รถใหม่
ในบรรดางานแสดงรถยนต์ระดับ "อินเตอร์" รวม 5 รายการ ที่เราเดินทางไปเยี่ยมเยือนและนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังต่อเนื่องกันมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษนี้ งานที่ต้องใช้เวลาในการเดินทางยาวนานที่สุด และต้องปวดเมื่อยเหนื่อยล้าที่สุด คือ งาน NAIAS (NORTH AMERICAN INTERNATION AUTO SHOW) หรือมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ ซึ่งมีขึ้นเป็นประจำทุกๆ ปีในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมกราคม
ในบรรดางานแสดงรถยนต์ระดับ "อินเตอร์" รวม 5 รายการ ที่เราเดินทางไปเยี่ยมเยือนและนำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังต่อเนื่องกันมายาวนานกว่า 2 ทศวรรษนี้ งานที่ต้องใช้เวลาในการเดินทางยาวนานที่สุด และต้องปวดเมื่อยเหนื่อยล้าที่สุด คือ งาน NAIAS (NORTH AMERICAN INTERNATION AUTO SHOW) หรือมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ ซึ่งมีขึ้นเป็นประจำทุกๆ ปีในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมกราคม
เราเดินทางไปเยือนมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์เป็นครั้งแรกเมื่อปี 2007 ในเวลานั้นหากเลือกใช้บริการของสายการบินเจ้าจำปี การเดินทางจากกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ ฯ ไปยังเมืองดีทรอยท์ (DETROIT) ซึ่งอยู่ในรัฐมิชิแกน (MICHIGAN) ของสหรัฐอเมริกา สามารถทำได้ 2 วิธี วิธีหนึ่ง คือ ขึ้นนกเหล็กของสายการบินเจ้าจำปีที่สนามบินดอนเมือง นั่งคุดคู้อยู่ครึ่งค่อนวัน แล้วไปลงดินที่สนามบิน JFK ของมหานครนิวยอร์ค จากนั้นก็นั่งสายการการบินภายในประเทศไปยังดีทรอยท์อีกทอดหนึ่ง อีกวิธีคือ บินกับนกเหล็กปีกใหญ่ของสายการบินเจ้าจำปีไปลงที่สนามบิน LAX ของนครลอสแองเจลิส จากนั้นก็บินกับเครื่องภายในประเทศไปยังดีทรอยท์ วิธีหลังนี้จะใช้เวลายาวนานกว่าวิธีแรกนิดหน่อย
ปีนี้คณะของเราเดินทางไปทำข่าวมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์เป็นครั้งที่ 6 และการเดินทางโดยสายการบินแห่งชาติหมดทางเลือก เพราะเที่ยวบินตรงจากเมืองไทยไปยังมหานครนิวยอร์คยกเลิกกันไปนานแล้ว ทีมงาน 3 ชีวิตออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิตอนหัวค่ำของวันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม ด้วยเที่ยวบิน TG794 ของสายการบินเจ้าจำปี เจ้านายใหญ่ใจดีให้นั่งชั้นธุรกิจ ก็ยังต้องนั่งเมื่อยแล้วเมื่อยอีกอยู่เกือบ 15 ชั่วโมง ก่อนนกเหล็กจะแตะล้อที่พื้นสนามบิน LAX ของนครลอสแองเจลิสเมื่อเวลา 19.20 น.ของวันเดียวกัน อย่าสงสัยว่าทำไมเป็นวันเดียวกันเวลาเดียวกัน ? ทั้งๆ ที่บอกว่าบินมาแล้วกว่าครึ่งกว่าค่อนวัน ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเวลาของนครลอสแองเจลิสช้ากว่าเวลาของกรุงเทพ ฯ เมืองฟ้าอมร ตอนน้ำไม่ท่วม 15 ชั่วโมงพอดิบพอดี
ไม่ได้ต่อเครื่องไปยังดีทรอยท์ทันที แต่แวะชมบ้านชมเมืองของลอสแองเจลิสอยู่ 2 วันเต็มๆ จนตอนดึกของวันเสาร์ที่ 7 มกราคม นั่นแหละ จึงเริ่มการเคลื่อนย้ายอันยาวไกลอีกครั้งหนึ่ง ช่วงนี้ใช้เที่ยวบิน DL1406 ของสายการบิน DELTA ซึ่งออกเดินทางจากสนามบิน LAX ของนครลอสแองเจลิสตอน 5 ทุ่มตรง บินไป 4 ชั่วโมงครึ่ง จึงถึงเมืองดีทรอยท์ซึ่งเวลาเร็วกว่าลอสแองเจลิส 3 ชั่วโมงตอน 6 โมงเช้าของวันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม สรุปรวมแล้ว การเดินทางขาไปต้องใช้เวลาอยู่ในอากาศรวมทั้งสิ้นประมาณ 19 ชั่วโมง แค่นี้อย่าเพิ่งตกกะใจ ขากลับหนักหนาสาหัสกว่านี้ เพราะการเดินทางเที่ยวกลับจากดีทรอยท์ไปยังลอสแองเจลิส และจากลอสแองเจลิสมายังสุวรรณภูมิ เป็นการบินสวนทางกับทิศทางการหมุนของโลก เครื่องบินต้องใช้เวลาบินมากกว่า คือ จาก 19 ชั่วโมงในเที่ยวไป เพิ่มเป็น 23 ชั่วโมงในเที่ยวกลับ ถ้าไม่คิดว่านี่คืองาน นอนอยู่บ้านสบายกว่ากันเยอะเลย
