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน คือ MONDIAL DE L'AUTOMOBILE เพื่อให้ดูเป็นงานระดับโลกที่แท้จริง ไม่ใช่งานที่จัดกันเองดูกันเอง
สถานที่จัดงานเป็นศูนย์นิทรรศการขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในย่านที่เรียกในภาษาท้องถิ่นว่า PLACE DE LA PORTE DE VERSAILLES ซึ่งอยู่ในแถบใต้ของกรุงปารีส มีลักษณะและบรรยากาศคล้ายๆ กับสถานที่จัดงานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทในเยอรมนี คือประกอบด้วยอาคารขนาดเล็กขนาดกลางขนาดใหญ่รวม 7 อาคาร อาคารแรกกับอาคารสุดท้ายอยู่ห่างกันไกลเป็นกิโล เดินกันเมื่อยแล้วเมื่อยอีกก็ยังหยุดเดินไม่ได้เพราะยังดูไม่หมด ไม่เหมือนงานมหกรรมยานยนต์เจนีวาในสวิทเซอร์แลนด์ ที่พื้นที่จัดงานเกือบทั้งหมดรวมอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน
งานปีนี้มีขึ้นในช่วงเวลา 16 วัน คือระหว่างวันเสาร์ที่ 29 กันยายน จนถึงวันอาทิตย์ที่ 14 ตุลาคม 2012 โดยที่สองวันก่อนหน้านั้นคือวันพฤหัสบดีที่ 27 กับวันศุกร์ที่ 28 เป็นวันที่เปิดให้เข้าชมเป็นพิเศษเฉพาะสื่อมวลชนแขกรับเชิญ และผู้ที่ไม่ได้เป็นทั้งสื่อมวลชนและแขกรับเชิญแต่บังเอิญคุ้นเคยกับคนเฝ้าประตู และน่าจะเป็นหนึ่งในบรรดาคนในกลุ่มหลังนี่เอง คือตัวแสบที่ทำให้คนหนึ่งในคณะของเราต้องสูญเสียเงินครึ่งแสนและบัตรเครดิทบัตรเดบิทอีกหลายใบ
เคยตำหนิงานมหกรรมยานยนต์ปักกิ่งในเมืองจีนมาแล้ว คราวนี้เจอเข้ากับตัวเองในเมืองน้ำหอม เหตุเกิดขณะที่คณะของเราจัดการกับมื้อกลางวันในภัตตาคารขนาดย่อมที่อยู่ในงาน เมื่ออิ่มหมีพีพันกันแล้วก็เตรียมจะเดินออกจากร้าน สมาชิกของเราคือ คุณประพงษ์ ไม้เจริญ ก็หันไปทางซ้ายหมายจะหยิบกระเป๋าเป้ที่วางไว้บนเก้าอี้ ปรากฏว่าเจอแต่เก้าอี้ว่างไม่มีกระเป๋า นั่งกันอยู่สามคนแท้ๆ แต่ไม่มีใครเห็นเลยว่ามือดีแต่ใจชั่วหยิบเอาไปตั้งแต่เมื่อไหร่?
ผู้จัดงานระบุว่า งานปีนี้มีบริษัทรถยนต์และสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์จาก 21 ประเทศ นำผลงานออกแสดงรวม 270 ยี่ห้อ และมีรถยนต์ที่อวดตัวแบบ PREMIERE MONDIAL หรือ "ครั้งแรกในโลก" มากกว่า 80คัน เลือกมาให้ชมเป็นบางคันเฉพาะคันที่น่าสนใจ พลิกไปชมได้เลยครับใน 22 หน้าถัดไป ต้องขออภัยที่บางภาพอาจดูพร่ามัวไปบ้าง เพราะเกิดความผิดพลาดในการตั้งกล้อง มาพบความผิดพลาดก็ตอนเอาภาพขึ้นจอหลังเสร็จงาน จึงจนปัญญาจะแก้ไข
เปอโฌต์ โอนิกซ์
เพื่อให้สมกับเป็นงานใหญ่ในบ้าน ค่าย "สิงห์เผ่น" จึงนำผลงานใหม่ออกอวดตัวในงานนี้หลายชิ้นทั้งรถตลาดและรถแนวคิด คันที่อุทิศพื้นที่ให้อย่างจุใจคือ เปอโฌต์ โอนิกซ์ (PEUGEOT ONYX) ในภาพใหญ่และภาพบน เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ทระดับ "ซูเพอร์คาร์" รูปทรงบาดตากระทบใจ ตัวถังซึ่งกว้างแต่เตี้ย คือยาว 4.650 ม.กว้าง 2.220 ม.และสูง 1.130 ม.ประกอบขึ้นจากวัสดุหลายชนิด รวมทั้งแผ่นทองแดงที่ขัดมันจนวามวับเหมือนแผ่นกระจกและวัสดุสังเคราะห์มวลเบาแต่แข็งแรงซึ่งมีชื่อเรียกในภาษาวิทยาศาสตร์ว่า MONOLITHIC CARBON หลังคาซึ่งทำจากวัสดุสังเคราะห์โปร่งแสง PMMA (POLYMETHYL METHACRYLATE) ออกแบบให้มีรูปทรงเหมือน DOUBLE-BUBBLE หรือ"ฟองสบู่แฝด"และวางตัวอย่างมั่นคงอยู่บนโครงสร้างคานโค้งที่ทำจากอลูมิเนียม เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลังแบบไฮบริด โดยใช้เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง วี 8 สูบ 3.7 ลิตร 600 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า
เปอโฌต์ แอร์เซเซด
