รถใหม่
แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2011 ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและธุรกิจอุตสาหกรรมในประเทศญี่ปุ่น ไม่มีขาดตกยกเว้นแม้กระทั่งงานแสดงรถยนต์รายการสำคัญซึ่งมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า THE 42ND TOKYO MOTOR SHOW หรือ "มหกรรมยานยนต์โตเกียวครั้งที่ 42" ที่ต้องเลื่อนกำหนดวันจัดงานจากปลายเดือนตุลาคมเป็นต้นเดือนธันวาคม รวมทั้งต้องเปลี่ยนสถานที่จัดงานอีกต่างหาก
แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2011 ส่งผลกระทบอย่างมหาศาลต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนและธุรกิจอุตสาหกรรมในประเทศญี่ปุ่น ไม่มีขาดตกยกเว้นแม้กระทั่งงานแสดงรถยนต์รายการสำคัญซึ่งมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า THE 42ND TOKYO MOTOR SHOW หรือ "มหกรรมยานยนต์โตเกียวครั้งที่ 42" ที่ต้องเลื่อนกำหนดวันจัดงานจากปลายเดือนตุลาคมเป็นต้นเดือนธันวาคม รวมทั้งต้องเปลี่ยนสถานที่จัดงานอีกต่างหาก
มหกรรมยานยนต์โตเกียว อุบัติขึ้นเป็นครั้งแรกระหว่างวันที่ 20-29 เมษายน 1954 สถานที่จัดงาน คือ สวนสาธารณะ HIBIYA PARK ซึ่งอยู่กลางกรุงโตเกียว ในเวลานั้นสิ่งบ่งบอกสถานะทางสังคมของคนญี่ปุ่นที่เพิ่งผ่านความยากลำบากในช่วงสงครามโลกมีอยู่ 3 อย่าง คือ ตู้เย็น เครื่องซักผ้าไฟฟ้า และเครื่องดูดฝุ่นสุญญากาศ รถยนต์นั้นไม่ต้องพูดถึง ในเวลานั้นสำหรับคนส่วนใหญ่รถยนต์ยังเป็นสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อม ปรากฏว่าในช่วงเวลา 10 วันของการจัดงานดังกล่าว คนญี่ปุ่นแทบจะเหยียบกันตาย เพราะมีผู้คนหลั่งไหลเข้าชมงานมากกว่า 547,000 คน ทั้งๆ ที่มีรถแสดงในงานเพียง 267 คัน และมีอยู่แค่ 17 คันเท่านั้นที่เป็นรถยนต์นั่ง หรือรถเก๋ง
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่งานครั้งที่ 28 เมื่อปี 1989 เป็นต้นมา มหกรรมยานยนต์โตเกียวไม่ได้จัดในกรุงโตเกียว แต่ย้ายไปจัดกันใน CHIBA PREFECTURE หรือ จังหวัดชิบะ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของกรุงโตเกียว สถานที่จัดงานเป็นศูนย์นิทรรศการที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่ มีชื่อเรียกในภาษาฝรั่งว่า MAKUHARI MESSE หรือ NIPPON CONVENTION CENTER ตั้งอยู่ริมทะเล ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมงเมื่อเดินทางด้วยรถไฟจากสถานีโตเกียว เทียบกับบ้านเราก็ประมาณจังหวัดฉะเชิงเทรา อย่างไรก็ตาม ชื่องานก็ยังคงใช้ชื่อเดิม ไม่ได้เปลี่ยนชื่อตามสถานที่
หลังจากซัดเซพเนจรจากเมืองหลวงไป 2 ทศวรรษเต็ม คือ ตั้งแต่งานครั้งที่ 28 ในปี 1989 จนถึงครั้งที่ 41 เมื่อปี 2009 ปีนี้มหกรรมยานยนต์โตเกียวก็หวนคืนรังเดิม เหตุผลที่เลื่อนงานไปเกือบ 2 เดือนเพราะพิษสึนามิพอฟังได้อยู่ แต่ที่เปลี่ยนสถานที่จัดงานโดยอ้างเหตุผลว่าที่ใหม่อยู่ใกล้กว่าและสะดวกสบายกว่านั้น ต้องฟังหูไว้หู เพราะสัมผัสมาแล้วด้วยตนเองไม่ใช่ฟังเขาเล่าว่า ที่ใหม่อยู่ใกล้กว่าก็จริงอยู่ แต่พื้นที่จัดงานดูจะคับแคบกว่าและอึดอัดกว่าอย่างรู้สึกได้ชัด
สถานที่จัดงานมหกรรมยานยนต์โตเกียวครั้งที่ 42 เป็นศูนย์นิทรรศการขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกกันในภาษาญี่ปุ่นว่า TOKYO BIGGU SAITO ซึ่งตรงกับ TOKYO BIG SIGHT ในภาษาอังกฤษ เพิ่งเปิดใช้งานเมื่อเดือนเมษายน 1996 ทำเลที่ตั้งอยู่ริมอ่าวโตเกียว ในย่านที่มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า ODAIBA, TOKYO BAY เดินทางด้วยรถไฟฟ้าจากสถานี OSAKI ในแถบตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงโตเกียวใช้เวลาแค่ 13 นาที ค้นข้อมูลจากสารานุกรมออนไลน์วิคิพีเดียก็พบว่า ศูนย์นิทรรศการแห่งใหม่นี้มีพื้นที่กว้างถึง 230,873 ตารางเมตร คือ 2 เท่าของสถานที่จัดงานเดิม แต่มีอยู่เพียงร้อยละ 35 เท่านั้นที่เป็นพื้นที่ภายในอาคาร จุดดึงดูดสายตาของศูนย์นี้คือ ลักษณะทางสถาปัตยกรรม และความสูง 58 เมตร ของอาคารสูง 8 ชั้น (ชั้นบนสุดเป็นห้องประชุมขนาดใหญ่) ดังที่เห็นในภาพ
