ธุรกิจ
เยอรมนี-เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" เปิดเผยรายละเอียด และโฉมหน้าของรถแนวคิดตระกูล "ไอ" แบบที่ 3 เป็นรถสปอร์ทเปิดประทุนขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริด ติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 คอนเซพท์ สไปเดอร์ (BMW I8 CONCEPT SPYDER) รวมทั้งได้นำรถตัวจริงเสียงจริงออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนไปแล้ว ที่งานมหกรรมยานยนต์ปักกิ่งครั้งล่าสุด เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา
รถแนวคิดตระกูล "ไอ" คันที่ 3
เปิดผ้าคลุมแล้วที่เมืองมังกร
อยากเป็นเจ้าของต้องรอ 3 ปี
เยอรมนี-เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" เปิดเผยรายละเอียด และโฉมหน้าของรถแนวคิดตระกูล "ไอ" แบบที่ 3 เป็นรถสปอร์ทเปิดประทุนขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริด ติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 คอนเซพท์ สไปเดอร์ (BMW I8 CONCEPT SPYDER) รวมทั้งได้นำรถตัวจริงเสียงจริงออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนไปแล้ว ที่งานมหกรรมยานยนต์ปักกิ่งครั้งล่าสุด เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ยังไม่ทันครบ 1 ปี หลังจากเปิดเผยโฉมหน้าของรถแนวคิดตระกูล "ไอ" 2 แบบแรก คือ บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 คอนเซพท์ (BMW I3 CONCEPT) และ บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 คอนเซพท์ (BMW I8 CONCEPT) เมื่อกลางปีกระต่าย เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมานี้เอง ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์ ก็ยืนยันความตั้งใจจริงในการผลิตรถประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยการเปิดเผยรายละเอียดและโฉมหน้าของรถแนวคิดตระกูล "ไอ" แบบที่ 3 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเปิดประทุน 2 ที่นั่ง ติดป้ายชื่อ บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 คอนเซพท์ สไปเดอร์ (BMW I8 CONCEPT SPYDER) ที่มีสมรรถนะความเร็วไม่น้อยหน้ารถสปอร์ทระดับซูเพอร์คาร์ แต่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงกว่ารถเก๋งขนาดเล็กกะทัดรัด เป็นรถที่แหล่งข่าววงในยืนยันว่าภายในปี 2015 จะเปลี่ยนสภาพจากรถแนวคิดเป็นรถในสายการผลิตแน่นอน
รถแนวคิดตระกูล "ไอ" คันที่ว่า มีขนาดตัวถังยาว 4.480 ม. กว้าง 1.922 ม. สูง 1.208 ม. และมีน้ำหนักตัวพร้อมขับที่เบาเป็นพิเศษ คือ แค่ 1,630 กก. เนื่องจากชิ้นส่วนตัวถังส่วนที่เป็นห้องผู้ขับและผู้โดยสาร ทำจากวัสดุสังเคราะห์มวลเบาซึ่งมีเรียกในภาษาอังกฤษว่า CFRP หรือ CARBON-FIBRE-REINFORCED PLASTIC และส่วนอื่นๆ ทำจากอลูมิเนียม ซึ่งก็เป็นวัสดุมวลเบาเช่นกัน รูปทรงองค์เอวของตัวถังภายนอก มีจุดเด่นสะดุดตามากมาย เช่น ประตูข้างไร้หน้าต่างที่เปิดแบบพลิกขึ้นข้างหน้า และรูจมูกรูปไตที่เปิดโล่งเพื่อผลลัพธ์ทางอากาศพลศาสตร์
ที่น่าสนใจไม่แพ้รูปทรงองค์เอว และรายละเอียดของตัวถัง คือ ระบบขับ เป็นระบบขับแบบไฮบริด ชนิดที่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า PLUG-IN HYBRID เป็นระบบที่ค่ายนี้ออกแบบ และพัฒนาขึ้นเอง โดยใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน 3 สูบเรียง 1.5 ลิตร 164 กิโลวัตต์/223 แรงม้า ขับล้อคู่หลัง และใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 96 กิโลวัตต์/131 แรงม้า ซึ่งรับพลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขับล้อคู่หน้า เป็นระบบขับไฮบริดที่ทำงานได้ 3 แบบโดยอัตโนมัติ เพื่อให้รับกับสภาพการขับขี่ คือ ขับเฉพาะล้อหน้าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ขับเฉพาะล้อหลังด้วยเครื่องยนต์ และขับทุกล้อด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า/เครื่องยนต์