ค่าย "สิงห์เผ่น" เลือกใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวรถคูเปเล็กดีรสโตติดป้ายชื่อ เปอโฌต์ แอร์เซเซด (PEUGEOT RCZ) รุ่นที่เพิ่งผ่านการปรับปรุงแบบ"ยกหน้า"และบอกว่าต้องรอจนถึงไตรมาสที่สามของปี 2013 นั่นแหละ จึงจะออกจำหน่ายในเมืองน้ำหอม หน้าตาและรูปทรงองค์เอวดูเผินๆ เหมือนไม่มีอะไรแตกต่างจากรถรุ่นเดิมที่อยู่ในสายการผลิตมาตั้งแต่ต้นปี 2010 แต่ที่จริงมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายทั้งภายในภายนอก รวมทั้งมีรถรุ่นพิเศษคือ PEUGEOT RCZ R คันที่เห็นในภาพ ซึ่งปรากฏตัวที่งานนี้ในลักษณะรถแนวคิด ยังไม่ใช่รถตลาดสมบูรณ์แบบ รถรุ่นพิเศษนี้จะติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินความจุ 1.6 ลิตร ที่เคยเห็นกันมาแล้วในรถ มีนี และ ซีตรอง บางรุ่น แต่จะปรับแต่งเป็นพิเศษจนกำลังสูงสุดพุ่งทะยานขึ้นเป็น 260 แรงม้า
เปอโฌต์ 301
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่ง ที่ยักษ์รองของเมืองน้ำหอมนำออกอวดตัวในงานนี้ คือ เปอโฌต์ 301 (PEUGEOT 301) รถฝรั่งเศสที่ไม่ได้ทำไว้ขายคนฝรั่งเศส เป็นรถเก๋งซีดานขนาดเล็กกะทัดรัดในตัวถังยาว 4.442 ม.กว้าง 1.748 ม.และสูง 1.466 ม.ที่ออกแบบสำหรับตลาดยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง แอฟริกา ละตินอเมริกา และสาธารณรัฐประชาชนจีน มีกำหนดออกจำหน่ายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2012 โดยมีเครื่องยนต์ให้คนรักรถซึ่งนิยมของดีแต่ราคาย่อมเยาเลือกใช้รวม 3 ขนาด คือเครื่องเบนซิน 4 สูบเรียง 1,199 ซีซี 72 แรงม้า เครื่องเบนซิน 4 สูบเรียง 1,587 ซีซี 115 แรงม้า และเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง 4 สูบเรียง 1,560 ซีซี 92 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์มี 2 แบบ คือเกียร์ธรรมดา 5 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ
เปอโฌต์ 208 จีทีไอ
ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งล่าสุดเมื่อตอนต้นปี ค่าย "สิงห์เผ่น"เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนและผู้ชมงานด้วยการนำรถรุ่นใหม่คือ เปอโฌต์ 208 (PEUGEOT 208) ออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ที่งานนี้รถ 208 สวมบทบาทนางเอกอีกครั้งหนึ่ง ที่พิเศษกว่างานก่อนก็คืองานนี้มีรถโมเดลพิเศษติดป้ายชื่อ เปอโฌต์ 208 เฌเตอี (PEUGEOT 208 GTI) ร่วมขบวนอยู่ด้วย เป็นรถที่ออกแบบและพัฒนาสำหรับผู้พิสมัยรถเล็กแต่เร็วอย่างที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า HOT HATCH รถโมเดลนี้ติดตั้งเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง ความจุ 2.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงถึง 200 แรงม้า และถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ รถหน้าตาซื่อๆ อย่างนี้ แต่อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ในเวลาไม่ถึง 7.0 วินาที
เปอโฌต์ 208 เอกซ์วาย
แต่งแต้มสีสันให้แก่รถอนุกรม 208 เช่นกัน คือ เปอโฌต์ 208 เอกซ์วาย (PEUGEOT 208 XY) รถซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถ เปอโฌต์ 208 แบบพิเศษ ออกแบบสำหรับการใช้งานในเมือง และมีผู้ใช้รถวัยหนุ่มวัยสาวเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ห้องโดยสารที่นั่งได้รวม 5 คน ตกแต่งอย่างสวยงามและเพียบไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและความบันเทิงสมยุคสมสมัย แถมติดตั้งเครื่องยนต์ที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไม่หนักหนาสาหัส คือ เครื่องเบนซิน 1.6 ลิตร 120 แรงม้า (อัตราเฉลี่ย 134 กรัม/กม.) เครื่องเทอร์โบเบนซิน 1.6 ลิตร 155 แรงม้า (135 กรัม/กม.) เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง 1.6 ลิตร 92 แรงม้า (98 กรัม/กม.) และเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง 1.6 ลิตร 115 แรงม้า (99 กรัม/กม.)