โตชิยูกิ ชิกะ (TOSHIYUKI SHIGA) ซีโอโอ หรือประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการของ นิสสัน มอเตอร์ ผู้ดำรงตำแหน่งประธานของ JAMA (JAPAN AUTOMOBILE MANUFACTURERS ASSOCIATION) หรือ สมาคมผู้ผลิตยานยนต์แห่งประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้จัดงานนี้ ประกาศทั้งด้วยคำพูดและเป็นลายลักษณ์อักษรว่า ตั้งใจทำมหกรรมยานยนต์โตเกียว เป็น THE WORLD'S FOREMOST TECHNOLOGY MOTOR SHOW หรือ "มหกรรมยานยนต์ที่มีเทคโนโลยีก้าวล้ำนำสมัยที่สุดในโลก"
"ในขณะที่เราอาจจะมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับงานอย่างเดียวกันในหลายๆ ประเทศ สิ่งที่เราทำ คือ การนำเสนองานแสดงรถยนต์ที่ไม่เพียงแต่ส่งเสริมสนับสนุนสินค้าของเราเท่านั้น หากยังบ่งบอกความคิดของเราที่มีต่อบทบาทของการเคลื่อนที่จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง รวมทั้งความเชื่อมโยงของมันกับสังคม" เขาว่า คงด้วยเหตุผลนี้นี่เอง คำขวัญของงานครั้งนี้จึงเป็นประโยคที่ว่า MOBILITY CAN CHANGE THE WORLD หรือ "การเคลื่อนที่โดยง่ายสามารถเปลี่ยนโลก"
เกือบลืมบอกไปว่ามหกรรมยานยนต์โตเกียวครั้งที่ 42 นี้ จัดกันในช่วงเวลา 12 วัน คือ ระหว่างวันพุธที่ 30 พฤศจิกายน จนถึงวันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2011 โดยที่ 2 วันแรก คือ วันพุธ และพฤหัสบดี เป็นวัน PRESS DAY ซึ่งสงวนไว้เฉพาะสื่อมวลชน วันที่สาม คือ วันศุกร์ เป็น SPECIAL QUEST DAY คือ วันสำหรับแขกรับเชิญพิเศษ ส่วนประชาชนทั่วไปต้องรอวันที่สี่ คือ วันเสาร์ที่ 3
เอกสารอย่างเป็นทางการของงานระบุว่า มหกรรมยานยนต์ครั้งนี้มีผู้ร่วมงานรวม 179 ราย จาก 12 ประเทศ มีรถถึง 53 คัน ที่ปรากฏตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" และอีก 82 คัน ที่ปรากฏตัวในลักษณะ JAPAN PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในญี่ปุ่น"
เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ ผู้ใช้รถในเมืองยุ่นเริ่มสำเหนียกในความจำเป็นของการประหยัดเชื้อเพลิง และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตอกย้ำด้วยวิกฤตการณ์แผ่นดินไหวและคลื่นยักษ์เมื่อตอนต้นปี ที่ทำให้เกิดการขาดแคลนเชื้อเพลิงและพลังงาน ผลงานที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นนำออกแสดงในงานนี้ จึงล้วนแล้วแต่เป็นรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า รถไฮบริด รถไฮบริดแบบต้องเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ รถขับเคลื่อนด้วยพลังจากเซลล์เชื้อเพลิง และรถดีเซลไอเสียสะอาด มีรถอะไรกันบ้าง ? เชิญพลิกไปชมได้เลยครับ
โตโยตา เอฟซีวี-อาร์
ยักษ์ใหญ่เมืองยุ่นนำรถใหม่ออกอวดตัวในงานนี้รวม 6 คัน ทั้งรถแนวคิดและรถตลาด คันที่น่าสนใจที่สุดสำหรับคนญี่ปุ่นที่รักสีเขียว คือ โตโยตา เอฟซีวี-อาร์ (TOYOTA FCV-R) ที่เห็นในภาพใหญ่ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถซีดาน 4 ที่นั่ง ขนาด 4.745x1.790x1.510 ม. ที่ไม่จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องยนต์ชนิดใดๆ ไม่ว่าเครื่องเบนซิน หรือดีเซล เพราะขับเคลื่อนด้วยพลังของ FUEL CELL หรือ "เซลล์เชื้อเพลิง" ที่ได้พลังงานจากปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างแกสไฮโดรเจนกับออกซิเจน และมีของ (ไม่) เสียเป็นน้ำ ถังบรรจุไฮโดรเจนความดันสูงระดับ 70 เท่าของความดันบรรยากาศ ติดตั้งอยู่ใต้พื้นรถ เติมไฮโดรเจนเต็มถังแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 700 กม. หรือไกลกว่า อาคิโอะ โตโยดะ (AKIO TOYODA) นายใหญ่ของ โตโยตา ซึ่งพูดกับผู้สื่อข่าวในงานว่า "ชอบกลิ่นของน้ำมันเบนซิน" ยืนยันว่า ภายในปี 2015 ยักษ์ใหญ่เมืองยุ่นจะผลิตรถปลอดไอพิษแบบนี้ออกขายในตลาด
โตโยตา เอฟที-อีวี ธรี
โตโยตา เอฟที-อีวี ธรี (TOYOTA FT-EV III) รถแนวคิดที่ยักษ์ใหญ่เมืองยุ่นนำออกอวดตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ ตัวถังขนาด 3.110x1.680x1.500 ม. ซึ่งนั่งได้รวม 4 คน ดัดแปลงเพียงเล็กน้อยจาก โตโยตา ไอคิว (TOYOTA IQ) รถเก๋งขนาดเล็กที่สุดในสายการผลิตของค่ายนี้ ที่เปลี่ยนแปลงมาก คือ ระบบขับ ซึ่งเปลี่ยนจากขับด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน เป็นขับด้วยพลังไฟฟ้า โดยติดตั้งแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ที่มีขนาดเล็กกะทัดรัด น้ำหนักเบา และทรงประสิทธิภาพ ประจุไฟเต็มหม้อแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 105 กม. ที่น่าติดตาม คือ ปี 2012 นี้จะเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาด (ชื่อ FT-EV ย่อมาจาก FUTURE TOYOTA-ELECTRIC VEHICLE หรือ "รถไฟฟ้า โตโยตา ในอนาคต)
