อังกฤษ-มีนี (MINI) ยอดผู้ผลิตรถจิ๋วของเมืองผู้ดี เปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถแบบใหม่ล่าสุดซึ่งติดป้ายชื่อ มีนี โรดสเตอร์ (MINI ROADSTER) พร้อมประกาศยืนยันว่าจะนำตัวจริงเสียงจริงของรถรุ่นนี้ออกอวดตัวเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีขึ้นตอนกลางเดือนมกราคมปีงูใหญ่ ก่อนจะนำรถออกสู่ตลาดในเมืองแม่ฤดูใบไม้ผลิปีเดียวกัน โดยมีรถให้เลือกใช้ 4 โมเดล
โรดสเตอร์ จิ๋วสุดแจ๋ว
เปิดตัวในเมืองมะกัน
จะออกขายเดือนน้ำลด
อังกฤษ-มีนี (MINI) ยอดผู้ผลิตรถจิ๋วของเมืองผู้ดี เปิดเผยโฉมหน้าและรายละเอียดของรถแบบใหม่ล่าสุดซึ่งติดป้ายชื่อ มีนี โรดสเตอร์ (MINI ROADSTER) พร้อมประกาศยืนยันว่าจะนำตัวจริงเสียงจริงของรถรุ่นนี้ออกอวดตัวเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะมีขึ้นตอนกลางเดือนมกราคมปีงูใหญ่ ก่อนจะนำรถออกสู่ตลาดในเมืองแม่ฤดูใบไม้ผลิปีเดียวกัน โดยมีรถให้เลือกใช้ 4 โมเดล
ค่าย มีนี ซึ่งขณะนี้มีรถจิ๋วให้ลูกค้าทั่วโลกเลือกใช้รวม 5 แบบ คือ มีนี แฮทช์ (MINI HATCH) มีนี คอนเวอร์ทิเบิล (MINI CONVERTIBLE) มีนี คลับแมน (MINI CLUBMAN) มีนี คันทรีแมน (MINI COUNTRYMAN) และ มีนี คูเป (MINI COUPE) เพิ่มทางเลือกให้แก่คนรักรถผู้พิสมัยรถจิ๋วระดับพรีเมียม โดยเปิดตัวรถแบบที่ 6 เป็นรถเปิดประทุนนั่ง 2 คนแบบแรกในประวัติศาสตร์ของค่าย ซึ่งตั้งแต่เริ่มต้นกิจการจนถึงปัจจุบันเคยทำแต่รถเปิดประทุน 4 ที่นั่ง
ในข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งสื่อเวบไซท์ ค่าย มีนี ระบุว่า รถแบบใหม่ล่าสุดซึ่งติดป้ายชื่อ มีนี โรดสเตอร์ (MINI ROADSTER) มีขนาดตัวถังยาว 3.728-3.758 ม. กว้าง 1.683 ม. และสูง 1.384-1.390 ม. เป็นตัวถัง 2 ประตูเปิดประทุนแบบโรดสเตอร์ ที่ดัดแปลงจากตัวถังของรถ มีนี คอนเวอร์ทิเบิล ซึ่งเป็นรถเปิดประทุน 4 ที่นั่ง โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมาย รวมทั้งลดความสูงของพื้นรถประมาณ 2 ซม. ส่วนประทุนหลังคาซึ่งมีเพียงสีเดียว คือ สีดำ เป็นประทุนแบบอ่อนทำจากผ้าแฟบริคหลายชั้น และบังคับเปิด/ปิดด้วยระบบกึ่งอัตโนมัติโดยที่ผู้ขับไม่จำเป็นต้องลุกออกจากรถเมื่อต้องการเปิด หรือปิดประทุน
ค่าย มีนี บอกด้วยว่า จะนำรถเปิดประทุนแบบใหม่นี้ออกอวดตัวเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ ซึ่งจะเบิกโรงในวันจันทร์ที่ 9 มกราคม 2012 และต้องรถจนถึงฤดูใบไม้ผลิปีเดียวกัน รถจึงจะออกโชว์รูมในเมืองผู้ดี และอีกหลายประเทศในยุโรป โดยมีรถให้เลือกใช้รวม 4 โมเดล คือ มีนี คูเพอร์ โรดสเตอร์ (MINI COOPER ROADSTER) ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 90 กิโลวัตต์/122 แรงม้า สามารถทำความเร็วสูงสุด 199 กม./ชม. มีนี คูเพอร์ เอส โรดสเตอร์ (MINI COOPER S ROADSTER) เครื่องยนต์เทอร์โบฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 135 กิโลวัตต์/184 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 227 กม./ชม. มีนี จอห์น คูเพอร์ เวิร์คส์ โรดสเตอร์ (MINI JOHN COOPER WORKS ROADSTER) เครื่องยนต์เทอร์โบฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 155 กิโลวัตต์/211 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 237 กม./ชม. และ มีนี คูเพอร์ เอสดี โรดสเตอร์ (MINI COOPER SD ROADSTER) เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลคอมมอนเรล DOHC 4 สูบเรียง 1,995 ซีซี 105 กิโลวัตต์/143 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 212 กม./ชม.
