ท่องเที่ยว
เมื่อฤดูร้อนย่างกรายเข้ามา แต่ละคนหาที่หลบร้อน แตกต่างกันไป สำหรับผม การออกเรือตกปลา ดูจะเข้าทางที่สุด เพราะนอกจากจะได้พักผ่อนบนพื้นน้ำที่มีเกลียวคลื่นซัดกระทบกราบเรือ รับลมที่โชยพัดตลอดเวลา ยังได้ออกกำลังกับปลาทะเลขนาดใหญ่หลายชนิด รวมถึงได้ชมเกาะที่มากล้นด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศสถานที่ที่ผมจะพาผู้อ่านไปสัมผัส อยู่ที่ จ. สตูล ซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งในน้ำและบนบก
เมื่อฤดูร้อนย่างกรายเข้ามา แต่ละคนหาที่หลบร้อน แตกต่างกันไป สำหรับผม การออกเรือตกปลา ดูจะเข้าทางที่สุด เพราะนอกจากจะได้พักผ่อนบนพื้นน้ำที่มีเกลียวคลื่นซัดกระทบกราบเรือ รับลมที่โชยพัดตลอดเวลา ยังได้ออกกำลังกับปลาทะเลขนาดใหญ่หลายชนิด รวมถึงได้ชมเกาะที่มากล้นด้วยนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศสถานที่ที่ผมจะพาผู้อ่านไปสัมผัส อยู่ที่ จ. สตูล ซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ทั้งในน้ำและบนบก
ปากบารา
จุดเริ่มต้นของความสนุก
ผมเดินทางกว่า 12 ชม. ระยะทางกว่า 1,000 กม. มายังท่าเรือปากบารา อ. ละงู จ. สตูล ที่ซึ่งนักตกปลาในเมืองไทยหลายๆ ท่านกล่าวไว้ว่า หากชื่นชอบกีฬาประเภทนี้ ต้องมาที่นี่ เพื่อทดสอบฝีมือและไหวพริบกับปลาทะเลขนาดใหญ่ แถมยังผ่านเกาะแก่งขึ้นชื่ออีกหลายแห่ง
ที่นี่นอกจากเป็นที่จอดเรือประมงที่รอคอยนักตกปลาจากทั่วทุกสารทิศ ยังมีสปีดโบทพานักท่องเที่ยวไปยังเกาะหลีเป๊ะ และเกาะอาดัง ค่าบริการประมาณ 700 บาท/คน แต่ผมจะเดินทางด้วยเรือประมงขนาดกลางที่ตกแต่งมาเพื่อใช้ตกปลาโดยเฉพาะ
พอมาถึงท่าเรือ พวกเรารีบแพคอาหารและสัมภาระลงเรือ เพราะใจไปจดจ่อกับสิ่งมีชีวิตใต้น้ำที่รออยู่
พาหนะที่นำเราไป คือ เรือชื่อโสภณ ความยาวจากหัวถึงท้ายเรือ 16 ม. มีห้องขังเหยื่อเป็นๆ อยู่ใต้ท้องเรือ รวมถึงเก๋งเรือที่ประยุกต์มาเป็นที่นอน พร้อมห้องน้ำ ที่บรรจุน้ำจืดไว้สำหรับอาบและประกอบอาหารอีกกว่า 100 ลิตร อาวุธลับที่สำคัญ คือ เครื่องมือค้นหาตำแหน่งปลา และบอกระดับน้ำ เรียกกันว่า ซาวน์เดอร์ ที่ทำงานร่วมกับระบบนำทางผ่านดาวเทียม จีพีเอส เพื่อค้นหาหมายตกปลาโดยเฉพาะ มีกัปตันหรือที่เรียกกันว่า ไต้ก๋ง ชื่อว่า บังจ๊ะ
เรามีกำหนดการที่ต้องลอยลำตกปลากลางทะเลอยู่ที่ 3 คืน 4 วัน และหมายตกปลาอีกเกือบ 10 แห่ง ซึเป็นหมายเด็ดของทะเลสตูล
เตรียมกระสุนพร้อมรบ
เหยื่อดีมีชัยไปกว่าครึ่ง