โตโยตา ฟัน-วีไอไอ
โตโยตา ฟัน-วีไอไอ (TOYOTA FUN VII) ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่เมืองยุ่นนำออกแสดงแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ 3 ที่นั่ง ขนาด 4.020x1.745x1.415 ม. ที่ โตโยตา บอกว่าสามารถเชื่อมโยงคน รถ และสังคม เข้าด้วยกัน มีคุณสมบัติที่ไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในรถคันใดๆ คือ รูปลักษณ์ทั้งภายนอกและภายในตัวถัง ที่เปลี่ยนแปลงไปได้ชั่วพริบตา เหมือนการดาวน์โหลดพโรแกรม หรือแอพพลิเคชันของคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างคือ สีและลวดลายของตัวถังที่เปลี่ยนไปได้สารพัดแบบ ขึ้นอยู่กับพโรแกรมที่ตั้งไว้ เป็นสีพื้น เป็นรูปดอกไม้อย่างที่เห็นในภาพ หรือเป็นข้อความโฆษณาประชาสัมพันธ์ และสื่อสารใดๆ ยักษ์ใหญ่ยืนยันว่าภายในเวลาไม่นานจนเกินรอ สิ่งที่เหมือนกับเป็นความฝันนี้จะกลายเป็นความจริง
โตโยตา อควา
รถตลาดแบบใหม่ล่าสุดที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน เป็นรถเก๋งแฮทช์แบคในตัวถังขนาด 3.995x1.695x1.445 ม. ที่ขับเคลื่อนล้อหน้าด้วยระบบไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์ DOHC 4 สูบเรียง 1,496 ซีซี 54 กิโลวัตต์/74 แรงม้า (รหัสเครื่องยนต์ 1NZ-FXE) ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 45 กิโลวัตต์/61 แรงม้า มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่เยี่ยมยอดมาก คือ แค่ 2.5 ลิตร/100 กม. หรือ 40 กม./ลิตร ออกขายแล้วในเมืองยุ่นเมื่อเดือนสุดท้ายของปีกระต่าย โดยติดป้ายชื่อ โตโยตา อควา (TOYOTA AQUA) และติดป้ายราคา 1.69-1.85 ล้านเยน หรือเท่ากับประมาณ 0.69-0.76 ล้านบาทไทย ยักษ์ใหญ่เมืองยุ่นตั้งใจจะส่งรถแบบนี้ออกขายในต่างประเทศด้วย แต่จะเปลี่ยนชื่อเป็น โตโยตา ปรีอุส ซี (TOYOTA PRIUS C)
โตโยตา 86
อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เช่นเดียวกัน คือ โตโยตา 86 (TOYOTA 86) ผลงานจากความร่วมมือของยักษ์ใหญ่ โตโยตา กับยักษ์เล็ก ซูบารุ และเป็นรถสปอร์ทเพียงแบบเดียวในโลกขณะนี้ ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังด้วยพลังของเครื่องยนต์สูบนอนยัน (บอกเซอร์) วางเครื่องหน้า มีกำหนดออกตลาดในเมืองยุ่นฤดูใบไม้ผลิปี 2012 ในตัวถังขนาด 4.240x1.775x1.300 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 4 คน รูปทรงองค์เอวของตัวถังออกแบบได้ดีเยี่ยม เห็นแล้วเกิดความรู้สึกอยากเป็นคนเงินถุงเงินถัง ส่วนเครื่องยนต์ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ฝากระโปรงหน้า เป็นเครื่องฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบนอนยัน ความจุ 1,998 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 147 กิโลวัตต์/200 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรือเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
ฮอนดา ไมโคร คอมมิวเตอร์ คอนเซพท์
ยักษ์รองของเมืองยุ่นซึ่งกำลังสำลักน้ำอยู่ในกรุงเก่าของเมืองสยาม ชูคำขวัญ WHAT MAKES PEOPLE FEEL GOOD ? หรือ "อะไรทำให้ผู้คนรู้สึกดี ?" โดยนำรถสีเขียวออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" หลายคัน ฮอนดา ไมโคร คอมมิวเตอร์ คอนเซพท์ (HONDA MICRO COMMUTER CONCEPT) ที่เห็นในภาพใหญ่และภาพบน เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถไฟฟ้า 1+2 ที่นั่ง ออกแบบสำหรับการใช้งานในเมือง ตัวถังขนาดเล็กกระจิ๋วหลิว 2.500x1.250x1.430 ม. มีผู้ขับนั่งอยู่ตรงกลาง และผู้โดยสารอีก 2 คนนั่งอยู่เบื้องหลัง ติดตั้งแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 3.3 กิโลวัตต์ชั่วโมง ที่ให้พลังไฟฟ้าสูงสุด 16.7 กิโลวัตต์/23 แรงม้า ประจุไฟเต็มหม้อแต่ละครั้ง รถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 60 กม. โดยสามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.4 วินาที และความเร็วสูงสุดสูงกว่า 60 กม./ชม. ที่น่าเสียดาย คือ ยักษ์รองไม่ได้บอกว่าตั้งใจจะทำขาย หรือแค่ทำให้ดูเล่น ?