ที่หนักหนาสาหัสพอๆ กับการเดินทาง คือ สภาพอากาศของเมืองดีทรอยท์ ทุกครั้งที่คณะของเราเดินทางไปเยือนเมืองนี้ สิ่งที่เราได้พบเป็นอันดับแรก คือ หิมะขาวนวล และตัวเลขอุณหภูมิอากาศ ที่ต้องนำหน้าด้วยเครื่องหมายติดลบเมื่อแปลงจากองศาฟาเรนไฮท์เป็นองศาเซลเซียส ปีนี้โชคดีหน่อยที่อากาศไม่เลวร้ายอย่างที่เคยเจอ ช่วงเวลา 4 วันของการเยือนครั้งนี้ ไม่มีหิมะโปรยปราย ไม่มีกระแสลมที่พัดอย่างรุนแรง แม้ว่าอุณหภูมิยังคงใกล้ศูนย์เหมือนที่เคยเป็นทุกปี
สถานที่จัดงานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งล่าสุดนี้ ยังคงเป็นศูนย์นิทรรศการติดป้ายชื่อ COBO CENTER เช่นเดิม ไม่ได้ย้ายไปที่ไหนอื่น เป็นศูนย์ขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองนี้ก็จริง แต่ความยิ่งใหญ่อลังการเทียบกันไม่ได้เลยกับสถานที่ที่ใช้จัดงานอย่างเดียวกันนี้ในทวีปยุโรป ไม่ว่าจะเป็นมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทในเยอรมนี หรือมหกรรมยานยนต์ปารีสในฝรั่งเศส หรือแม้แต่มหกรรมยานยนต์เจนีวาในสวิทเซอร์แลนด์ อย่างไรก็ตาม COBO CENTER ก็ยังมีข้อดีอยู่หลายข้อ และข้อหนึ่งที่ทำให้คณะของเราทำงานได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ต้องเดินกันจนเมื่อยแล้วเมื่อยอีก ก็คือ พื้นที่จัดงานทั้งหมดอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน
มหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งนี้ มีช่วงเวลาจัดงาน 2 สัปดาห์เต็มไม่ขาดไม่เกิน 2 วันแรก คือ วันจันทร์ที่ 9 และวันอังคารที่ 10 มกราคม เป็นวัน PRESS PREVIEW ซึ่งสงวนไว้สำหรับสื่อมวลชนโดยเฉพาะ วันพุธที่ 11 และวันพฤหัสบดีที่ 12 เป็นวัน INDUSTRY PREVIEW ซึ่งผู้เข้าชม คือ บุคคลในวงการอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ยินดีซื้อบัตรผ่านประตูราคา 95 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 3,000 บาท วันศุกร์ที่ 13 เป็น CHARITY PREVIEW ซึ่งเป็นวันเพื่อการกุศลที่เก็บค่าเข้าชมแพงถึง 250 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 8,000 บาท ส่วนประชาชนทั่วไปต้องรอ 9 วันสุดท้าย คือ จากวันเสาร์ที่ 14 จนถึงวันอาทิตย์ที่ 22 ซึ่งเป็นวัน PUBLIC SHOW ที่เก็บค่าเข้าชมหัวละ 12 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 380 บาท ไม่ได้เปิดให้ดูฟรี เพราะดีทรอยท์ไม่ได้มีปัญหาน้ำท่วม
ปีนี้งานดูคึกคักกว่า 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากอุตสาหกรรมรถยนต์ในเมืองมะกันเริ่มฟื้นตัว และทำท่าว่ากำลังจะเข้าที่เข้าทาง มีรถใหม่เปิดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ในงานนี้มากกว่า 30 คัน ทั้งรถสัญชาติอเมริกันและรถจากต่างประเทศ พลิกไปดูได้เลยครับว่ามีรถอะไรกันบ้าง?
แคดิลแลค เอทีเอส
แคดิลแลค เอทีเอส (CADILLAC ATS) รถหน้าตาอเมริกัน คือ หนึ่งในบรรดารถใหม่มากกว่า 30 คัน ที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ในงานนี้ดังที่กล่าวข้างต้น เป็นรถหรูขนาดเล็กกะทัดรัดอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า COMPACT LUXURY CAR ที่ยักษ์ใหญ่เมืองมะกันออกแบบและพัฒนาเพื่อสู้กับรถ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 ที่คนรักรถในบ้านเราคุ้นเคยกันดี จะออกจำหน่ายฤดูร้อนปีมังกร ในตัวถังขนาด 4.643x1.805x1.421 ม. ที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหาง โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ถึง 3 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,998 ซีซี 201 กิโลวัตต์/270 แรงม้า เครื่องฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 2,457 ซีซี 149 กิโลวัตต์/200 แรงม้า และเครื่องฉีดตรง DOHC วี 6 สูบ 3,564 ซีซี 237 กิโลวัตต์/318 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังมี 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