เรือแล่นออกจากท่าประมาณ 3 ชม. ก็จอดหยุดนิ่งอยู่บนพื้นน้ำที่มีระดับความลึกประมาณ 15 ม. คณะของเรา รอเวลาที่พระอาทิตย์ตก ระหว่างรอก็ลงมือประกอบคันเบ็ดตกปลาขนาดเล็กพร้อมรอก ใช้เหยื่อปลอมเพื่อตกปลาหมึก มีชื่อว่า โยทากะ จึงเรียกการตกหมึกแบบนี้ว่า "โยหมึก" ลักษณะเป็นแท่งทรงกระบอกความยาวประมาณ 3 นิ้ว วัดเส้นรอบวงได้ 1 นิ้ว เหยื่อชนิดนี้จะเรืองแสงเมื่ออยู่ใต้น้ำ วิธีตกปลาหมึกนั้นไม่ยาก ใช้การขยับปลายคันเบ็ด เพื่อสร้างแอคชันให้เหยื่อ เมื่อปลาหมึกเห็นมันก็จะมาจับ สร้างความเพลิดเพลินให้กับชาวคณะ ถือว่าเป็นออร์เดิรฟ์ หรือซ้อมมือก่อนที่จะเจอปลาทะเลตัวเป็นๆ แต่ใช่ว่าการโยหมึกเพื่อหาเหยื่อนั้นจะเพียงพอ
วิธีการที่ถูกต้องและไม่เปลืองแรง คือ การครอบหมึก การล่อฝูงหมึกนั้นทำได้ง่ายๆ เพียงเปิดไฟดวงโตๆ ให้เป็นเหมือนแสงจากพระจันทร์ เพียงเท่านั้น หมึกก็จะลอยมาที่ผิวน้ำ จากนั้นก็ถึงขั้นตอนการลงอวนล้อมปลา ต้องใช้เวลาให้สั้นที่สุดพร้อมกับปล่อยอวนลงน้ำให้เบา เพื่อไม่ให้ฝูงหมึกตื่นตัว โชคร้ายนิดหน่อยด้วยความอ่อนประสบการณ์ คืนที่เราลงเรือนั้นเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ทำให้หมึกเล่นแสงจันทร์ไปทั่วท้องทะเล คณะของเราครอบปลาหมึกได้ไม่เยอะเท่าไรนัก รวมจากการโยหมึกแทบทั้งคืน และเอาอวนครอบอีกหลายครั้ง หมึกที่ขังอยู่ในห้องขังเหยื่อมีประมาณ 200 ตัว ซึ่งถือว่าน้อยมากสำหรับการลอยลำกลางทะเลถึง 3 คืน
หมายแรก ปลาเล็กใหญ่รุมล้อม
เข้าชาร์จเหยื่ออย่างไม่ให้ตั้งตัว
หมายแรกที่ลงสมอ ระดับน้ำประมาณ 30 ม. ใต้น้ำเป็นกองหินขนาดใหญ่ บังจ๊ะ เรียกหมายนี้ว่า หมายกองหิน พร้อมบอกรายละเอียดของปลาที่เคยตกได้จากหมายนี้อีกหลายชนิด เบ็ดตกปลาพร้อมรอก ประมาณเกือบ 10 คัน ที่ประกอบไว้สำเร็จถ่วงตะกั่วขนาดลูกละ 4 ขีด นำมาเกี่ยวเหยื่อปลาหมึกเป็น ถูกปล่อยสายลงน้ำ ไต้ก๋งอารมณ์ดีบอกพวกเราว่า ถือคันรอได้เลย น้ำเดินกำลังพอดี ปลาน่าจะฉวยเหยื่อเยอะอยู่
จริงอย่างที่เขาว่า เพียงเหยื่อถูกส่งถึงพื้นน้ำ ปลายคันของชาวคณะท่านหนึ่งถูกกระชากออกอย่างแรง รอกแผดเสียงลั่น เจ้าของคันตวัดคันขึ้นอย่างเร็ว เพื่อให้คมเบ็ดฝังอยู่ในปากปลา ระยะเวลาประมาณ 10 นาที เจ้าตัวปริศนาที่อยู่ปลายสาย ลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ มันคือ ปลาโฉมงาม ขนาดประมาณ 3 กก. ถือว่าเป็นตัวเปิดเกมที่ใช้ได้ คันเบ็ดอีก 1 ชุดก็ถูกกระชากสายออกไปอย่างดุดัน ไม่นานนัก ตัวใต้น้ำก็ยอมแพ้แต่โดยดีพร้อมเสียงเฮลั่นเรือ ปลาที่ได้คือ ปลาเก๋า ขนาดเกือบ 3 กก. อาหารอันแสนโอชะของค่ำคืนนี้ก็ขึ้นมาอยู่บนเรือ เพื่อถูกแปรสภาพเป็นต้มยำน้ำใสรสชาติจี๊ดจ๊าด ก่อนที่จะย้ายไปหมายต่อไป
ท่องทะเลยามราตรี
ล่าจิ้งจอกแห่งท้องทะเล
หลังจากถอนสมอเพื่อย้ายหมาย ใกล้พลบค่ำ อุปกรณ์ต่างๆ ถูกเปลี่ยนจากปลายสายที่เป็นเอ็นเส้นใหญ่ให้กลายเป็นลวดที่มีความแข็งแรง เพราะปลาทะเลที่ออกหากินในช่วงกลางคืนนั้น จะมีฟันที่แหลมคมและดุร้าย เป้าหมาย คือ ปลาสาก ตัวยาวๆ ฟันแหลมๆ ที่คอยจะโฉบเหยื่อโดยไม่ทันตั้งตัว