ทุกโมเดลติดตั้งระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ โดยมีระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ เป็นออพชันพิเศษให้เลือกใช้ โดยเพิ่มค่าตัวนิดหน่อย ค่าย มีนี ยังไม่ได้ประกาศสนนราคาของรถแบบใหม่นี้ แต่แหล่งข่าววงในให้ข้อมูลว่า ในตลาดเมืองผู้ดีค่าตัวจะเริ่มต้นที่ระดับ 18,000 ปอนด์ หรือเท่ากับประมาณ 0.9 ล้านบาทไทย
พานาเมรา โมเดลใหม่
เปิดผ้าคลุมหน้าแล้ว
ต้นปีงูออกโชว์รูมแน่นอน
เยอรมนี/สหรัฐอเมริกา-ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองเบียร์ ใช้เวทีในงานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสครั้งล่าสุด เปิดตัวรถหรู โพร์เช พานาเมรา (PORSCHE PANAMERA) โมเดลใหม่ พร้อมประกาศยืนยัน ต้นปีงูใหญ่ออกจำหน่ายแน่นอน ในเดือนคู่ ที่มีจำนวนวันแค่ 29
ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทซึ่งเพิ่งเริ่มเอาดีกับการผลิตรถกิจกรรมกลางแจ้ง และรถเก๋งระดับหรูได้ไม่กี่ปี ตั้งชื่อรถโมเดลใหม่นี้ว่า โพร์เช พานาเมรา จีทีเอส (PORSCHE PANAMERA GTS) เพื่อเป็นการสืบสานตำนานของรถดังรุ่นปี 1963 คือ โพร์เช 904 คาร์เรรา จีทีเอส (PORSCHE 904 CARRERA GTS) ซึ่งปัจจุบันเป็นรถหายาก และเป็นที่หมายปองของบรรดานักสะสม รหัส GTS ในรถเก่า และรถใหม่ 2 รุ่นนี้ ย่อมาจาก GRAN TURISMO SPORT ซึ่งบ่งบอกให้ลูกค้าขาประจำของค่ายนี้รู้ว่า ใช้วิ่งฉุยฉายตามท้องถนนก็เหมาะ ใช้ขับในสนามแข่งก็แจ่มแจ๋ว
หน้าตาและรูปทรงองค์เอวของรถโมเดลใหม่นี้ ดูอย่างผิวเผินเหมือนไม่มีอะไรแตกต่างจากรถชื่อเดียวกันโมเดลอื่นๆ แต่เมื่อพินิจพิจารณากันอย่างถ้วนถี่ ก็จะพบว่า มีรายละเอียดในหลายๆ จุดที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็เปลี่ยนไปไม่มากจนยากจะสังเกตเห็นได้ หากไม่ใช่ผู้ที่คุ้นเคยกับรถแบบนี้ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นสาระสำคัญของรถโมเดลนี้ ไม่ได้อยู่ที่รูปทรงองค์เอวและรายละเอียดของตัวถังทั้งภายนอกและภายใน หากแต่เป็นการเปลี่ยนแปลงในส่วนของเครื่องยนต์กลไก และระบบการทำงานต่างๆ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่สัมผัสได้ง่ายๆ เพียงด้วยการมอง
โพร์เช พานาเมรา จีทีเอส ยังคงใช้เครื่องยนต์บลอคเดียวกับที่เคยเห็นกันมาแล้วในรถอีก 2 โมเดล คือ โพร์เช พานาเมรา 4 (PORSCHE PANAMERA 4) กับ โพร์เช พานาเมรา 4 เอส (PORSCHE PANAMERA 4S) ซึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อปลายปี 2009 คือ เครื่องหายใจอากาศธรรมดา ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ ความจุ 4,806 ซีซี แต่มีการปรับแต่งเป็นพิเศษจนกำลังสูงสุดพุ่งขึ้นเป็น 316 กิโลวัตต์/430 แรงม้า ที่ 6,700 รตน. คือ เพิ่มขึ้นถึง 22 กิโลวัตต์/30 แรงม้า ในขณะที่แรงบิดสูงสุดเพิ่มจาก 500 นิวตัน-เมตร/51.0 กก.-ม. เป็น 520 นิวตัน-เมตร/53.1 กก.-ม. ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลัง ยังคงใช้เกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ เช่นเดิม เป็นระบบเกียร์ที่ค่ายนี้ตั้งชื่อในภาษาเยอรมันไว้ยาวเหยียดว่า PORSCHE DOPPELKUPPLUNGSGETRIEBE และเรียกโดยย่อว่า PDK
นอกจากการเปลี่ยนด้านเครื่องยนต์ดังกล่าวแล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายจุดที่ทำให้รถโมเดลใหม่นี้แตกต่างจากรถโมเดลอื่นๆ ตัวอย่าง คือ การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบห้ามล้อ การลดความสูงของตัวถัง 10 มม. การปรับแต่งระบบรองรับและติดตั้งระบบบริหารจัดการ PASM (PORSCHE ACTIVE SUSPENSION MANAGEMENT)