เปอโฌต์ 2008 คอนแซพท์
ตัวถังเคลือบสีเขียวสะท้อนแสงที่กระทบสายตาแต่ไกล ส่งผลให้ เปอโฌต์ 2008 คอนเซพท์ (PEUGEOT 2008 CONCEPT) กลายเป็นจุดโฟคัสความสนใจในบูธของค่าย "สิงห์เผ่น" ที่ตั้งอยู่ภายในอาคารหมายเลข 1 ศึกษาข้อมูลแล้วก็ไม่รู้สึกประหลาดใจอะไรเมื่อพบว่า รออีกไม่นานจนเกินรอรถแนวคิดคันนี้จะเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาดแน่นอน เพราะค่าย "สิงห์เผ่น" ยืนยันแล้วว่า นี่คือต้นแบบของรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็กกะทัดรัดที่ตั้งใจจะผลิตขายในตลาดทั่วโลก รวมทั้งยืนยันด้วยว่าจะมีการผลิตทั้งในฝรั่งเศส ในสาธารณรัฐประชาชนจีน และในบราซิล เป็นรถอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า COMPACT SOFT-ROADER คือเป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งที่ออกแบบสำหรับงานเบาไม่ใช่งานลุย และกลุ่มลูกค้าเป้าหมายคือผู้ใช้รถวัยหนุ่มวัยสาวที่มีชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในเมือง ตัวถังยาว 4.140 ม.และกว้าง 1.740 ม.ซึ่งมีพื้นสูง จะวิ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยพลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 3 สูบเรียง 1.2 ลิตร 110 แรงม้า ที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ไม่มาก
ซีตรอง เดแอส ตรัวส์ กาบริโอ
ค่าย "จ่าโท"เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนด้วย ซีตรอง เดแอส ตรัวส์ กาบริโอ (CITROEN DS3 CABRIO) ซึ่งอวดแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถเปิดประทุนขนาดซูเพอร์มีนี พัฒนาจากรถแฮทช์แบคชื่อเดียวกันที่ออกโชว์รูมมาแล้วเกือบสองปี ตัวถังยาว 3.950 ม.กว้าง 1.710 ม.และสูง 1.460 ม.ติดตั้งประทุนหลังคาแบบอ่อน เปิด/ปิดด้วยการกดปุ่มโดยใช้เวลา 16 วินาที และสามารถเปิด/ปิดประทุนได้แม้เมื่อรถกำลังวิ่งด้วยความเร็วระดับ 120 กม./ชม. แถมยังเปิดได้ถึง 3 ลักษณะ คือ เปิดครึ่งๆกลางหรือ INTERMEDIATE เปิดเกือบหมดหรือ HORIZONTAL และเปิดหมดหรือ TOTAL นอกจากนั้น ด้วยเหตุเป็นรถตระกูล DS ที่เน้นแฟชัน จึงมีสีให้เลือกถึง 3 สี คือ สีดำ สีฟ้า และสี DS MONOGRAMME เฉพาะสีหลังนี่ยังค้นไม่พบว่าคือสีอะไร?
ซีตรอง เดแอส ตรัวส์ เอเลกตรุม
อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้เช่นกัน แต่ดูไม่ค่อยเป็นที่สนใจสักเท่าไหร่ คือ ซีตรอง เดแอส ตรัวส์ เอเลกตรุม (CITROEN DS3 ELECTRUM) รถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถไฟฟ้าที่พัฒนาจากรถเครื่องยนต์สันดาปภายในติดป้ายชื่อ ซีตรอง เดแอส 3 (CITROEN DS3) เป็นรถขับล้อหน้าด้วยพลังของมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 65 กิโลวัตต์/88 แรงม้า จำนวน 2 ชุด และใช้แบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 17.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง ของบริษัทผู้ผลิตเครื่องไฟฟ้า PANASONIC ประจุไฟเต็มหม้อแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 120 กม. แต่จะน้อยกว่านี้หากประจุไฟแบบเร่งด่วนซึ่งใช้เวลาแค่ 30 นาที และได้ปริมาณไฟไม่เต็มหม้อแต่ได้แค่ร้อยละ 80 ยังไม่บอกว่าจะทำขายหรือไม่? และถ้าทำ จะต้องรอนานแค่ไหน?