แคดิลแลค เอกซ์ทีเอส
อวดตัวครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนปีกระต่ายและฉายซ้ำอีกครั้งที่งานนี้ คือ แคดิลแลค เอกซ์ทีเอส (CADILLAC XTS) รถอเมริกันอนุกรมใหม่ที่ฤดูใบไม้ผลิปีนี้จะออกสู่ตลาดในฐานะตัวตายตัวแทนของรถเก่า 2 อนุกรม ที่เพิ่งถูกปลดจากสายการผลิตเมื่อกลางปีกระต่าย คือ แคดิลแลค เอสทีเอส (CADILLAC STS) กับ แคดิลแลค ดีทีเอส (CADILLAC DTS) เป็นรถหรูขนาดใหญ่อย่างที่เรียกกันขานในภาษาอังกฤษว่า FULL-SIZE LUXURY CAR ตัวถังขนาด 5.131x1.851x1.501 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คน มีทั้งแบบขับล้อหน้า และขับทุกล้อ แต่มีเครื่องยนต์เพียงขนาดเดียว คือ เครื่องฉีดตรง DOHC วี 6 สูบ 3,564 ซีซี 224 กิโลวัตต์/300 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
บิวอิค เองกอร์
ผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องอีกชิ้นหนึ่งของยักษ์ใหญ่จีเอม ที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ในงานนี้ คือ บิวอิค เองกอร์ (BUICK ENCORE) รถอนุกรมใหม่ซึ่งต้องรอจนถึงต้นปี 2013 นั่นแหละจึงจะออกโชว์รูมในเมืองมะกัน เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัดอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า SUBCOMPACT CROSSOVER SUV ซึ่งออกแบบและพัฒนาโดยทีมงานของ จีเอม ในเกาหลีใต้ รวมทั้งจะใช้โรงงานที่เมืองบุบเยียงในแดนโสมเป็นที่ผลิตด้วย ตัวถังขนาด 4.278x1.774x1.646 ม. ซึ่งออกแบบให้นั่งได้รวม 5 คน จะมีทั้งแบบขับล้อหน้าและขับทุกล้อ แต่มีเครื่องยนต์ขนาดเดียว คือ เครื่องเทอร์โบ DOHC 1,364 ซีซี 103 กิโลวัตต์/140 แรงม้า ในยุโรปรถหน้าตาเหมือนๆ กันนี้จะออกจำหน่ายโดยติดป้ายชื่อ โอเพล มอคคา (OPEL MOKKA)
เชฟโรเลต์ โคด 130 อาร์
ยักษ์ใหญ่เมืองมะกันนำรถแนวคิดติดยี่ห้อ เชฟโรเลต์ ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" รวม 2 คัน คันสีแดงซึ่งติดป้ายชื่อ เชฟโรเลต์ โคด 130 อาร์ (CHEVROLET CODE 130R) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถคูเป 4 ที่นั่ง ที่ออกแบบและพัฒนาโดยมีผู้ใช้รถวัยหนุ่มวัยสาวเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ตัวถังขนาด 4.396x1.816x1.390 ม. มีรูปทรงองค์เอวสไตล์เดียวกับรถ ซีรีส์-1 คูเป ของค่ายใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว ใช้ระบบวางเครื่องหน้า/ขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยพลังของเครื่องยนต์เทอร์โบ DOHC 4 สูบเรียง 1,364 ซีซี 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ รายละเอียดภายในห้องโดยสารไม่มีอะไรให้กล่าวถึง รถแนวคิดคันนี้มีแต่ตัวถังภายนอก ภายในยังว่างเปล่า
เชฟโรเลต์ ทรู 140 เอส
รถแนวคิดอีกคันหนึ่งที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ในบูธของค่ายยักษ์ใหญ่ คือ คันสีขาวซึ่งติดป้ายชื่อ เชฟโรเลต์ ทรู 140 เอส (CHEVROLET TRU 140S) คันนี้เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถแฮทช์แบค 3 ประตู 4 ที่นั่ง ที่ออกแบบและพัฒนาโดยมีผู้ใช้รถวัยหนุ่มวัยสาวเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเช่นกัน ใช้เครื่องยนต์และระบบเกียร์ชุดเดียวกับคันสีแดง แต่เปลี่ยนระบบขับจากขับล้อหลังเป็นขับล้อหน้า ตัวถังขนาด 4.507x1.878x1.360 ม. มีรูปทรงองค์เอวเหมือนย่อส่วนจากรถสปอร์ทรุ่นใดรุ่นหนึ่งของค่าย ลัมโบร์กินี ภายในห้องโดยสารยังว่างเปล่าเช่นเดียวกัน คนของค่ายนี้บอกแก่ผู้สื่อข่าวว่า จะสอบถามความเห็นของผู้ชมงานว่าอยากได้ห้องโดยสารแบบไหน ? แล้วจะนำรถที่มีห้องโดยสารเรียบร้อยแล้วออกแสดงในงานหน้า แต่ไม่บอกว่างานไหน ?