ในกรณีขับด้วยพลังไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว เมื่อประจุไฟเต็มหม้อด้วยไฟบ้าน โดยใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมง 45 นาที รถจะวิ่งได้ไกล 27-30 กม. ส่วนในกรณีทำงานร่วมกันทั้งมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์ รถจะมีกำลังสูงสุด 260 กิโลวัตต์/354 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 550 นิวตัน-เมตร/56.1 กก.-ม. สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 5.0 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 250 กม./ชม. ที่เยี่ยมยอดมาก คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย ซึ่งต่ำเพียง 3.0 ลิตร/100 กม. หรือ 33.3 กม./ลิตร เท่านั้นเอง
ยักษ์ใหญ่เอาใจเศรษฐีจีน
เปิดตัว ซีรีส์-3 ตัวถังยาว
มีให้เลือกใช้รวม 3 รุ่น
เยอรมนี/สาธารณรัฐประชาชนจีน-ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองเบียร์หวังดูดเงินเศรษฐีใหม่ในเมืองมังกร เปิดตัวรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 (BMW 3-SERIES) รุ่นพิเศษ ที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษสำหรับตลาดจีน มีตัวถังและช่วงฐานล้อยาวกว่ารถรุ่นสามัญถึง 11.0 ซม. จะใช้โรงงานในสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นที่ผลิต และมีรถให้เลือกใช้รวม 3 โมเดล
ผู้ผลิตรถหรูเจ้าของเครื่องหมายการค้า "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ซึ่งเคยเอาอกเอาใจผู้ใช้รถเงินถุงเงินถังในสาธารณรัฐประชาชนจีนมาก่อนแล้วด้วยรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-5 (BMW 5-SERIES) รุ่นพิเศษ ซึ่งมีตัวถัง และช่วงฐานล้อยาวกว่ารถอนุกรมเดียวกันที่ขายอยู่ในภูมิภาคอื่นๆ ถึง 14.0 ซม. งัดกลยุทธ์เดิมขึ้นมาใช้อีกครั้งหนึ่ง โดยเปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 (BMW 3-SERIES) รุ่นพิเศษ ที่ออกแบบ และพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับตลาดจีน และนำรถตัวจริงเสียงจริงออกอวดตัวไปแล้วที่งาน AUTO CHINA 2012 หรือ มหกรรมยานยนต์ปักกิ่งครั้งล่าสุด ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 23 เมษายน-2 พฤษภาคม 2012
เป็นรถที่ออกแบบและพัฒนาในเยอรมนี แต่จะใช้โรงงานที่เมืองเชนยาง (SHENYANG) ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นที่ผลิต เป็นโรงงานที่เริ่มการผลิตรถยนต์มาตั้งแต่ปี 2003 จากการร่วมทุนระหว่างยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ และบริษัทผู้ผลิตรถยนต์บริลเลียนศ์ (BRILLIANCE) ของจีน
ตัวถังซีดานขนาดกะทัดรัดของ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 รุ่นพิเศษ ซึ่งมีชื่อเรียกในภาษาเยอรมันว่า BMW 3ER LIMOUSINE LANGVERSION และเรียกในภาษาอังกฤษว่า BMW 3-SERIES SEDAN LONG WHEELBASE VERSION ดัดแปลงเพียงเล็กน้อยจากตัวถังซีดานของรถรุ่นสามัญซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 6 และเพิ่งออกโชว์รูมเมื่อตอนต้นปี จุดใหญ่ใจความคือการเพิ่มขนาดความยาวของช่วงฐานล้อและตัวถัง 110 มม. ทำให้ช่วงฐานล้อยืดจาก 2.810 เป็น 2.920 ม. และขนาดความยาวเพิ่มจาก 4.624 เป็น 4.734 ม. ในขณะที่ยังคงกว้าง 1.811 ม. เท่าเดิม และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศอยู่ระหว่าง 0.29-0.30 เช่นเดิม การขยายขนาดความยาวดังกล่าวข้างต้น ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์บอกว่า ไม่เพียงแต่ส่งผลในการเพิ่มพื้นที่วางแข้งวางเข่าของผู้โดยสารบนเบาะหลังเท่านั้น หากยังมีผลเป็นอย่างมากในการเสริมสร้างความหรูหราสง่างามของตัวรถ
จะมีรถให้เศรษฐีเมืองจีนเลือกใช้ตามขนาดเครื่องยนต์รวม 3 โมเดล คือ BMW 320LI ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,997 ซีซี 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า BMW 328LI ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,997 ซีซี 180 กิโลวัตต์/245 แรงม้า และ BMW 335LI ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,979 ซีซี 225 กิโลวัตต์/306 แรงม้า ทุกโมเดลถ่ายทอดกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ STEPTRONIC และมีระดับการตกแต่ง/อุปกรณ์ให้เลือกใช้ 3 แบบ คือ BASIC VERSION-LUXURY LINES-MODERN LINES