ฮอนดา เอซี-เอกซ์
อวดตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้เช่นกัน คือ ฮอนดา เอซี-เอกซ์ (HONDA AC-X) รถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเก๋งซีดาน 4 ที่นั่ง ที่ออกแบบให้ใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย และสนุกสนาน ทั้งเมื่อขับในเมืองและเดินทางไกล ตัวถังขนาด 4.700x1.820x1.400 ม. ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.21 ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1.6 ลิตร 95 กิโลวัตต์/129 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 120 กิโลวัตต์/163 แรงม้า เติมเชื้อเพลิงเต็มถังแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลกว่า 1,000 กม. โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 0.90 ลิตร/100 กม. หรือ 110 กม./ลิตร แต่เมื่อเลือกขับด้วยพลังไฟฟ้าอย่างเดียวจะวิ่งได้ไกลประมาณ 50 กม. ด้วยความเร็วสูงสุด 50 กม./ชม.
ฮอนดา อีวี-สเตอร์
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของยักษ์รองที่เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนได้อย่างล้นหลาม คือ ฮอนดา อีวี-สเตอร์ (HONDA EV-STER) รถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ทเปิดประทุนขับเคลื่อนล้อหลังที่นั่งได้เพียง 2 คน ตัวถังขนาด 3.570x1.500x1.100 ม. ไร้ร่องรอยของเครื่องยนต์แบบใดๆ เพราะเป็นรถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ โดยใช้แบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 10 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้พลังไฟสูงสุด 58 กิโลวัตต์/79 แรงม้า ประจุไฟเต็มหม้อแต่ละครั้งโดยใช้เวลาไม่เกิน 6 ชั่วโมงเมื่อใช้ไฟบ้าน 100 โวลท์ และลดเหลือแค่ครึ่งเดียวเมื่อใช้ไฟบ้าน 200 โวลท์ รถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 160 กม. โดยทำอัตราเร่ง 0-60 กม./ชม. ใน 5.0 วินาที และความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. ไม่ยืนยันว่าจะทำขายหรือไม่เช่นกัน
นิสสัน พิโว 3
ยักษ์รองของเมืองยุ่นซึ่งมียักษ์หัวปีเมืองน้ำหอมเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวผลงานใหม่หลายชิ้น ชิ้นที่น่าสนใจที่สุด คือ นิสสัน พิโว 3 (NISSAN PIVO 3) ในภาพใหญ่และภาพบน เป็นรถไฟฟ้าขนาดกระจิ๋วหลิวกระจ้อยร่อย ที่ออกแบบสำหรับการใช้งานในเมือง และนั่งได้เพียง 2 คน มีระบบ AVP หรือ AUTOMATED VALET PARKING ซึ่งช่วยจอดรถให้โดยอัตโนมัติ ผู้ขับเพียงแต่หยุดรถแล้วก้าวออกจากห้องโดยสาร จากนั้นรถจะวิ่งเข้าไปจอดในที่จอดได้เอง ขณะที่ผู้ขับเดินซื้อข้าวซื้อของหรือทำธุรกิจใดๆ อุปกรณ์ที่ติดตั้งอยู่ในรถก็จะประจุไฟเข้าสู่แบทเตอรีด้วยตนเอง ถ้ามีไฟเกินหรือไฟเหลือก็จะขายไฟให้แก่ระบบ เมื่อต้องการใช้รถอีกครั้ง ผู้ขับก็ไม่ต้องเดินกลับไปที่รถ แต่สามารถเรียกรถให้วิ่งมาหาโดยใช้โทรศัพท์มือถือ กระบวนการทั้งหมดนี้มีข้อแม้ว่า ทำได้ในสถานที่ที่จัดไว้โดยเฉพาะเท่านั้น อ่านแล้วเหมือนฝันไป แต่ยักษ์รองเมืองยุ่นบอกว่า รถอย่างนี้ถ้าจะ
ทำกันจริงๆ พรุ่งนี้ก็ทำได้
นิสสัน ทาวน์พอด
นิสสัน ทาวน์พอด (NISSAN TOWNPOD) ปรากฏตัวแบบ JAPAN PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในญี่ปุ่น" ที่งานนี้ หลังจากที่เคยอวดตัวมาก่อนแล้วที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งล่าสุดเมื่อปลายปี 2010 เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถไฟฟ้าที่หลอมรวมความสะดวกของรถเก๋ง เข้ากับประโยชน์ใช้สอยอันหลากหลายของรถเพื่อการพาณิชย์ขนาดเล็ก ตัวถังพื้นต่ำหน้าตาคิกขุมีประตูข้างที่เปิดแยกจากกันโดยไม่มีเสาค้ำยันกลางและสามารถเปิดได้กว้างเกือบ 90 องศา การขึ้น/ลงรถจึงทำได้สะดวกสบายมาก ส่วนประตูท้ายซึ่งทำเป็น 2 บาน ก็ติดตั้งบานพับแบบพิเศษที่ทำให้เปิดได้กว้างกว่าปกติ เพื่อความสะดวกในการยกของขึ้นและลงรถ ภายในห้องโดยสารติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 แถว แถวหลังสามารถเลื่อนมาซ้อนอยู่ใต้เก้าอี้แถวหน้าเมื่อต้องการเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระ
นิสสัน จูค นิสโม คอนเซพท์
อวดตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" เช่นกัน คือ นิสสัน จูค นิสโม คอนเซพท์ (NISSAN JUKE NISMO CONCEPT) รถแนวคิดซึ่งเป็นผลงานรังสรรค์ของ NISMO (NISSAN MOTORSPORT) ผู้ทำรถแข่งและรถสมรรถนะสูงให้แก่ค่ายยักษ์รอง พัฒนาจากรถตลาด นิสสัน จูค ซึ่งเป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดเล็กกะทัดรัดที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในตลาดทั่วโลก โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายในเกือบทุกจุดของตัวรถ เช่น เครื่องยนต์ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง ความจุ 1.6 ลิตร ปรับแต่งเพื่อให้ได้กำลังสูงขึ้น และสนองตอบทันอกทันใจยิ่งขึ้น เปลี่ยนพวงมาลัย คันเกียร์ แป้นคันเร่ง และแป้นห้ามล้อ เพื่อเสริมสร้างลักษณะของรถสปอร์ท เปลี่ยนเก้าอี้ที่นั่งเป็นเก้าอี้รถแข่งหุ้มหนังแท้ ฯลฯ อีกไม่นานคงจะเปลี่ยนสถานะเป็นรถ
ตลาด
นิสสัน ลีฟ นิสโม คอนเซพท์
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของ NISSAN MOTORSPORT ที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ นิสสัน ลีฟ นิสโม คอนเซพท์ (NISSAN LEAF NISMO CONCEPT) พัฒนาจากรถไฟฟ้า นิสสัน ลีฟ (NISSAN LEAF) ซึ่งขายทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 20,000 คัน นับตั้งแต่ออกตลาดเมื่อปลายปี 2010 โดยไม่มีการแตะต้องใดๆ ในส่วนของระบบขับด้วยพลังไฟฟ้า แต่เน้นการดัดแปลงในส่วนของตัวถังด้วยชุดแต่งอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า STYLISH BODY KIT ซึ่งไม่เพียงมีผลในด้านรูปลักษณ์เท่านั้น หากยังส่งผลบวกต่อคุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร์อีกต่างหาก เมื่อติดชุดแต่งนี้เข้าไป นิสสัน ลีฟ ก็จะเปลี่ยนสภาพจากรถไฟฟ้าหน้าตาเชื่องๆ วิ่งได้เร็วแค่ 145 กม./ชม. เป็นรถที่มีหน้าตาและรูปทรงเหมือนรถแข่งสมรรถนะสูงดังที่เห็นในภาพ
ไดฮัทสุ เอฟซี โช เคส
ยักษ์เล็กเมืองยุ่นซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่ โตโยตา ใช้เวทีขนาดใหญ่ในงานนี้เป็นที่เปิดตัวรถแนวคิดรวม 3 คัน ไดฮัทสุ เอฟซี โช เคส (DAIHATSU FC SHO CASE) ที่เห็นในภาพบนและภาพใหญ่ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถไฟฟ้าค่าตัวย่อมเยา เพราะสามารถผลิตโดยไม่จำเป็นต้องใช้วัสดุราคาแพงใดๆ ตัวถังทรงกล่องเหลี่ยมขนาด 3.395x1.475x1.900 ม. ซึ่งออกแบบให้นั่งได้รวม 4 คน มีรูปลักษณ์และแนวคิดการออกแบบที่ไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นคันใดๆ เพราะดูเหมือนตู้รถไฟมากกว่ารถยนต์ ระบบขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ใช้เซลล์เชื้อเพลิงแบบเหลว ซึ่งมีชื่อเรียกในภาษาอังกฤษว่า HYDRAZINE HYDRATE (N_2_H_4._H_2_O) มีขนาดเล็กกะทัดรัด ราคาไม่แพง แต่ต้องมีการเติมเชื้อเพลิงใส่ถังเหมือนการเติมน้ำมันเบนซิน หรือดีเซล ส่วนแบทเตอรีที่ใช้เป็นแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาดเล็กกะทัดรัดน้ำหนักเบา แต่ให้พลังไฟสูง
ไดฮัทสุ พิโค
ไดฮัทสุ พิโค (DAIHATSU PICO) ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งที่ยักษ์เล็กเมืองยุ่นนำออกอวดตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถไฟฟ้าขนาดกระจิ๋วหลิวกระจิริด ที่ออกแบบสำหรับการเดินทางช่วงสั้นๆ และในถนนที่คับแคบ ตัวถังขนาด 2.400x1.000x1.530 ม. มีพื้นต่ำขึ้น/ลงรถง่าย และติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 ตัวในลักษณะเรียงแถวตอน รอบตัวถังมีแถบแสงสีที่เปล่งแสงและเสียงเพื่อบ่งบอกสถานะของรถ เช่น เป็นแสงสีเขียวอย่างที่เห็นในภาพ เมื่อวิ่งในถนนที่มีผู้คนเดินพลุกพล่าน และจะใช้ความเร็วไม่เกิน 6 กม./ชม. (ในสภาพปกติจะทำความเร็วสูงสุด 50 กม./ชม.) และเป็นแสงสีแดงเมื่อระบบเรดาร์ที่ติดตั้งอยู่ในตัวรถตรวจพบว่ามีสิ่งกีดขวางเบื้องหน้า หรือเมื่อรถคันหลังวิ่งตามมาใกล้เกินไป
ไดฮัทสุ มีรา อี:เอส
นอกจากรถแนวคิด ยักษ์เล็กเมืองยุ่นยังนำรถตลาดออกแสดงในงานนี้อีกหลายคัน คันที่น่าสนใจที่สุดโดยเฉพาะคนรักรถประหยัดเชื้อเพลิงและไอพิษต่ำ คือ ไดฮัทสุ มีรา อี:เอส (DAIHATSU MIRA E:S) ซึ่งเป็นรถโมเดลใหม่ที่เพิ่งออกขายในเมืองยุ่นได้ไม่กี่วันก่อนวันเปิดงานนี้ เป็นรถขนาดมีนีในตัวถังขนาด 3.395x1.475x1.500 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้รวม 4 คน ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC 3 สูบเรียง 658 ซีซี ที่ปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อความประหยัด และมีระบบประหยัดเชื้อเพลิง ECO IDLE SYSTEM ซึ่งจะตัดการทำงานของเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติก่อนที่รถจะหยุด (ที่ความเร็วประมาณ 7 กม./ชม.) ทำให้ได้อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่เยี่ยมยอดมาก คือ 30.0 กม./ลิตร เมื่อวัดตามมาตรฐาน JC08 ที่ทางการของญี่ปุ่นเพิ่งกำหนดขึ้นใหม่