พอรับประทานอาหารค่ำเสร็จ คันเบ็ดที่ถูกปล่อยสายลงน้ำก็ร้องดัง พร้อมชุลมุนกับการเย่อปลาเป็นพัลวัน หมายนี้ใช้เวลาไปกว่า 5 ชม. กับฝูงปลาสากใหญ่นับ 10 ตัว ที่ได้เป็นรางวัลตอบแทน ก่อนที่ฝนจะก่อตัว เรือได้ถูกย้ายไปหลบอยู่หลังเกาะ เพื่อรอให้พายุได้เคลื่อนตัวผ่านไป เราเสียเวลาไปกว่า 2 ชม. จึงได้ย้ายหมายใหม่ไปที่ซากเรือจม ใกล้กับเกาะอาดัง แหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของสตูล
ลากเหยื่อทรอลลิง
หาปลาอินทรี และปลาโอ
เช้ามืด บังจ๊ะ สตาร์ทเครื่องเรือ เพื่อเดินทางเข้าหมายต่อไป พร้อมให้เปลี่ยนจากเหยื่อปลาหมึกเป็นเหยื่อปลอม แล้วใช้ความเร็วจากเรือลากเหยื่อปลอม หรือเรียกว่า ทรอลลิง (TROLLING) และยังแนะนำว่า การทรอลลิงนั้น ความสำคัญอยู่ที่รอก เพราะต้องจุสายเอ็นได้เยอะกว่ารอกตกปลาทั่วไป เวลาปล่อยเหยื่อปลอมลงน้ำ ต้องให้ห่างจากเรือประมาณ 50-100 ม. พร้อมปรับระบบเบรคของรอกให้มีความหนืด เวลาปลาฉวยเหยื่อคมเบ็ดจะได้ฝังติดปากปลา และสายต้องเป็นลวดสลิงเท่านั้น
หลังจากลากสายได้ไม่นาน คันชุดใหม่ที่ผูกเหยื่อปลอมของผมก็ร้องลั่น แต่ไม่ทันที่จะได้จับคัน น้ำหนักปลายสายเบาหวิว สรุปคือ เหยื่อปลอมตัวละ 700 บาท ที่เพิ่งซื้อจากกรุงเทพ ฯ ถูกมันคาบไปรับประทานหายไปกับสายน้ำ แต่ก็ถือว่าโชคยังดี เพราะคันเบ็ดอีก 1 ชุดที่วางไว้คู่กันนั้น ถูกปลาโอฉวยเหยื่อ ครั้งนี้ไม่พลาด ปลาโอขนาด 1 กก. ถูกนำขึ้นมาบนเรือ ไต้ก๋งคนเดิมนำไปแล่เป็นชิ้นแบบปลาดิบที่หากินได้ตามร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองกรุง ขาดก็แต่วาซาบิ ที่พวกเราพยายามหาซื้อจากฝั่ง แต่หาไม่ได้ น้ำจิ้มแบบซีฟูดจึงถูกประยุกต์ใช้ เพื่อกินกับปลาดิบ รสชาติอร่อยและแซบแบบไทยๆ
หมายเรือจม
กับทโรฟีไซซ์บิก
สมอถูกทิ้งลงน้ำอีกครั้ง ที่จอซาวน์เดอร์โชว์ระดับน้ำลึกประมาณ 45 ม. ใต้น้ำมีซากเรือขนาดใหญ่จมอยู่ ไต้ก๋งบอกหากโชคดีอาจจะได้เจอกับปลาเก๋าใหญ่ หรือที่คนเรือเรียกกันว่า ลูกหมู ตัวเล็กๆ ก็ประมาณ 10 กก. แต่มีเพื่อนนักตกปลาเคยงัดลูกหมูขึ้นมา น้ำหนักกว่า 40 กก. การตกปลาในช่วงเช้าตรู่อย่างนี้ จะมีอยู่ 2 แบบ คือ แบบหน้าดิน และลอยสาย
แบบหน้าดิน เพียงแค่หย่อนสายลงไปถึงพื้นน้ำ แล้วก็กรอเอ็นกลับเข้ามาประมาณ 5-10 รอบ เพื่อป้องกันปลาลากสายเข้าไปพันกับอุปสรรคใต้น้ำ
แบบลอยสาย สายที่ลอยออกไปต้องเป็นสายเส้นเล็ก และสีต้องกลืนกับสีน้ำทะเล เพราะปลาที่เข้ามาฉวยเหยื่อนั่น จะระวังตัวเป็นพิเศษ เหยื่อที่ใช้ต้องมีชีวิต แหวกว่ายในสายน้ำ เพื่อเป็นตัวล่อ สำหรับสายที่เกี่ยวตัวเบ็ดต้องเป็นลวดเฉกเช่นเดียวกับการตกปลาในเวลากลางคืน