ดาเซีย ซันเดโร สเตพเวย์
ผู้ผลิตรถยนต์ของโรมาเนียซึ่งมียักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสเป็นเจ้าของ นำผลงานใหม่ออกแสดงในงานนี้รวม 3 ชิ้น ชิ้นที่น่าสนใจและเลือกมาให้ชมกันคือ ดาซีอา ซันเดโร สเตพเวย์ (DACIA SANDERO STEPWAY) คันสีฟ้าที่เห็นในภาพ เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็กกะทัดรัดพัฒนาจากรถเก๋งแฮทช์แบค ที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองน้ำหอมกำลังจะนำออกสู่โชว์รูม โดยมีเครื่องยนต์ไอเสียสะอาดให้เลือกใช้รวม 2 ขนาด คือเครื่องเทอร์โบเบนซิน SOHC 3 สูบเรียง 898 ซีซี 90 แรงม้า ซึ่งปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 120 กรัม/กม.โดยเฉลี่ย กับเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง SOHC 4 สูบเรียง 1,461 ซีซี 90 แรงม้า ที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 105 กรัม/กม. เป็นรถค่าตัวย่อมเยามาก มีเงินแค่ 10,000 ยูโรก็ซื้อได้แล้ว แถมยังมีเงินเหลือไว้เติมน้ำมัน
เรอโนลต์ กลีโอ
ยักษ์ใหญ่ของเมืองน้ำหอมซึ่งตั้งบูธอยู่ในอาคารหมายเลข 1 อุทิศพื้นที่เกือบทั้งหมดให้แก่การให้แก่รถเล็ก เรอโนลต์ กลีโอ (RENAULT CLIO) ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถรุ่นที่ 4 ในตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค และ 5 ประตูตรวจการณ์ ที่กำลังจะออกจำหน่าย ในเมืองน้ำหอม พร้อมกับรายการ "แต่งรถตามใจรัก" ที่เรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า PERSONALISATION PROGRAMME เปิดโอกาสให้ผู้ซื้อรถสามารถเลือกรายละเอียดต่างๆ ได้ตามใจชอบ ตัวอย่างเช่น เลือกแถบตกแต่งแผงหน้าปัดอุปกรณ์และประตูหน้าต่างได้ 4 สี คือ สีดำ สีแดง สีฟ้า สีงาช้าง และเลือกแถบลวดลายตกแต่งหลังคาได้ 3 แบบ คือ TRENDY ELEGANT หรือ SPORT ส่วนคันสีเหลืองที่เห็นในภาพ เป็นรถโมเดลหัวกะทิติดป้ายชื่อ RENAULT CLIO RS 200 EDC ซึ่งทำขึ้นเป็นพิเศษเพื่อดูดเงินคนรักรถเร็วและแรงอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า HOT HATCH รถโมเดลนี้ติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินความจุ 1.6 ลิตร ที่ให้กำลังสูงถึง 200 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์คลัทช์คู่ 6 จังหวะ
ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด แอลพี 560-4
ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ท "กระทิงดุ" ใช้เวทีหมุนขนาดยักษ์ในอาคารหมายเลข 4 เป็นที่เปิดตัวรถโมเดลใหม่ ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด แอลพี 560-4 (LAMBORGHINI GALLARDO LP 560-4) ซึ่งไม่ใช่รถที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่เป็นรถรุ่นเดิมที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ "ยกหน้า" มีทั้งตัวถังคูเปซึ่งยาว 4.345 ม.กว้าง 1.900 ม.สูง 1.165 ม. และตัวถังเปิดประทุนโรดสเตอรซึ่งกว้างยาวเท่ากันแต่ สูง 1.184 ม. ทั้งสองตัวถังติดตั้งเครื่องเบนซินฉีดตรง DOHC วี 10 สูบ 5,204 ซีซี 560 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อทั้งสี่ผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ตัวถังคูเปทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ใน 3.7 วินาที ความเร็วสูงสุด 325 กม./ชม. ตัวถังโรดสเตอร์ช้ากว่ากันนิดนึง คือ 4.0 วินาที กับ 324 กม./ชม.
มาเซราตี กรันกาบริโอ เอมซี
เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ตรีศูล" หรือ "สามง่าม" เรียกร้องความสนใจได้อย่างเล็กๆ ด้วยรถโมเดลใหม่เอี่ยมแกะกล่องที่กำลังจะออกโชว์รูมพร้อมกับป้ายชื่อ มาเซราตี กรันกาบริโอ เอมซี (MASERATI GRANCABRIO MC) พัฒนาจากรถคูเปรุ่นหัวกะทิของค่ายคือ มาเซราตี กรันตูริสโม เอมซี สตราดาเล (MASERATI GRANTURISMO MC STRADALE) เพื่อล่อใจผู้ใช้รถเงินถุงเงินถังสตางค์เยอะแยะ ที่ยังไม่โอเคกับรถเปิดประทุนติดโลโก "สามง่าม" ที่มีอยู่แล้วก่อนหน้านี้รวม 2 โมเดล รถประทุนอ่อนโมเดลใหม่ล่าสุดนี้ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC วี 8 สูบ 4,691 ซีซี 460 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ทำได้ใน 4.9 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดคือ 289 กม./ชม.