ลินคอล์น มาร์คเซด คอนเซพท์
ลินคอล์น ผู้ผลิตรถหรู ซึ่งอยู่ในร่มเงาของยักษ์รอง ฟอร์ด เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนทั้งหัวแดงหัวดำและหัวขาวได้อย่างล้นหลาม ด้วยการใช้เวทีหมุนขนาดยักษ์ในงานนี้เป็นที่เปิดตัวรถแนวคิด ลินคอล์น มาร์คเซด คอนเซพท์ (LINCOLN MKZ CONCEPT) รถคันสีแดงเข้มในภาพบนและภาพใหญ่ซ้ายมือ เป็นต้นแบบของรถ ลินคอล์น มาร์คเซด รุ่นใหม่ ที่คาดหมายกันว่าค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาดในปี 2014 ตัวถังขนาด 4.931x1.864x1.446 ม. มีแผงกระจังหน้าที่ออกแบบเหมือนปีกนก และมีหลังคาที่ทำจากกระจกบานโตพาดยาวตั้งแต่ขอบบนของกระจกหน้าจนจรดบั้นท้าย ส่วนภายในห้องโดยสารที่ออกแบบให้นั่งกันเพียง 4 คน ก็ตกแต่งอย่างหรูหราฟู่ฟ่า เก้าอี้ที่นั่งหุ้มนั่งแท้สีแชมเปญ คอนโซลกลางพาดยาวตั้งแต่ตอนหน้าจนถึงตอนหลัง แผงหน้าปัดอุปกรณ์ติดตั้งจอ TFT (THIN FILM TRANSISTOR) LED แสดงข้อมูลต่างๆ และที่น่าทึ่งมากก็คือระบบเปลี่ยนจังหวะเกียร์ด้วยการกดปุ่ม
ฟอร์ด ฟิวชัน
ฟอร์ด ฟิวชัน (FORD FUSION) รุ่นใหม่ ผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องเพียงชิ้นเดียวของยักษ์รองเมืองมะกัน ที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ในงานนี้ เป็นรถเก๋งซีดานขนาดกลางที่ออกแบบและพัฒนาในเมืองมะกันโดยตั้งเป้าหมายไว้ว่า ผู้ที่นั่งอยู่ในรถแบบนี้ แม้ว่านั่งหลับตา ก็ยังรู้ว่ากำลังนั่งอยู่ในรถ ฟอร์ด จะเริ่มจำหน่ายในตลาดอเมริกาเหนือ และสหรัฐอเมริกาตอนปลายปีมังกร แต่ตลาดยุโรปและเอเซีย ซึ่งจะเปลี่ยนป้ายชื่อเป็น ฟอร์ด มนเดโอ (FORD MONDEO) ต้องรอปีถัดไป ที่น่าสนใจก็คือ ผู้ผลิตยืนยันว่า รถรุ่นใหม่นี้จะเป็นรถซีดานแบบแรกของโลกที่มีระบบขับให้เลือกใช้ถึง 3 แบบ คือ ขับด้วยเครื่องยนต์เบนซิน ขับแบบไฮบริดชนิดไม่ต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ และขับแบบไฮบริดชนิดที่ต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ที่เรียกกันว่า PLUG-IN HYBRID
ฟอร์ด โฟคัส อีเลคทริค
นำมาให้ดูกันชัดๆ ถนัดตาอีกครั้งหนึ่งคือ ฟอร์ด โฟคัส อีเลคทริค (FORD FOCUS ELECTRIC) รถไฟฟ้าแบบแรกของยักษ์รองเมืองมะกันที่ฤดูใบไม้ผลิปีนี้จะออกตลาด เป็นรถขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 107 กิโลวัตต์/143 แรงม้า ที่รับพลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 23 กิโลวัตต์ชั่วโมง ระบายความร้อนด้วยของเหลว ซึ่งติดตั้งอยู่ตรงท้ายรถ ประจุไฟแต่ละครั้งด้วยไฟบ้าน 120 โวลท์ จะใช้เวลาประมาณ 18-20 ชั่วโมง และเสียค่าไฟประมาณ 2-3 เหรียญสหรัฐ น แต่เมื่อใช้ชุดชาร์จไฟที่ทำขึ้นโดยเฉพาะและใช้ไฟ 240 โวลท์ จะลดเหลือแค่ 3-4 ชั่วโมง น่าเสียดายที่ยังหาตัวเลขไม่ได้ว่า ประจุเต็มหม้อแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลแค่ไหน ? ทราบก็แต่เพียงว่าสามารถทำความเร็วสูงสุด 136 กม./ชม.
ฟอร์ด เอสเคพ
อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนปีกระต่าย แต่ทีมงานของเราเพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเสียงจริงเป็นครั้งแรกก็ที่งานนี้ คือ รถกิจกรรมกลางแจ้ง ฟอร์ด เอสเคพ (FORD ESCAPE) รุ่นใหม่ ซึ่งฤดูใบไม้ผลิปีนี้จะเริ่มออกโชว์รูมในเมืองมะกัน เป็นรถใหม่เอี่ยมแกะกล่องที่ผู้ผลิตนั่งยันและยืนยันว่า มีคุณลักษณะพิเศษรวม 11 รายการ ที่ไม่สามารถพบได้ในรถประเภทเดียวกันแบบใดๆ ตัวอย่างเช่น ประตูบานท้ายที่เปิดได้เองโดยอัตโนมัติเมื่อใช้เท้าเตะอย่างเบาๆ ที่ใต้กึ่งกลางของกันชนหลัง ระบบนำรถเข้าสู่ที่จอดได้เองโดยที่ผู้ขับไม่ต้องหมุนพวงมาลัย เพียงแต่เหยียบคันเร่ง และคันห้ามล้อ ระบบลดความเร็วโดยอัตโนมัติเมื่อขับรถเข้าโค้งเร็วเกินไป และเพิ่มความเร็วในกรณีกลับกัน
ดอดจ์ ดาร์ท
ค่ายไครสเลอร์/ดอดจ์ นำผลใหม่ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" รวม 2 ชิ้น ชิ้นแรกในภาพบนและภาพใหญ่ซ้ายมือเป็นรถอเมริกันพันธุ์ไม่แท้ติดป้ายชื่อ ดอดจ์ ดาร์ท (DODGE DART) ผลพวงจากการที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองมะกะโรนีก้าวเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของค่ายนี้เมื่อปี 2009 เป็นรถเก๋งซีดานขนาด 4.672x1.830x1.465 ม. ที่ขอหยิบขอยืมชิ้นส่วนหลายชิ้นรวมทั้งพแลทฟอร์มจากรถ อัลฟา โรเมโอ จูลิเอตตา (ALFA ROMEO GIULIETTA) มีกำหนดออกตลาดในเมืองมะกันตอนปลายปีมังกรทองในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2013 โดยใช้โรงงานที่เมืองเบลวิเดียร์ (BELVIDERE) ในรัฐมิชิแกนเป็นที่ผลิต และมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ถึง 3 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบ SOHC 4 สูบเรียง 1.4 ลิตร 119 กิโลวัตต์/160 แรงม้า เครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร 119 กิโลวัตต์/160 แรงม้า และเครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 2.4 ลิตร 138 กิโลวัตต์/184 แรงม้า