จีแอล-คลาสส์ รุ่นใหม่เปิดตัวแล้ว
ขนาดตัวถังโตขึ้นแต่น้ำหนักเบาลง
ออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ก่อนสิ้นปี
เยอรมนี/สหรัฐอเมริกา-เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ดาวสามแฉก" ใช้งานแสดงรถยนต์ในเมืองมะกันเปิดตัวรถกิจกรรมกลางแจ้งสุดหรู เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอล-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ GL-CLASS) รุ่นใหม่ มีขนาดตัวถังโตกว่ารถรุ่นเดิมในทุกมิติ แต่น้ำหนักตัวกลับเบาลง เกือบ 100 กก. แถมกินน้ำมันน้อยลงถึงร้อยละ 19
ที่งาน 2012 NEW YORK INTERNATIONAL AUTO SHOW หรือ มหกรรมยานยนต์นิวยอร์คครั้งล่าสุด ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 6-15 เมษายน 2012 ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตรถหรูติดตรา "ดาวสามแฉก" เรียกร้องความสนใจจากสื่อมวลชนและผู้ชมงานได้อย่างล้นหลาม ด้วยการนำผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องออกอวดตัวหลายชิ้น และชิ้นที่เรียกได้ว่าเป็นจุดโฟคัสของงาน คือ รถกิจกรรมกลางแจ้ง เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอล-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ GL-CLASS) รุนใหม่ ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้
เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดใหญ่ระดับสุดหรู ที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์กำลังจะบรรจุเข้าสู่สายการผลิตซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองทัสกาลูซา (TUSCALOOSA) ในรัฐอลาบามาของสหรัฐอเมริกา แทนที่รถรุ่นแรก ซึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อฤดูใบไม้ผลิปี 2006 ตัวถังทรง 2 กล่องที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่หัวจรดหาง มีขนาดโตกว่ารถรุ่นเดิมเล็กน้อยในทุกมิติ คือ ยาว 5.120 ม. กว้าง 2.141 ม. และสูง 1.850 ม. เทียบกับรถรุ่นเดิมซึ่งยาว 5.099 ม. กว้าง 2.123 ม. และสูง 1.840 ม. ส่วนช่วงฐานล้อยังคงเดิม คือ 3.075 ม. จุดที่น่าสังเกตก็คือ ตัวถังมีขนาดโตขึ้นแต่น้ำหนักตัวกลับลดลง ทั้งนี้ทั้งนั้นเป็นผลลัพธ์จากการนำโลหะมวลเบามาใช้ในหลายๆ จุด เช่น การใช้ฝากระโปรงหน้าอลูมิเนียม และชิ้นส่วนตามขวางหลายชิ้นทำจากแมกนีเซียม
เป็นรถที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 7 คน (2+3+2) และผู้โดยสารที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ทั้ง 3 แถว จะมีช่วงว่างเหนือศีรษะพื้นที่ระดับข้อศอก และพิ้นที่ระดับไหล่กว้างกว่ารถรุ่นเดิมอย่างรู้สึกได้ชัด แถมยังมีระบบ EASY-ENTRY ที่ช่วยให้ผู้โดยสารในแถว 3 สามารถขึ้น/ลงรถได้โดยสะดวกอีกต่างหาก ส่วนห้องเก็บของท้ายรถก็กว้างขวางกว่าเดิม คือ อยู่ระหว่าง 680 ถึง 2,300 ลิตร
จะออกโชว์รูมทั้งในเยอรมนีและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดหลักของรถแบบนี้ก่อนสิ้นปีงูใหญ่ โดยมีรถให้เลือกใช้เพียง 2 โมเดล คือ MERCEDES-BENZ GL 350 BLUETEC 4MATIC กับ MERCEDES-BENZ GL 500 4MATIC BLUEEFFICIENCY โมเดลแรกติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 2,987 ซีซี 190 กิโลวัตต์/258 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.ใน 7.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 7.4-8.0 ลิตร/100 กม. หรือ 12.5-13.5 กม./ลิตร และอัตราคาร์บอนไดออกไซด์ 192-209 กรัม/กม. ส่วนโมเดลหลังใช้เครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4,663 ซีซี 300 กิโลวัตต์/408 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 7G-TRONIC PLUS อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.9 วินาที ความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 11.3-11.6 ลิตร/100 กม.หรือ 8.6-8.8 กม./ลิตร และอัตราคาร์บอนไดออกไซด์ 262-269 กรัม/กม.