โวลโว วี 40 ครอสส์ คันทรี
ที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือนมีนาคมปีงูใหญ่ ผู้ผลิตรถยนต์หมายเลขหนึ่งของเมืองฟรีเซกซ์ซึ่งปัจจุบันมีเจ้าของนั่งอยู่ในเมืองจีน เรียกความสนใจจากสื่อมวชนและผู้ชมงานได้อย่างล้นหลามด้วยรถอนุกรมใหม่ซึ่งติดป้ายชื่อ โวลโว วี 40 (VOLVO V40) ที่มหกรรมยานยนต์ปารีสปรากฏการณ์เดิมอุบัติขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ผู้รับบทบาทตัวดูดคือ โวลโว วี 40 ครอสส์ คันทรี (VOLVO V 40 CROSS COUNTRY) รถกิจกรรมกลางแจ้งกึ่งตรวจการณ์ที่พัฒนาจากรถ โวลโว วี 40 โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายทั้งภายนอกและภายในตัวรถ รวมทั้งยกพื้นรถให้สูงขึ้นถึง 40 มม.และติดตั้งล้อขนาดโตขึ้นรวมทั้งล้อ 19 นิ้ว เริ่มการผลิตที่โรงงานในเมืองเกนท์ (GHENT) ประเทศเบลเยียมไปเรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนพฤศจิกายน
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเอส เอเอมจี คูเป อีเลคทริค ดไรฟ
มีรถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ อวดตัวให้เห็นในงานนี้หลายคัน แต่ไม่มีคันไหนอีกแล้วที่ทำให้เกิดความรู้สึกซู่ซ่าฟู่ฟ่าเหมือน เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเอส เอเอมจี คูเป อีเลคทริค ดไรว์ (MERCEDES-BENZ SLS AMG COUPE ELECTRIC DRIVE) ที่จอดเด่นเป็นสง่าอยู่ในบูธของค่าย "ดาวสามแฉก" พัฒนาจากรถสปอร์ทประตูปีกนกชื่อเดียวกันที่เริ่มจำหน่ายเมื่อต้นปี 2010 โดยเปลี่ยนระบบขับจากขับล้อหลังด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซิน วี 8 สูบ 6,208 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 571 หรือ 591 แรงม้า เป็นขับทุกล้อด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ โดยติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 4 ชุด แต่ละชุดขับล้อแต่ละล้อ ได้กำลังรวมสูงสุด 552 กิโลวัตต์/750 แรงม้า ส่วนแบทเตอรีที่ใช้เป็นแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาด 60 กิโลวัตต์ชั่วโมงซึ่งมีน้ำหนักตัว 548 กก. ประจุไฟแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 250 กม.ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ใน 3.9 วินาที และความเร็วสูงสุดซึ่งจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. จะออกโชว์รูมในเดือนมิถุนายน 2013 พร้อมกับป้ายค่าตัว 416,500 ยูโร หรือประมาณ 16.7 ล้านบาทไทย
เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ บี-คลาสส์ อีเลคทริค ดไรฟ
รถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ อีคันหนึ่งที่ค่าย "ดาวสามแฉก" นำออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ บี-คลาสส์ อีเลคทริค ดไรว์ (MERCEDES-BENZ CONCEPT B-CLASS ELECTRIC DRIVE) รถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถไฟฟ้าที่ในปี 2014 ค่ายนี้จะบรรจุเข้าสู่สายการผลิต เป็นรถขับล้อหลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 100 กิโลวัตต์/136 แรงม้า ที่รับพลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน ซึ่งสามารถประจุไฟด้วยไฟบ้าน 230 โวลท์ ประจุไฟเต็มหม้อแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 200 กม. ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ที่ใช้เลาต่ำกว่า 10 วินาที และความเร็วสูงสุดซึ่งจำกัดไว้ที่ 150 กม./ชม. ส่วนการประจุด่วนในที่ที่จัดไว้โดยเฉพาะและใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง รถจะวิ่งได้ไกล 100 กม.
เมร์เซเดส-เบนซ์ บี 200 เนเชอรัล แกส ดไรฟ
ใช่แต่ในเมืองไทยเท่านั้นที่รถเก๋งติดตรา "ดาวสามแฉก" ต้องวิ่งเข้าปั๊มแกส ในเมืองฝรั่งก็มีเหมือนกัน ยืนยันได้จากรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ บี 200 เนเชอรัล แกส ดไรฟ (MERCEDES-BENZ B 200 NATURAL GAS DRIVE) ที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์นำออกแสดงในงานนี้ เป็นรถที่กำลังจะออกโชว์รูมพร้อมคำโฆษณา "ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่ากันถึงร้อยละ 16 และประหยัดค่าเชื้อเพลิงกว่ากันถึงร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับรถแบบเดียวกันที่ใช้เครื่องเบนซิน" รถค่าตัว 32,368 ยูโรโมเดลนี้ติดตั้งเครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 1,991 ซีซี 156 แรงม้า มีถังบรรจุแกสขนาด 12 ลิตร มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 4.2 กก./100 กม. สามารถทำความเร็วสูงสุด 200 กม./ชม.และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์แค่ 115 กรัม/กม.
สมาร์ท ฟอร์สตาร์ส์
เข้าชมงานมหกรรมยานยนต์ระดับ "อินเตอร์" รายการใดก็ได้ แล้วเดินไปที่คูหาของค่ายสมาร์ท (SMART) เอาตำแหน่งรัฐมนตรีที่ส่งทอดกันได้จากผัวสู่เมียจากเมียสู่ผัวยืนยันได้เลยว่า จะพบรถแนวคิดจอดอยู่ในบูธอย่างน้อยก็ 1 คัน ที่งานนี้ก็เช่นกัน รถแนวคิดที่ค่ายนี้นำออกตัวแบบ"ครั้งแรกในโลก" คือรถติดป้ายชื่อ สมาร์ท ฟอร์สตาร์ (SMART FORSTARS) ที่เห็นในภาพบนและภาพซ้ายมือ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของ SUC หรือ SPORT UTILITY COUPE ที่ยังนึกไม่ออกว่าน่าจะเรียกเป็นภาษาไทยยังไงดี? ตัวถังซึ่งยาว 3.550 ม.กว้าง 1.710 ม.และสูง 1.505 ม.ใช้ระบบขับล้อหลัง ด้วยพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 60 กิโลวัตต์/82 แรงม้า และแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาด 17.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถทำความเร็วสูงสุด 130 กม./ชม.