ทโรฟีของผมมาจากหมายนี้ เริ่มด้วยชุดหน้าดิน ที่เกี่ยวเหยื่อหมึก ช่วงนี้ปลาเข้าฉวยเหยื่อรอบลำเรือ ยกเว้นแต่ของผม จนเพื่อนร่วมทริพได้กันไปคนละหลายตัว หลากชนิด ขนาดประมาณ 3-5 กก. ผ่านไปประมาณ 30 นาที ระหว่างที่ผมเหม่อมองทัศนียภาพโดยรอบ คันและรอกชุดเก่งของผมก็ร้องเสียงหลง ผมตั้งสติ คว้าคันและกวัดเบ็ดด้วยความเร็วและแรง แต่ก็ได้แต่ถือคันรั้งปลา โดยไม่มีโอกาสเก็บสายเข้ารอกเลยแม้แต่น้อยนิด บังยะ ตะโกนมาจากฝั่งซ้ายของเรือว่า "โดนเข้าแล้ว" กว่า 20 นาที ที่ได้ต่อสู้กับมัน ปลาโฉมงามขนาดประมาณ 8 กก. ก็ลอยมาบนผิวน้ำ และก็ถูกตักขึ้นมานอนนิ่งอยู่บนเรือ
ไม่นานนัก คันเบ็ดที่ลอยสายปักอยู่ท้ายเรือ ก็แผดเสียงร้อง เริ่มจากคันของเพื่อนร่วมทริพ ที่ใช้เวลาอัดสู้ปลาอยู่ประมาณ 15 นาที ปลาอินทรีก็ถูกตักขึ้นมาบนเรือ ชั่งน้ำหนักได้ประมาณ 3.5 กก. ด้วยการหลอกล่อของปลาหมึกศอกที่ลอยสายไว้ ห่างกันไม่นาน คันเบ็ดที่ผมลอยสายด้วยลูกปลาทูขนาด 1 คืบ ก็ร้องลั่น เป็นครั้งแรกที่ได้ลองอัดเย่อกับปลาชนิดนี้ ผมตั้งระบบเบรคของรอกให้อ่อนที่สุด หวังว่าจะเอาตัวมันขึ้นมาให้ได้ ประมาณ 15 นาที มันก็มาลอยอยู่ใกล้ๆเรือ แล้วก็ฮึดสู้แหวกว่ายไปกลางทะเลอยู่หลายครั้ง จนหมดแรงยอมเข้ามาแต่โดยดี ชั่งน้ำหนักได้ประมาณ 6.5 กก. เป็นที่เฮฮาของชาวคณะอย่างยิ่ง
ซังปลากลางทะเล
แหล่งปลาเหยื่อชุกชุม
เหยื่อในห้องขังใกล้หมด ไต้ก๋งต้องปรับแผนการใหม่ พร้อมชักชวนให้ไปหาเหยื่อลูกปลาทูลัง กลางทะเล หมายนี้เป็นเหมือนทางมะพร้าวที่ชาวประมงเอามาทับถมเพื่อให้ปลาเล็กใช้เป็นแหล่งหลบซ่อนการไล่ล่าจากปลาใหญ่ เหยื่อที่ใช้ชื่อว่า ซาบิกิ เป็นสายเอ็นยาวประมาณ 1 ม. ผูกตัวเบ็ดที่หุ้มด้วยพลาสติคเป็นพู่เรืองแสง 1 ชุด มี 5 ตัว วิธีการใช้เพียงแค่ปล่อยลงน้ำแล้วกระตุกเบาๆ เมื่อปลาเล็กเห็นเหยื่อก็จะเข้ามากัดเบ็ด เมื่อปลากินต้องรีบปลดเบ็ด เพราะปลาชนิดนี้เสียชีวิตไวมาก ผมใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็ได้ปลาทูลังมากว่า 100 ตัว เพียงพอที่จะเป็นปลาเหยื่อในตอนเช้าของวันสุดท้ายก่อนกลับเข้าฝั่ง
ปลาสละ
ทโรฟีสุดท้ายก่อนเข้าฝั่ง
เช้าตรู่เรือเข้าจอดด้านหน้าโขดหินที่มีประภาคารฝั่งเหนือเกาะหลีเป๊ะ หมายนี้มีปลาอินทรีไล่กัดลูกปลาให้เห็นอยู่บ่อยๆ สายลอยได้ถูกปล่อยลงน้ำอีกครั้ง กับข้าวมื้อสุดท้ายบนเรือตกปลาถูกตั้งสำรับ พร้อมนั่งล้อมวงกินข้าว ระหว่างนั้นสายที่ลอยไว้ถูกลากออกไปอย่างช้าๆ พอจับคันรั้งเพื่อสู้กับคู่ต่อสู้ เจ้าตัวใต้น้ำก็กระโดดขึ้นเหนือผิวน้ำอยู่หลายรอบ เพื่อสะบัดพันธนาการที่ยึดติดให้หลุดออก แต่ด้วยตัวเบ็ดที่แหลมคมจึงไม่หลุดออกง่ายๆ เมื่อปลาหมดแรงลอยเข้ามาใกล้เรือจึงรู้ว่าเป็น ปลาสละ ปลาเนื้อดีอีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาทำเป็นปลาหวาน น้ำหนักตัวขนาด 3 กก. ขึ้นมานอนอยู่บนเรือเป็นตัวปิดทริพได้อย่างสมบูรณ์แบบ