จี-คลาสส์ รุ่นผัดหน้าทาปาก
มีตัวถังให้เลือกใช้ 2 แบบ
ออกโชว์รูมเดือนมิถุนายน
เยอรมนี-ค่าย "ดาวสามแฉก" ยืดอายุรถกิจกรรมกลางแจ้งแก่ง่ายตายยาก เมร์เซเดส-เบนซ์ จี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ G-CLASS) อวดโฉมรถที่เพิ่งผ่านการปรับปรุงแบบ "ยกหน้า" พร้อมประกาศยืนยันเดือนมิถุนายนนี้จะออกตลาดในเมืองเบียร์ โดยมีตัวถังให้เลือก 2 แบบ
เพียง 1 สัปดาห์ หลังจากใช้งานมหกรรมยานยนต์นิวยอร์คในสหรัฐอเมริกาเป็นที่เปิดตัวรถกิจกรรมกลางแจ้งรุ่นใหม่ 2 รุ่น คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอล-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ GL-CLASS) และ เมร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลเค-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ GLK-CLASS) ดังที่รายงานข่าวไปแล้ว ในช่วงที่คนรักรถในเมืองไทยกำลังเตรียมตัวที่จะสนุกสนานกับเทศกาลสงกรานต์นี่เอง ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ก็เปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถใหม่อีกแบบหนึ่ง คราวนี้เป็นคิวของรถที่อยู่ในสายการผลิตมายาวนานกว่า 3 ทศวรรษ และรู้จักกันดีทั่วโลก คือรถกิจกรรมกลางแจ้งพันธุ์แท้ เมร์เซเดส-เบนซ์ จี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ G-CLASS)
เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ดาวสามแฉก" เริ่มบรรจุรถ เมร์เซเดส-เบนซ์ จี-คลาสส์ เข้าสู่สายการผลิตซึ่งอยู่ในประเทศออสเตรียเมื่อปี 1979 และปรับปรุงทั้งขนานใหญ่และขนานเล็กมาแล้วหลายครั้ง จนรถอนุกรมนี้เปลี่ยนสภาพจากรถที่ออกแบบสำหรับการใช้งานที่เน้นการลุยอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า PRACTICALLY-ORIENTED OFF-ROAD SPECIALIST เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งระดับสุดหรูที่มีสมรรถนะการขับขี่เหมือนรถเก๋งซาลูนระดับพรีเมียม
การปรับปรุงครั้งล่าสุดนี้ มีการปรับปรุงเพียงเล็กน้อยในส่วนของตัวถังภายนอก จุดที่จะสังเกตเห็นได้ชัดมีอยู่เพียง 2 จุดเท่านั้น คือ การติดตั้งดวงไฟ LED สำหรับการขับตอนกลางวัน และการเพิ่มไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้าง การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายในห้องโดยสาร เช่น แผงหน้าปัดอุปกรณ์ และคอนโซลกลางที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด กับการติดตั้งระบบสื่อสารเริงรมย์ COMAND เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถทุกโมเดล
เดือนมิถุนายนนี้จะออกโชว์รูมในเมืองเบียร์ โดยมีตัวถังให้เลือกใช้รวม 2 แบบ คือ ตัวถัง 5 ประตู 7 ที่นั่ง กับตัวถังเปิดประทุน 5 ที่นั่ง ตัวถังแบบแรกมีรถให้เลือกตามขนาดเครื่องยนต์รวม 4 โมเดล คือ MERCEDES-BENZ G 350 BLUETEC (ติดป้ายค่าตัว 85,311 ยูโร) MERCEDES-BENZ G 500 (99,948 ยูโร) MERCEDES-BENZ G 63 AMG (137,504 ยูโร) และ MERCEDES-BENZ G 65 AMG (264,180 ยูโร) ส่วนตัวถังแบบหลังมีโมเดลเดียว คือ MERCEDES-BENZ G 500 CABRIOLET ซึ่งติดป้ายค่าตัว 100,900 ยูโร
ที่น่าสนใจที่สุด คือ MERCEDES-BENZ G 65 AMG ซึ่งติดตั้งเครื่องไบเทอร์โบ DOHC วี 12 สูบ 5,980 ซีซี ที่ให้กำลังสูงถึง 450 กิโลวัตต์/612 แรงม้า ที่ 4,300-5,600 รตน. เป็นตัวเลขที่ทำให้ผู้ผลิตกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า รถโมเดลนี้เป็น THE MOST POWERFUL SERIES-PRODUCED CROSS-COUNTRY VEHICLE IN THE WORLD หรือ "รถลุยที่ทรงพลังที่สุดในโลก" แต่ข้อเสียอย่างฉกรรจ์ของรถแรงโมเดลนี้ คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 17.0 ลิตร/100 กม. หรือ 5.9 กม./ลิตร และอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 397 กรัม/กม.
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/chusak@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : ธุรกิจ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/30647