บีเอมดับเบิลยู คอนเซพท์ แอคทีฟ ทัวเรอร์
จุดดึงดูดสายตาในคูหาของค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ซึ่งตั้งอยู่ในอาคารหมายเลข 1 คือ บีเอมดับเบลยู คอนเซพท์ แอคทีฟ ทัวเรอร์ (BMW CONCEPT ACTIVE TOURER) ที่เห็นในภาพใหญ่และภาพบน เป็นรถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถขับเคลื่อนล้อหน้า ที่ "ราชาแห่งรถขับเคลื่อนล้อหลัง" รายนี้จะนำออกสู่ตลาดในปี 2014 เพื่อสู้กับรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ บี-คลาสส์ ของค่ายดาวสามแฉก และเป็นหนึ่งในบรรดากองทัพรถขับล้อหน้าที่จะช่วยเพิ่มยอดขายรถของค่ายนี้ให้ก้าวถึงระดับ 2 ล้านคันต่อปีภายในปี 2020 ในรูปลักษณ์ของรถแนวคิด รถอเนกประสงค์ขนาดเล็กกะทัดรัดคันนี้ ติดตั้งระบบขับไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟแบทเตอรี อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า PLUG-IN HYBRID โดยใช้เครื่องเบนซิน 3 สูบเรียง 1.5 ลิตร ส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ มีมอเตอร์ไฟฟ้าช่วยเสริมแรงทำให้ได้กำลังสูงสุด 190 แรงม้า สามารถทำความเร็วสูงสุดระดับ 200 กม./ชม.
บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 คอนเซพท์
อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งที่ 64 เมื่อเดือนกันยายน 2011 ที่งานนี้รถแนวคิด บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 คอนเซพท์ (BMW I3 CONCEPT) อวดตัวต่อสายตาสาธารณชนอีกครั้งหนึ่ง ที่ถ่ายภาพมาให้ชมและนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังซ้ำสองซ้ำสาม ก็เนื่องจากมีรายละเอียดในหลายจุดที่เปลี่ยนไป ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนในห้องโดยสาร และเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า รถไฟฟ้าคันนี้ให้ความสำคัญขนาดไหน? กับสิ่งที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า SUSTAINABILITY หรือ"ความยั่งยืน" ตัวอย่างคือ ไม้ยูคาลิพทัสที่ใช้ในแผงหน้าปัดอุปกรณ์ได้จากแหล่งการเพาะพันธุ์อย่างยั่งยืนในยุโรป และถนอมเนื้อไม้อย่างทะนุถนอมด้วยสารธรรมชาติ หนังหุ้มเบาะคุณภาพสูงมีพื้นผิวที่ผ่านกระบวนการฟอกย้อมอย่างดีด้วยส่วนผสมที่ได้จากใบมะกอก
มีนี เพศแมน
ผู้ผลิตรถจิ๋วแต่แจ๋วของเมืองผู้ดีซึ่งเจ้าของนั่งเคี้ยวไส้กรอกอยู่ในเมืองเบียร์ ทำให้พื้นที่ของบูธซึ่งคับแคบอยู่แล้วดูหดหายลงไปอีก เพราะนำ มีนี เพศแมน (MINI PACEMAN) ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแบบที่ 7 และเป็นรถคูเปขนาดจิ๋วที่พัฒนาจากรถกิจกรรมกลางแจ้ง มีนี คันทรีแมน (MINI COUNTRYMAN) ซึ่งอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 2010 กำลังจะออกโชว์รูมโดยมีรถให้เลือกใช้รวม 7 โมเดล แยกเป็นรถขับล้อหน้า 4 โมเดล คือ COOPER PACEMAN-COOPER S PACEMAN-COOPER D PACEMAN-COOPER SD PACEMAN และเป็นรถขับทุกล้อ 3 โมเดล คือ COOPER S PACEMAN ALL4-COOPER D PACEMAN ALL4-COOPER SD PACEMAN ALL4 ส่วนระบบเกียร์มี 2 แบบ คือเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ฟอร์ด มนเดโอ
ค่ายฟอร์ดซึ่งช่วงครึ่งแรกของปี 2012 ขายรถติดโลโก "วงรีสีฟ้า" ในเมืองน้ำหอมได้เพียง 65,951 คัน หรือเท่ากับร้อยละ 5.2 ของยอดขายโดยรวมในตลาด ใช้งานนี้เป็นตัว ฟอร์ด มนเดโอ (FORD MONDEO) รุ่นใหม่ ทั้งตัวถัง 4 ประตูซีดาน ตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค และตัวถง 5 ประตูซีดาน เป็นรถที่ออกแบบและพัฒนาในสหรัฐอเมริกาโดยทีมงานคนอังกฤษ และเป็นคู่ฝาคู่แฝดกับรถ ฟอร์ด ฟิวชัน (FORD FUSION) ซึ่งออกจำหน่ายในตลาดอเมริกาเหนือไปเรียบร้อยแล้วในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2013 มีกำหนดออกจำหน่ายในทวีปยุโรปฤดูใบไม้ร่วงของปี 2014 โดยจะแยกโมเดลให้เลือกใช้อย่างหลากหลาย ทั้งแบบขับล้อหน้า แบบขับทุกล้อ และแบบขับด้วยระบบไฮบริด แบบหลังนี่ต้องรอนานหน่อย คืออาจต้องรอจนกว่าจะถึงปี 2014