ไดฮัทสุ ดี-เอกซ์
หน้าตาและรูปทรงองค์เอวเหมือนเป็นรถที่พร้อมแล้วจะออกขายในตลาด แต่ที่จริงยังเป็นเพียงรถแนวคิดติดป้ายชื่อ ไดฮัทสุ ดี-เอกซ์ (DAIHATSU D-X) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ทเปิดประทุนแบบโรดสเตอร์ขนาดเล็กกะจิ๋วหลิว ตัวถังขนาด 3.395x1.475x1.275 ม. ทำจากวัสดุสังเคราะห์มวลเบา อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า RESIN-BASED BODY มีห้องโดยสารนั่ง 2 คน ที่ให้ความรู้สึกแบบดิบๆ และไม่เน้นการตกแต่ง ใช้ระบบวางเครื่องหน้า/ขับเคลื่อนล้อหน้า ด้วยพลังของเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 2 สูบเรียง 660 ซีซี ที่ค่ายนี้เพิ่งออกแบบและพัฒนาขึ้นใหม่ ให้กำลังสูงสุด 47 กิโลวัตต์/64 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. และให้แรงบิดสูงสุด 110 นิวตัน-เมตร หรือ 11.2 กก.-ม. ที่รอบต่ำแค่ 2,000 รตน.
ซูซูกิ คิว-คอนเซพท์
เจ้าแห่งรถขนาดมีนีของเมืองยุ่น ซึ่งตั้งคำขวัญสำหรับงานนี้ว่า SMALL CARS, FOR A BIG FUTURE หรือ "รถเล็กสำหรับอนาคตที่ยิ่งใหญ่" ใช้เวทีขนาดยักษ์เปิดตัวรถแนวคิดพร้อมๆ กันรวม 3 คัน และคันที่ดูโดดเด่นสะดุดตาที่สุด คือ คันสีส้มซึ่งติดป้ายชื่อ ซูซูกิ คิว-คอนเซพท์ (SUZUKI Q-CONCEPT) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถขนาดซูเพอร์จิ๋ว ที่แทรกอยู่ตรงกลางระหว่างรถเก๋งขนาดเล็กกับรถจักรยานยนต์ ออกแบบสำหรับการใช้งานจากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่งซึ่งอยู่ภายในรัศมีไม่เกิน 10 กม. ตัวถังยาว 2.50 ม. และกว้าง 1.30 ม. มีห้องโดยสารรูปวงกลมติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 2 ตัวเรียงกันเป็นแถวตอน และสามารถเปลี่ยนเก้าอี้ตัวหลังเป็นเก้าอี้ที่เด็กนั่งได้ 2 คน หรือยกออกทั้งตัวเมื่อต้องการพื้นที่บรรทุกสัมภาระหีบห่อ ไม่มีรายละเอียดว่าใช้ระบบขับแบบใดๆ เพียงแต่บอกว่าแผงหน้าปัดอุปกรณ์ใช้ระบบสัมผัส TOUCHSCREEN ซึ่งจะเริ่มทำงานเมื่อเสียบโทรศัพท์ SMARTPHONE
ซูซูกิ เรจินา
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของเจ้าแห่งรถขนาดมีนี ที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ รถคันสีเขียวติดป้ายชื่อ ซูซูกิ เรจินา (SUZUKI REGINA) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถขนาดเล็กที่ออกแบบและพัฒนาให้เป็น GLOBAL COMPACT CAR หรือรถขนาดเล็กกะทัดรัด ที่จะขายในตลาดทั่วโลก ตัวถังทำจากเหล็กกล้าแรงสูง และมีน้ำหนักตัวแค่ 730 กก. ติดตั้งเครื่องยนต์ เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง ความจุ 800 ซีซี ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติปรับอัตราทดต่อเนื่อง มีระบบประหยัดเชื้อเพลิง ENGINE AUTO STOP START SYSTEM ซึ่งจะตัดการทำงานของเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติเมื่อรถหยุด จึงมีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยที่เยี่ยมมาก คือ 32 กม./ลิตร เมื่อวัดตามมาตรฐาน JC08 และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์แค่ 70 กรัม/กม.
ซูซูกิ สวิฟท์ อีวี ไฮบริด
ซูซูกิ สวิฟท์ อีวี ไฮบริด (SUZUKI SWIFT EV HYBRID) รถแนวคิดซึ่งพัฒนาจากรถตลาด ซูซูกิ สวิฟท์ (SUZUKI SWIFT) ที่คนรักรถในบ้านเราน่าจะคุ้นเคยกันดี โดยเปลี่ยนระบบขับจากขับด้วยพลังของเครื่องยนต์สันดาปภายในเป็นขับด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ โดยติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งรับพลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ประจุไฟแต่ละครั้งด้วยไฟบ้าน 100 โวลท์ โดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง หรือโดยไฟบ้าน 200 โวลท์ โดยใช้เวลาแค่ 90 นาที รถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 30 กม. กรณีจำเป็นต้องเดินทางไกลก็มีเครื่องยนต์ 3 สูบเรียง 658 ซีซี ที่จะสตาร์ทเครื่องโดยอัตโนมัติเมื่อแบทเตอรีไฟอ่อน ทำหน้าที่เป็น RANGE EXTENDER หรือ "ตัวยืดระยะทาง" หมุนปั่นเจเนอเรเตอร์ เพื่อป้อนไฟให้แก่มอเตอร์และแบทเตอรี ทำให้เพิ่มระยะการเดินทางได้อีกเยอะ แต่ ซูซูกิ ไม่ได้บอกว่าเยอะขนาดไหน ?