ไครสเลอร์ 700 ซี
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของค่ายไครสเลอร์/ดอดจ์ ที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ในงานนี้ คือ รถอเนกประสงค์ระดับหรูติดป้ายชื่อ ไครสเลอร์ 700 ซี (CHRYSLER 700C) ที่น่าสนใจ คือ เป็นการอวดตัวอย่างฉับพลันกะทันหันและแทบไม่มีการเตรียมตัวมาก่อน แหล่งข่าววงในระบุว่า เพียง 2-3 วันก่อนวันเริ่มงานนั่นแหละ นายใหญ่ของค่ายนี้จึงตัดสินใจให้นำรถออกแสดงเพื่อวัดปฏิกิริยาของสื่อมวลชนและผู้ชมงาน ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดใดๆ ทั้งในส่วนของตัวถังและเครื่องยนต์กลไก สื่อมวลชนในเมืองมะกัน จึงคาดคะเนกันไปต่างๆ นานา บ้างก็ว่าน่าจะได้ชิ้นส่วนหลายชิ้นจากรถประเภทเดียวกันของค่าย ลันชา บ้างก็ว่าอาจจะเป็นต้นแบบของรถไฟฟ้า หรือรถไฮบริดแบบต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟที่ค่ายนี้จะผลิตจำหน่ายในอนาคต
เอาดี คิว 3 เวล
เอาดี คิว 3 เวล (AUDI Q3 VAIL) จุดโฟคัสสายตาในบูธของค่าย "สี่ห่วง" เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็กกะทัดรัด ออกแบบเพื่อเอาใจผู้ใช้รถวัยหนุ่มวัยสาวที่ชื่นชอบกีฬาฤดูหนาวอย่างสกีหรือสโนว์บอร์ด ตัวถังเคลือบสีแดง ENERGY RED ดัดแปลงจากตัวถังของรถตลาด เอาดี คิว 3 (AUDI Q3) โดยปรับปรุงรายละเอียดมากมายทั้งภายนอกและภายใน รวมทั้งติดตั้งดวงไฟ LED บนหลังคาและใช้ล้อขนาดโตถึง 20 นิ้ว เป็นรถขับเคลื่อนทุกล้อแบบถาวร ด้วยพลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 5 สูบเรียง 2.5 ลิตร 231 กิโลวัตต์/314 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 5.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 262 กม./ชม.
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอล-คลาสส์
ค่าย "ดาวสามแฉก" นำผลงานใหม่ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" หลายชิ้น ชิ้นที่เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนได้มากที่สุดคือรถสปอร์ท เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอล-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ SL-CLASS) รุ่นใหม่ ซึ่งอวดตัวเคียงข้างกับรถแข่ง เมร์เซเดส-เบนซ์ 300 เอสแอล (MERCEDES-BENZ 300SL) รุ่นปี 1952 ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของรถสปอร์ทอนุกรมนี้ ในเมืองแม่ คือ เยอรมนีรถรุ่นใหม่นี้รับใบสั่งจองจากลูกค้าแล้วเมื่อวันที่ 15 ธันวาคมปีกระต่าย โดยมีรถให้เลือกรวม 2 โมเดล คือ SL 350 BLUEEFFICIENCY ค่าตัว 93,534 ยูโร กับ SL 500 BLUEEFFICIENCY ค่าตัว 117,096 ยูโร แต่ในสหรัฐอเมริกา ต้องรอจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปีมังกรทองนั่นแหละรถรุ่นใหม่นี้จึงจะออกโชว์รูม และจะมีเพียงโมเดลเดียวคือ SL 550 ติดตั้งเครื่องยนต์ไบเทอร์โบฉีดตรง DOHC วี 8 สูบ 4,663 ซีซี 429 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะ
เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 300 บลูเทค ไฮบริด
งานใหม่อีกชิ้นหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์นำออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ในงานนี้ คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 300 บลูเทค ไฮบริด (MERCEDES-BENZ E 300 BLUETEC HYBRID) ที่ปรากฏตัวพร้อมคำกล่าวอ้างว่าเป็น THE WORLD'S MOST ECONOMICAL LUXURY-CLASS MODEL หรือ "รถหรูที่ประหยัดเชื้อเพลิงที่สุดในโลก" รถไฮบริดโมเดลนี้ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 2,143 ซีซี 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 20 กิโลวัตต์/27 แรงม้า ที่รับพลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 0.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถทำความเร็วสูงสุด 242 กม./ชม. โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 4.2 ลิตร/100 กม.และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์แค่ 109 กรัม/กม.