ฟอร์ด ฟิเอสตา
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งที่ค่าย "วงรีสีฟ้า" นำตัวจริงเสียงจริงออกแสดงแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ ฟอร์ด ฟิเอสตา (FORD FIESTA) รถแฮทช์แบคขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดที่คนรักรถในบ้านเราคงคุ้นเคยกันดี ที่ต้องบอกไว้ก่อนก็คือไม่ใช่รถรุ่นใหม่แท้ๆ แต่เป็นรถรุ่นปัจจุบันที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" และมีกำหนดออกตลาดในยุโรปตอนต้นปี 2013 การเปลี่ยนแปลงในส่วนของตัวถังภายนอกมีอยู่หลายจุดที่มองเห็นได้ชัด ตัวอย่างคือแผงกระจังหน้าและคู่ดวงโคมไฟหน้าที่ออกแบบขึ้นใหม่และทำให้หน้าตาของรถดูดีกว่าเดิม ภายในห้องโดยสารมีการเปลี่ยนแปลงน้อยมากจนสังเกตแทบไม่เห็น ในส่วนของเครื่องยนต์กลไกจุดเปลี่ยนสำคัญคือการเพิ่มเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ถึง 3 ขนาด ทั้งเครื่องเบนซินและเครื่องดีเซล
เอาดี ครอสส์เลน คูเป คอนเซพท์
ค่าย "สี่ห่วง" นำผลงานใหม่ๆ ออกแสดงในงานนี้เป็นกองทัพ และคันที่น่าสนใจที่สุดพูดไม่ได้ว่าไม่ใช่ เอาดี ครอสส์เลน คูเป คอนเซพท์ (AUDI CROSSLANE COUPE CONCEPT) รถแนวคิดซึ่งถ้าไม่บอกหลายคนอาจหลงเข้าใจว่าเป็นรถตลาดที่พร้อมแล้วจะเข้าสู่สายการผลิต เป็นต้นแบบของรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็กกระทัดรัด ที่ค่ายนี้ตั้งใจจะนำออกสู่โชว์รูมภายในปี 2015 โดยติดป้ายชื่อ เอาดี คิว 2 (AUDI Q2) ในภาวะที่ยังเป็นรถแนวคิด รถกิจกรรมกลางแจ้งเปิดหลังคาได้คันนี้ติดตั้งระบบขับแบบ DUAL-MODE HYBRID ซึ่งใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง 3 สูบเรียง 1.5 ลิตร 130 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ได้กำลังรวมสูงสุด 177 แรงม้า เมื่อขับในเขตเมืองและยังใช้ความเร็วไม่เกิน 55 กม./ชม.รถจะวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าจากแบทเตอรีเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อความเร็วสูงกว่านั้นเครื่องยนต์ก็จะเริ่มทำงานควบคู่กับมอเตอร์ไฟ้า และเมื่อความเร็วขึ้นถึงระดับ 130 กม./ชม.เครื่องยนต์จะกลายเป็นขุมพลังหลัก ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะร่วมทำงานเฉพาะในกรณีที่จำเป็น
เอาดี เอส 3
รถตลาดที่เรียกความสนใจได้ดีพอสมควรเพราะเพิ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ เอาดี เอส 3 (AUDI S3) ที่เห็นในภาพบน เป็นรถรหัส S ที่พัฒนาจากรถแฮทช์แบค เอาดี เอ 3 (AUDI A3) รุ่นล่าสุด ซึ่งเพิ่งออกโชว์รูมในเมืองเบียร์เมื่อไตรมาสที่สองของปีนี้ เช่นเดียวกับรถรหัส S โมเดลอื่นๆ รถหัวกะทิโมเดลนี้ผ่านการปรับปรุงรายละเอียดมากมายเพื่อเพิ่มพูนสมรรถนะการขับขี่และความสะดวกสบายของผู้ขับ จุดชี้เป็นชี้ตายคือเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,984 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 300 แรงม้า แต่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 159 กรัม/กม.โดยเฉลี่ย ทำให้รถติดป้ายค่าตัวเริ่มต้นที่ 40,800 ยูโรคันนี้ ทำ 0-100 กม./ชม.โดยใช้เวลาแค่ 5.7 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม.