อีซูซุ ดี-แมกซ์
คงไม่ได้เดินเข้าไปในบูธของยักษ์เล็กเมืองยุ่นที่เลิกผลิตรถเก๋งไปนมนานแล้ว หากไม่มี อีซูซุ ดี-แมกซ์ (ISUZU D-MAX) ซึ่งอวดตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถพิคอัพขนาด 1 ตัน ที่ผลิตในประเทศไทย และส่งไปขายในมากกว่า 100 ประเทศทั่วโลก รหัส D มาจาก DIESEL, DIRECT INJECTION, DESIGN AND DURABILITY ในภาษาอังกฤษ รถรุ่นใหม่นี้มีขนาดตัว 5.295x1.860x1.790 ม. ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลคอมมอนเรล 4 สูบเรียง 2,499 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 100 กิโลวัตต์/136 แรงม้า ที่ 3,600 รตน. ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ส่วนพริททีแต่งชุดไทยที่ยืนไหว้อย่างอ่อนช้อยอยู่ข้างรถ คุยกับเจ้าหล่อนแล้ว ปรากฏว่าไม่ใช่คนไทย แต่เป็นสาวบราซิล ก็แปลกดี
มิตซูบิชิ คอนเซพท์ พีเอกซ์-เมียฟ ทู
เจ้าของเครื่องหมายการค้า "สามเพชร" นำผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" รวม 2 ชิ้น โดยชิ้นแรกที่เห็นในภาพบนและภาพใหญ่ขวามือซึ่งติดป้ายชื่อ มิตซูบิชิ คอนเซพท์ พีเอกซ์-เมียฟ ทู (MITSUBISHI CONCEPT PX-MIEV II) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาดกะทัดรัด ขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟเข้าแบทเตอรี อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า PLUG-IN HYBRID เป็นรถแนวคิดที่อีกไม่นานก็จะเปลี่ยนฐานะเป็นรถตลาด เพราะตัวถังทรง 2 กล่องขนาด 4.660x1.830x1.680 ม. เปลี่ยนแค่กระจกมองข้างทั้ง 2 ด้านเท่านั้น รถแนวคิดคันนี้ก็จะกลายเป็นรถตลาดรุ่นใหม่ที่จะออกจำหน่ายภายในปี 2013 โดยติดป้ายชื่อ มิตซูบิชิ เอาท์แลนเดอร์ (MITSUBISHI OUTLANDER) ผู้ออกแบบรถแนวคิดคันนี้ คือ เรียวซูเกะ มัตสุโอเกะ (RYOSUKE MATSUOKE) บอกกับผู้สื่อข่าวในงานโดยไม่มีการปิดบังอำพราง
มิตซูบิชิ มิราจ
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งของค่าย "สามเพชร" ที่ปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ มิตซูบิชิ มิราจ (MITSUBISHI MIRAGE) รถตลาดแบบใหม่ในชื่อเก่า ที่ผู้ผลิตบอกว่าออกแบบและพัฒนาเพื่อรับบทบาทเป็น ENTRY CAR หรือ "รถคันแรก" ในตลาดเกิดใหม่ และเป็น ECO-FRIENDLY CAR หรือ "รถประหยัดเชื้อเพลิงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" สำหรับประเทศที่พัฒนาแล้ว ซึ่งก็น่าจะรวมประเทศไทยของเราไว้ด้วย ตัวถังแฮทช์แบคขนาด 3.710x1.665x1.490 ม. ไม่มีจุดโดดเด่นสะดุดตาอะไรที่ทำให้ต้องมองจนเหลียวหลัง จุดที่น่าสนใจกลับอยู่ที่เครื่องยนต์ ซึ่งเป็นเครื่องเบนซิน 3 สูบเรียง ความจุ 1.0 ลิตร ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติปรับอัตราทดต่อเนื่อง (เกียร์ CVT) ที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 30 กม./ลิตร
โฟล์คสวาเกน ครอสส์ คูเป
มีรถต่างประเทศเพียงไม่กี่คันที่อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คันที่ได้รับความสนใจมากกว่าเพื่อนคือ ผลงานของยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์ที่ติดป้ายชื่อ โฟล์คสวาเกน ครอสส์ คูเป (VOLKSWAGEN CROSS COUPE) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถกิจกรรมกลางแจ้งขนาด 4 ที่นั่ง ซึ่งเป็นต้นแบบของรถ โฟล์คสวาเกน ทีกวน (VOLKSWAGEN TIGUAN) รุ่นที่ 2 ที่จะออกตลาดในปี 2014 ตัวถังขนาด 4.345x1.868x1.523 ม. ขับเคลื่อนล้อหน้าหรือทุกล้อแบบไฮบริด โดยใช้เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 110 กิโลวัตต์/150 แรงม้า กับมอเตอร์ไฟฟ้า 40 กิโลวัตต์/54 แรงม้า ร่วมกันขับล้อคู่หน้า และใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 85 กิโลวัตต์/116 แรงม้า ขับล้อคู่หลังกรณีเป็นรถขับทุกล้อ ได้กำลังรวมสูงสุด 195 กิโลวัตต์/265 แรงม้า
โฟล์คสวาเกน พาสสัท ออลล์ทแรค