เมร์เซเดส-เบนซ์ อี 400 ไฮบริด
รถไฮบริดอีกรุ่นหนึ่งที่ค่าย"ดาวสามแฉก"นำออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" คือ เมร์เซเดส เบนซ์ อี 400 ไฮบริด (MERCEDES-BENZ E 400 HYBRID) เป็นรถที่ออกแบบและพัฒนาขึ้นโดยเฉพาะสำหรับตลาดอเมริกาเหนือ ไม่มีเป้าหมายที่จะออกขายในเมืองแม่ รถโมเดลนี้ใช้ระบบขับล้อหลังแบบไฮบริด ด้วยกำลังของเครื่องยนต์เบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 3,498 ซีซี 225 กิโลวัตต์/306 แรงม้า และมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 20 กิโลวัตต์/27 แรงม้า ที่ได้พลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 0.8 กิโลวัตต์ชั่วโมง อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ทำได้ใน 6.7 วินาที ความเร็วสูงสุดจำกัดไว้ที่ 130 ไมล์/ชม. หรือประมาณ 210 กม./ชม. ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย คือ 11.5 กม./ลิตร
สมาร์ท ฟอร์ อัส
สมาร์ท ฟอร์ อัส (SMART FOR US) ผลงานชิ้นล่าสุดของยอดผู้ผลิตรถจิ๋วเมืองเบียร์ที่ขยันทำรถแนวคิด เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถพิคอัพขนาดกระจิริดกระจิ๋วหลิวออกแบบสำหรับการใช้งานในเขตเมือง ตัวถังขนาด 3.547x1.506x1.701 ม.มีกระบะท้ายที่ออกแบบอย่างชาญฉลาด คือ ทำส่วนพื้นให้มีลักษณะเหมือนถาด สามารถกดปุ่มบังคับควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าให้เลื่อนถอยหลังและยื่นออกจากตัวรถได้ถึง 28 ซม. เป็นรถที่ไม่ติดตั้งเครื่องยนต์ เพราะใช้ระบบขับล้อหลังด้วยพลังไฟฟ้าเหมือนรถ สมาร์ท ฟอร์ทู อีเลคทริค ดไรฟ (SMART FORTWO ELECTRIC DRIVE) ที่กำลังวิ่งอยู่กลาดเกลื่อนในหลายเมืองของยุโรปและสหรัฐอเมริกา คือ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 55 กิโลวัตต์/75 แรงม้า ที่ได้พลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION)
บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3
เปิดตัวผ่านสื่อต่างๆ มาแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคมปีกระต่าย แต่ต้องรอจนถึงงานนี้นี่เอง คนรักรถจึงมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเสียงจริงของ บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-3 (BMW 3-SERIES) รุ่นใหม่ในตัวถังซีดาน ในเมืองแม่ คือ เยอรมนีรถรุ่นใหม่ซึ่งเป็นรุ่นที่ 6 นี้ จะมีให้เลือกใช้ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล แต่ในสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดใหญ่อีกตลาดหนึ่งของรถหรูอนุกรมนี้รถดีเซลไม่เป็นที่นิยม ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ จึงส่งรถไปขายเพียง 2 โมเดล คือ BMW 328I SEDAN ติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,997 ซีซี 240 แรงม้า กับ BMW 335I SEDAN ติดตั้งเครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,979 ซีซี 300 แรงม้า ทั้ง 2 โมเดล มีระดับการตกแต่งและอุปกรณ์ให้เลือกใช้ 3 แบบ คือ SPORT LINE-MODERN LINE-LUXURY LINE สนนราคาค่าตัวเริ่มต้นที่ 34,900 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือเท่ากับประมาณ 1.12 ล้านบาทไทย
บีเอมดับเบิลยู แอคทีฟ ไฮบริด 3
ปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้เช่นเดียวกัน คือ บีเอมดับเบิลยู แอคทีฟ ไฮบริด 3 (BMW ACTIVE HYBRID 3) รถเอาใจคนรักสีเขียวที่ต้องรอจนกว่าจะถึงฤดูใบไม้ร่วงของปีมังกรทอง จึงจะออกจำหน่ายในเมืองเบียร์ รถหรูแต่ประหยัดเชื้อเพลิงโมเดลนี้ ใช้เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง 225 กิโลวัตต์/306 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 40 กิโลวัตต์/54 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับรถไฮบริด ได้กำลังรวมสูงสุด 250 กิโลวัตต์/340 แรงม้า และมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่เยี่ยมมาก คือ แค่ 6.4 ลิตร/100 กม. หรือ 15.6 กม./ลิตร ในกรณีที่วิ่งด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว จะวิ่งได้ไกลประมาณ 3-4 กม. ด้วยความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม.