เอาดี เอ 3 สปอร์ทแบค
เอาดี เอ 3 สปอร์ทแบค (AUDI A3 SPORTBACK) เป็นรถตลาดแบบใหม่อีกแบบหนึ่งที่พัฒนาจากรถ เอาดี เอ 3 (AUDI A3) รุ่นล่าสุด และเพิ่งอวดตัวแบบ"ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ จุดใหญ่ใจความของการพัฒนาที่กล่าวข้างต้น คือการเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวถัง คือจากตัวถัง 3 ประตูแฮทช์แบค ยาว 4.237 ม.กว้าง 1.777 ม.และสูง 1.421 ม. เป็นตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค ยาว 4.310 ม.กว้าง 1.780 ม.และสูง 1.425 ม.ที่มีส่วนท้ายเหมือนเป็นรถเก๋งตรวจการณ์ ส่วนเครื่องยนต์กลไกที่ใช้ไม่มีอะไรแตกต่างจากเดิม เดือนกุมภาพันธ์ 2013 จะเริ่มออกโชว์รูมในเมืองโดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ 3 ขนาด แบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 3 ระดับ กำกับด้วยรหัส ATTRACTION AMBITION AMBIENTE และค่าตัวเริ่มต้นที่ 23,400 ยูโร
โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ
ยักษ์ใหญ่อย่างโฟล์คสวาเกนก็มีผลงานชิ้นใหม่ๆ ให้สื่อมวลชนและผู้ชมงานได้สัมผัสอย่างใกล้ชิดมากมายเป็นกองทัพเช่นกัน แต่บรรยากาศในบูธกลับไม่ค่อยคึกคักอย่างที่น่าจะเป็น เพราะเกือบทั้งหมดของรถที่นำออกแสดงล้วนเป็นรถตลาด ไม่มีรถแนวคิดหน้าตาประหลาดๆ สอดแทรกเป็นน้ำยาหยอดตาสักคัน ที่น่าสนใจกว่าเพื่อนคือ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ (VOLKSWAGEN GOLF) รุ่นใหม่ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่ปารีส และขณะนี้ออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ไปเรียบร้อยแล้ว โดยแบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 3 ระดับ กำกับด้วยรหัส TRENDLINE COMFORTLINE HIGHLINE และติดป้ายค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 16,975 ยูโร เป็นรถรุ่นที่ 7 ในตัวถัง 3 และ 5 ประตูแฮทช์แบคที่ออกแบบขึ้นใหม่ มีขนาดโตขึ้นนิดหน่อยเมื่อเทียบกับรถรุ่นเดิม แต่น้ำหนักตัวกลับลดลง
โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ จีทีไอ
นี่ก็อีกคันที่หน้าตาและรูปทรงองค์เอวดูเป็นรถตลาดที่กำลังจะเข้าสู่สายการผลิตแต่ยังติดป้ายว่าเป็น CONCEPT CAR หรือ "รถแนวคิด" เห็นชื่อ โฟล์คสวาเกน กอล์ฟ จีทีไอ (VOLKSWAGEN GOLF GTI) ที่ติดหราทั้งด้านหน้าและด้านหลังของตัวรถ ถึงไม่บอกสื่อมวลชนตัวจริงทุกชาติทุกวัยที่เดินกันขวักไขว่ในงานนี้ย่อมทราบกันดีว่า เป็นรถ"ฮอท แฮทช์"ขนานแท้และดั้งเดิม ที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ทำขึ้นเพื่อสนองกิเลสและตัณหา ของผู้ใช้รถที่หายใจเข้าเป็นรถแรงหายใจออกก็เป็นรถแรง รถรุ่นใหม่ซึ่งคงต้องรออีกสักระยะจึงจะออกจำหน่ายนี้ ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรงที่ให้กำลังสูงถึง 162 กิโลวัตต์/220 แรงม้า แต่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแค่ 6.0 ลิตร/100 กม.หรือ 16.7 กม./ชม. คือประหยัดขึ้นถึงร้อยละ 18 เมื่อเทียบกับรุ่นก่อน
โพร์เช พานาเมรา สปอร์ท ตูริสโม
ยังเรียกความสนใจจากสื่อมวลชนได้เป็นอย่างดีเหมือนแทบทุกงานที่ผ่านมา คือบูธของโพร์เชซึ่งตั้งอยู่ในอาคารหมายเลข 4 เพราะมีรถ โพร์เช พานาเมรา สปอร์ท ตูริสโม (PORSCHE PANAMERA SPORT TURISMO) เป็นจุดดึงดูดทั้งดวงตาและดวงใจ ไม่ใช่รถโมเดลใหม่ที่ค่ายนี้กำลังจะนำออกสู่โชว์รูม แต่เป็นรถแนวคิดที่รังสรรค์ขึ้นเพื่อศึกษาความเป็นไปได้ของ โพร์เช พานาเมรา รุ่นใหม่ ที่คาดหมายกันว่าน่าจะปรากฏตัวให้เห็นในปี 2016 นอกจากตัวถังแฮทช์แบคเหมือนรถรุ่นปัจจุบัน และตัวถังตรวจการณ์เหมือนรถแนวคิดคันนี้แล้ว พแลทยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองเบียร์ ซึ่งขณะนี้ก้าวเข้าไปอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่โฟล์คสวาเกนเป็นที่เรียบ
ABOUT THE AUTHOR
ช
ชูศักดิ์ ชมจินดา/บริษัทผู้ผลิต formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : รถใหม่