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์ส่งมาเปิดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ รถติดป้ายชื่อ โฟล์คสวาเกน พาสสัท ออลล์ทแรค (VOLKSWAGEN PASSAT ALLTRACK) ซึ่งเป็นรถตลาดในรูปลักษณ์ของรถเก๋งตรวจการณ์ที่มีหน้าตาและสมรรถนะการขับขี่เหมือนรถกิจกรรมกลางแจ้ง ตัวถังยาว 4.771 ม.และกว้าง 1.820 ม. พัฒนาจากรถ โฟล์คสวาเกน พาสสัท วาเรียนท์ โดยปรับเปลี่ยนรายละเอียดในหลายๆ จุด รวมทั้งยกพื้นรถให้สูงขึ้นและเปลี่ยนกันชนหน้า/หลัง มีทั้งแบบขับล้อหน้าและขับทุกล้อ โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกรวม 4 ขนาด คือ เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดตรง 118 กิโลวัตต์/160 แรงม้า และ 155 กิโลวัตต์/210 แรงม้า กับเครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดตรง 103 กิโลวัตต์/140 แรงม้า และ 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า
ซูบารุ แอดวานศ์ ทัวเรอร์ คอนเซพท์
ยักษ์เล็กของเมืองยุ่นซึ่งชูคำขวัญ CONFIDENCE IN MOTION หรือ "เชื่อมั่นในการเคลื่อนที่" เรียกความสนใจจากสื่อมวลชนได้อย่างน่าอิจฉาด้วยการนำรถ ซูบารุ แอดวานศ์ ทัวเรอร์ คอนเซพท์ (SUBARU ADVANCED TOURER CONCEPT) ออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดที่บ่งบอกทิศทางการออกแบบรถเก๋งตรวจการณ์ของค่ายนี้ในอนาคต ตัวถังขนาด 4.580x1.840x1.430 ม. รูปลักษณ์ฟู่ฟ่าวิลิศมาหราและมีจุดเด่นสะดุดตามากมาย รวมทั้งหลังคาซึ่งทำจากกระจกบานโต ประตูข้างที่เปิดแยกจากกันโดยไม่มีเสาค้ำยันกลาง และบานหน้าเป็นประตูที่เปิด/ปิดแบบปีกนก เป็นรถขับเคลื่อนทุกล้อแบบไฮบริด โดยใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 4 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) ความจุ 1.6 ลิตร ที่ออกแบบและพัฒนาโดยมุ่งเน้นความประหยัดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าและแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION)
ซูบารุ บีอาร์เซด
ผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องอีกชิ้นหนึ่งที่เจ้าของเครื่องหมายการค้า "ดาวลูกไก่" นำออกแสดงแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ ซูบารุ บีอาร์เซด (SUBARU BRZ) รถตลาดซึ่งเป็นคู่ฝาคู่แฝดกับรถ โตโยตา 86 (TOYOTA 86) ที่อวดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้เช่นกัน เป็นรถขับล้อหลังด้วยพลังของเครื่องยนต์ 4 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) ความจุ 2.0 ลิตร ที่ค่ายนี้พัฒนาขึ้นเอง แต่ขอหยิบขอยืมระบบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรงจากยักษ์ใหญ่ผู้เป็นหุ้นส่วน เป็นเครื่องยนต์ซึ่งมีคุณลักษณะอย่างที่เรียกกันในภาษารถยนต์ว่า SQUARE FORMATION คือ มีช่วงชักยาวเท่ากับกระบอกสูบ (86 มม.) ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะสำหรับรถ 2 แบบนี้ โดยเน้นให้ผลิตกำลังสูงแต่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม คุณสมบัติสำคัญที่จะขาดเสียมิได้ของรถสปอร์ทยุคโลกสีเขียว
มาซดา ทาเคริ
เจ้าของสโลแกน ZOOM ZOOM มีผลงานใหม่ซึ่งอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" เพียงชิ้นเดียว คือ มาซดา ทาเคริ (MAZDA TAKERI) รถแนวคิดที่แหล่งข่าววงในระบุว่า เปลี่ยนแค่กระทะล้อที่จับเปิดประตูและกระจกมองข้างทั้ง 2 ด้าน ก็จะกลายสภาพเป็นรถ มาซดา 6 รุ่นใหม่ ที่จะออกจำหน่ายในปี 2012 หรือ 2013 นั่นเอง ตัวถังขนาด 4.850x1.870x1.430 ม. ที่นั่งได้รวม 4 คน เป็นผลลัพธ์ของแนวทางการออกแบบที่มีเรียกชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า KODO ซึ่งแปลว่า SOUL OF MOTION หรือ "จิตวิญญาณของการเคลื่อนที่" ส่วนเครื่องยนต์ที่ส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เป็นเครื่องดีเซลไอเสียสะอาดขนาดความจุ 2.2 ลิตร ที่ค่ายนี้ออกแบบและพัฒนาขึ้นเอง และตั้งชื่อประจำเครื่องว่า SKYACTIV-D 2.2 ENGINE
เอาดี เอ 1 สปอร์ทแบค
รถนำเข้าอีกแบบหนึ่งที่ปรากฏตัวแบบ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ เอาดี เอ 1 สปอร์ทแบค (AUDI A1 SPORTBACK) รถตลาดแบบใหม่ล่าสุดของค่าย "สี่ห่วง" เป็นรถเก๋ง 5 ประตูแฮทช์แบค ในตัวถังขนาด 3.950x1.750x1.420 ม. ที่พัฒนาจากตัวถังขนาดใกล้เคียงกันของรถแฮทช์แบค 3 ประตู เอาดี เอ 1 ซึ่งเริ่มออกโชว์รูมในเมืองเบียร์เมื่อฤดูร้อนปี 2010 คนรักรถในเมืองยุ่นที่ถูกใจรถแบบนี้คงต้องรออีกสักระยะหนึ่ง แต่ผู้ใช้รถในเมืองแม่คงไม่ต้องรอ เพราะกำหนดออกตลาดข
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2555
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/30320