การเดินทางเที่ยวภาคใต้ยังไม่หมดเพียงแค่นี้ "ชีวิตอิสระ" ฉบับต่อไป ผมจะนำเสนอแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ที่ จ. พังงา ภายใต้ชื่อ "ภูตาจอ" ชมทะเลหมอกในดินแดนใต้ที่สวยงามไม่แพ้ภาคเหนือ พร้อมกับการเดินทางที่เป็นการทดสอบสมรรถนะระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ที่ต้องลุยแบบโหดๆ อย่าลืมติดตาม !!!
รูปแบบการเดินทาง
การเดินทางในครั้งนี้ ผมได้นำ โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก แชมพ์ 4x4 ที่สนับสนุนโดย บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ไปลุยบนเส้นทางกว่า 1,000 กม. แต่ด้วยสมรรถนะของเครื่องยนต์ และระบบเกียร์แบบอัตโนมัติ ทำให้ไม่เหนื่อยมากนัก ทุกโค้ง ทุกเนินเขา ช่วงล่างที่ให้ความยืดหยุ่น ทำให้คลายความเมื่อยล้าได้เป็นอย่างดี ทั้งยังมีระบบนำทางผ่านดาวเทียม หรือจีพีเอส บแรนด์ GARMIN จาก บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด ที่ช่วยให้เดินทางสบายไม่มีหลง พิกัดจีพีเอส อยู่ที่ตำแหน่ง N:6 51 34.691 E:99 43 22.92
เดินทางจากกรุงเทพ ฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 4 ผ่าน จ. ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร จากนั้นใช้ทางหลวงหมายเลข 41 ผ่านเข้าเขต จ. นครศรีธรรมราช พัทลุง จากพัทลุงไป อ. รัตนภูมิ จ. สงขลา ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 4 แล้วแยกขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 406 ถึง จ. สตูล ระยะทาง 973 กม. จากนั้นใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 406 ถึงบ้านฉลุง แยกซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 416 (สตูล-ละงู) ต่อด้วยทางหลวงหมายเลข 4052 ซึ่งแยกจาก อ. ละงู ตรงไปสู่ท่าเรือปากบารา
ขอขอบคุณ
- บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เอื้อเฟื้อ โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก เป็นพาหนะในการเดินทาง
- บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด เอื้อเฟื้อระบบนำทางผ่านดาวเทียม GARMIN รุ่น NUVI 2565
เรื่องโดย : ณัฐเทพ เผ่าจินดา natthep@autoinfo.co.th
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน เมษายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : ท่องเที่ยว
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/30490