โฟล์คสวาเกน เจททา ไฮบริด
ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของเมืองเบียร์นำผลงานใหม่ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" รวม 2 ชิ้น ชิ้นแรกในภาพบน คือ โฟล์คสวาเกน เจททา ไฮบริด (VOLKSWAGEN JETTA HYBRID) เป็นรถโมเดลพิเศษที่เดือนพฤศจิกายนปีมังกรทองจะออกโชว์รูมในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา พัฒนาจากรถ โฟล์คสวาเกน เจททา รุ่นสามัญ โดยเปลี่ยนระบบขับจากขับด้วยพลังของเครื่องยนต์สันดาปภายในเพียงอย่างเดียวเป็นขับแบบไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดตรง 4 สูบเรียง 1,395 ซีซี 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 20 กิโลวัตต์/27 แรงม้า และใช้แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 1.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่น่าประทับใจมาก คือ 16.0 กม./ลิตร
โฟล์คสวาเกน อี-บักสเตอร์
งานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์ที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ในงานนี้ คือ โฟล์คสวาเกน อี-บักสเตอร์ (VOLKSWAGEN E-BUGSTER) รถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเต่าทองเปิดประทุนขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า ตัวถังยาวเท่ากับรถ โฟล์คสวาเกน บีเทิล (VOLKSWAGEN BEETLE) รุ่นล่าสุดพอดิบพอดี แต่กว้างและเตี้ยกว่าเล็กน้อย ห้องโดยสารซึ่งนั่งได้แค่ 2 คน ใช้ประทุนแบบแข็ง ส่วนระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 85 กิโลวัตต์/116 แรงม้า และใช้แบทเตอรีลิเธียม-ไอออนขนาด 28.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง ประจุไฟเต็มหม้อแต่ละครั้ง รถจะวิ่งได้ไกลไม่น้อยกว่า 180 กม. เป็นระบบประจุไฟ COMBINED CHARGING SYSTEM ที่ทำให้สามารถเลือกวิธีประจุไฟได้หลากหลายวิธี บางวิธีใช้เวลาแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นเอง
มีนี โรดสเตอร์
มีนี โรดสเตอร์ (MINI ROADSTER) รถที่เปิดตัวผ่านสื่อนานาชนิดมาตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมปีกระต่าย แต่ไม่มีใครได้สัมผัสตัวจริงเสียงจริงจนกระทั่งที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ครั้งนี้ เป็นรถแบบที่ 6 และรถเปิดประทุน 2 ที่นั่งแบบแรกของยอดผู้ผลิตรถจิ๋วเมืองผู้ดี ตัวถังขนาด 3.728-3.758x1.683x1.384-1.391 ม. ดัดแปลงจากตัวถังของรถเปิดประทุน 4 ที่นั่ง มีนี คอนเวอร์ทิเบิล (MINI CONVERTIBLE) และใช้ประทุนหลังคาแบบอ่อนเปิด/ปิดด้วยระบบกึ่งอัตโนมัติ กำลังจะออกโชว์รูมในเมืองมะกันโดยมีรถให้เลือกรวม 3 โมเดล คือ MINI COOPER ROADSTER ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 121 แรงม้า MINI COOPER S ROADSTER ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 181 แรงม้า และ MINI JOHN COOPER WORKS ROADSTER ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 208 แรงม้า
โพร์เช 911 คาร์เรรา กาบริโอเลต์
ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองเบียร์เรียกความสนใจด้วย โพร์เช 911 คาร์เรรา กาบริโอเลต์ (PORSCHE 911 CARRERA CABRIOLET) ซึ่งใช้งานนี้เป็นที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" พัฒนาจากรถ โพร์เช 911 คาร์เรรา รุ่นใหม่ซึ่งเพิ่งออกขายในเมืองเบียร์เมื่อปลายปีกระต่าย โดยเปลี่ยนจากหลังคาแข็งเป็นหลังคาเปิดประทุนแบบอ่อน บังคับควบคุมด้วยการกดปุ่มที่ติดตั้งอยู่ตรงคอนโซลกลางหรือจากภายนอกตัวรถด้วยระบบรีโมทคอนทโรล การเปิดหรือปิดประทุนแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 30 วินาที และทำได้เมื่อยังใช้ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. ออกขายแล้วในเมืองแม่โดยมีรถให้เลือกรวม 2 โมเดล คือ 911 CARRERA CABRIOLET ค่าตัว 100,532 ยูโร กับ 911 CARRERA S CABRIOLET ค่าตัว 114,931 ยูโร
โวลโว เอกซ์ซี 60 พลัก-อิน ไฮบริด คอนเซพท์
ผู้ผลิตรถเมืองฟรีเซกซ์ ซึ่งมีเจ้าของนั่งจิบเต๊อยู่ในเมืองมังกร เลือกใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวงานชิ้นใหม่ล่าสุด คือ โวลโว เอกซ์ซี 60 พลัก-อิน ไฮบริด คอนเซพท์ (VOLVO XC60 PLUG-IN HYBRID) รถที่น่าจะถูกใจคนรักสีเขียว เป็นรถแนวคิดที่พัฒนาจากรถตลาด โวลโว เอกซ์ซี 60 โดยเปลี่ยนระบบขับ จากขับด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายในอย่างเดียว เป็นขับแบบไฮบริดโดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน 206 กิโลวัตต์/280 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 51 กิโลวัตต์/70 แรงม้า มีปุ่มให้เลือกการทำงานได้ 3 แบบ คือ PURE รถจะวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าอย่างเดียวซึ่งจะไปได้ไกลถึง 56 กม. HYBRID เครื่องยนต์จะทำงานร่วมกับมอเตอร์ในลักษณะเน้นความประหยัด และ POWER เครื่องยนต์จะทำงานร่วมกับมอเตอร์โดยเน้นพละกำลังสูงสุดเท่าที่จะเป็นไปได้
เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล จีที วี 8
อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน คือ เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล จีที วี 8 (BENTLEY CONTINENTAL GT V8) รถโมเดลใหม่เอี่ยมแกะกล่องของยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองผู้ดีที่เจ้าของไม่ใช่คนอังกฤษ พัฒนาจากรถ เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล จีที รุ่นล่าสุดซึ่งเพิ่งออกจำหน่ายเมื่อต้นปีกระต่าย โดยติดตั้งเครื่องยนต์ที่มีขนาดเล็กลง และร้อนแรงน้อยลง คือ เปลี่ยนจากเครื่องทวินเทอร์โบ DOHC ดับเบิลยู 12 สูบ 5,998 ซีซี 423 กิโลวัตต์/575 แรงม้า เป็นเครื่องทวินเทอร์โบ DOHC วี 8 สูบ 4.0 ลิตร 373 กิโลวัตต์/507 แรงม้า รวมทั้งเปลี่ยนระบบเกียร์ที่ใช้ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลัง จากเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เป็นเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ ออกขายแล้วในเมืองแม่ด้วยค่าตัว 123,850 ปอนด์ หรือประมาณ 6.2 ล้านบาทไทย
โตโยตา เอนเอส 4
ยักษ์ใหญ่เมืองยุ่นนำรถแนวคิดออกแสดงในงานนี้หลายคัน และเกือบทุกคันล้วนเป็นรถที่เคยเห็นกันมาแล้วที่งานมหกรรมยานยนต์โตเกียวครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือนธันวาคมปีกระต่าย มีก็แต่เพียง โตโยตา เอนเอส 4 (TOYOTA NS4) ในภาพบนและภาพใหญ่ขวามือเท่านั้น ที่ปรากฏตัวในงานนี้แบบ "ครั้งแรกในโลก" เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเก๋งซีดานขนาดกลางขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดแบบต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ที่ยักษ์ใหญ่เมืองยุ่นรังสรรค์ขึ้นเพื่อบอกให้รู้ว่า จะคาดหวังอะไรได้บ้าง ? จากรถติดยี่ห้อ โตโยตา ที่จะออกจำหน่ายในอนาคต ตัวถังรูปทรงปราดเปรียวเคลือบสีแดงเข้ม มีรูปลักษณ์การออกแบบที่ดูแล้วสะดุดตาสะดุดใจอยู่หลายจุด ตัวอย่างเช่น แผงกระจังหน้าที่รวมตัวอยู่กับกันชนหน้า A-PILLARS หรือเสาค้ำยันคู่หน้า ที่เรียวบางไม่บดบังสายตาของผู้ขับและผู้โดยสาร และการแทนที่กระจกมองข้างทั้ง 2 ด้านด้วยกล้องถ่ายภาพเคลื่อนไหวที่มีมุมรับภาพกว้างกว่า
โตโยตา ปรีอุส ซี
เมื่อต้นปีกระต่าย โตโยตา ปรีอุส ซี (TOYOTA PRIUS C) อวดตัวที่งานนี้ในฐานะรถแนวคิด มาถึงปีมังกรทองรถชื่อเดียวกันอวดตัวให้เห็นอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้อยู่ในรูปลักษณ์ของรถที่กำลังจะออกโชว์รูม นับเป็นพัฒนาการล่าสุดของรถไฮบริดตระกูล ปรีอุส ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากผู้ใช้รถในเมืองมะกัน มีกำหนดออกจำหน่ายเดือนมีนาคม ในตัวถังแฮทช์แบคขนาด 3.995x1.695x1.445 ม. และติดป้ายค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 19,000 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือประมาณ 0.61 ล้านบาทไทย ระบบขับล้อหน้าแบบไฮบริดใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 54 กิโลวัตต์/73 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 45 กิโลวัตต์/60 แรงม้า ได้กำลังรวมสูงสุด 74 กิโลวัตต์/99 แรงม้า ในเมืองแม่ คือ ญี่ปุ่น รถแบบนี้ติดป้ายชื่อ โตโยตา อควา (TOYOTA AQUA)
เลกซัส แอลเอฟ-แอลซี
อวดตัวแบบ"ครั้งแรกในโลก"เช่นกันคือ เลกซัส แอลเอฟ-แอลซี (LEXUS LF-LC) ผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องของยอดผู้ผลิตรถระดับพรีเมียมเมืองยุ่น เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ทคูเป 2+2 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริด และเพียบไปด้วยอุปกรณ์ไฮเทควิลิศมาหรา ตัวถังที่ออกแบบในสหรัฐอเมริกาโดยศูนย์ CALTY DESIGN STUDIO ในรัฐแคลิฟอร์เนีย มีจุดดึงดูดสายตามากมาย รวมทั้งแผงกระจังหน้าขนาดโตรูปลักษณ์เหมือนหลอดด้ายขนาดใหญ่ ดวงโคมไฟหน้ารูปสามเหลี่ยมที่ติดไฟแอลอีดีไว้ด้านละ 3 ดวง และฝากระโปรงหน้ารูปทรงเหมือนประติมากรรมชิ้นสำคัญ ภายในห้องโดยสารซึ่งทัศนวิสัยโปร่งตาเพราะใช้หลังคากระจก ติดตั้งอุปกรณ์สื่อสารและนำทางสารพัดชนิด รวมทั้งจอแอลซีดีที่ควบคุมการทำงานด้วยระบบสัมผัส
นิสสัน อี-เอนวี 200 คอนเซพท์
ยักษ์รองเมืองยุ่นนำผลงานใหม่ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" รวม 2 ชิ้น ชิ้นแรกในภาพขวามือ คือ นิสสัน อี-เอนวี 200 (NISSAN E-NV200) เป็นรถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถไฟฟ้าที่ค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาดในอนาคตอันใกล้ ตัวถังทรงกล่องเดียวขนาด 4.575x1.758x1.825 ม. ที่ดัดแปลงจากรถตลาด นิสสัน เอนวี 200 (NISSAN NV200) ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมทั้งในสหรัฐอเมริกา มีห้องโดยสารที่ออกแบบให้ใช้งานได้อย่างคล่องตัวทั้งการบรรทุกคนและบรรทุกสินค้า ระบบขับล้อหน้าด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ใช้มอเตอร์ 80 กิโลวัตต์/109 แรงม้า และแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 24 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่ติดตั้งอยู่ใต้พื้นรถ ประจุไฟแต่ละครั้งโดยใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง รถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 200 กม.
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/บริษัทผู้ผลิต formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/30445