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.5 วินาที ความเร็วสูงสุด 288 กม./ชม. มีกำหนดออกจำหน่ายในเมืองเบียร์เดือนกุมภาพันธ์ 2012 โดยติดป้ายค่าตัว 116,716 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 4.90 ล้านบาทไทย เป็นราคาที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 ไว้แล้ว
เอาดี เอ 4 ผัดหน้าตาปาก
ฉลองชัยยอดขาย 10 ล้านคัน
ขนาดตัวถังเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เยอรมนี-ค่าย "สี่ห่วง" อาศัยช่วงเวลาที่บางประเทศกำลังสู้รบตบมือกับปัญหาน้ำนองน้ำเน่า เปิดตัวรถ เอาดี เอ 4 (AUDI A4) ที่เพิ่งได้รับการปรับปรุงแบบ FACELIFT หรือ "ยกหน้า" พร้อมประกาศยืนยันว่า เครื่องยนต์ใหม่ที่นำมาใช้ในรถรุ่นนี้ ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงกว่าเครื่องยนต์ชุดเก่าถึงร้อยละ 11 โดยเฉลี่ย
เอาดี เอ 4 (AUDI A4) ที่จำหน่ายอยู่ในตลาดทั่วโลกขณะนี้ เป็นรถรุ่นที่ 4 เริ่มจำหน่ายในเมืองแม่ คือ เยอรมนีเมื่อเดือนธันวาคม 2007 การปรับปรุงแบบ "ยกหน้า" ครั้งนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งในส่วนของตัวถัง และเครื่องยนต์กลไก โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญ คือ แก้ไขจุดอ่อนที่มีอยู่บ้างของรถรุ่นปัจจุบัน และเพิ่มเติมสิ่งใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งโดยปกติมักจะลดลงตามจำนวนปีที่อยู่ในตลาดนานขึ้น
ในส่วนของตัวถังภายนอก มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายที่มองเห็นได้ชัด เมื่อนำรถรุ่นเก่าและรุ่นใหม่มาจอดประกบกัน ตัวอย่างเช่น แผงกระจังหน้ารูปสีเหลี่ยมคางหมู มีมุมบนที่ป้านกว่าเดิม ฝากระโปรงหน้าโค้งกว่าเดิม โลโก "สี่ห่วง" เน้นลักษณะ 3 มิติชัดเจนกว่าเดิม กันชนทั้งหน้าและหลังออกแบบใหม่หมด ฯลฯ อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนที่น่าจะสะดุดตาสะดุดใจที่สุด คือ ดวงโคมไฟหน้าที่ออกแบบขึ้นใหม่ มีรูปลักษณ์ที่ดูพลิ้วไหวเหมือนเปลวไฟ ไม่ดูทื่อๆเหมือนเดิม การเปลี่ยนแปลงในส่วนของตัวถังภายนอกดังกล่าวข้างต้น ส่งผลให้ขนาดตัวถังของรถรุ่นใหม่นี้ เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยวัดได้เป็นมิลลิเมตรเท่านั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า มีขนาดโตเท่าเดิม
ภายในห้องโดยสารที่นั่งได้รวม 5 คน ก็มีการปรับปรุงรายละเอียดในหลายๆ จุดเพื่อเสริมสร้างความรู้สึกใหม่ๆ รวมทั้งการเพิ่มจำนวนและเปลี่ยนแปลงตำแหน่งของปุ่มบังคับควบคุมต่างๆ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน และการปรับปรุง/เพิ่มเติมวัสดุหุ้มและตกแต่งให้หลากหลาย และเปิดโอกาสให้มีการเลือกได้มากขึ้น
ที่น่าสนใจและน่าจะกระตุ้นยอดขายได้ดีกว่าการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตัวถังทั้งภายนอกและภายในดังที่กล่าวข้างต้น คือ การเปลี่ยนแปลงด้านเครื่องยนต์ จุดที่น่าสนใจที่สุด และน่าจะถูกใจคนรักรถผู้พิสมัยสีเขียว คือ คำยืนยันของค่าย "สี่ห่วง" ที่ระบุว่า โดยเฉลี่ยเครื่องยนต์ที่ใช้ในรถรุ่น "ยกหน้า" ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงกว่าเครื่องยนต์ในรถรุ่นเดิมถึงร้อยละ 11
กล่าวโดยรวม เอาดี เอ 4 รุ่น "ยกหน้า" มีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 10 ขนาด แยกเป็นเครื่องเบนซินติดซูเพอร์ชาร์เจอร์ 4 ขนาด กับเครื่องดีเซลติดเทอร์โบชาร์เจอร์ 6 ขนาด และทุกขนาดล้วนใช้ระบบฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง (DIRECT-INJECTION SYSTEM)
นับแต่รถรุ่นแรกที่ออกจำหน่ายเมื่อปี 1972 โดยติดป้ายชื่อ เอาดี 80 (AUDI 80) จนถึงรุ่นปัจจุบันที่ออกจำหน่ายเมื่อปี 2007 โดยติดป้ายชื่อ เอาดี เอ 4 (AUDI A4) ค่าย "สี่ห่วง" ผลิตรถเก๋งขนาดเล็กอนุกรมนี้ออกขายในตลาดทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 10 ล้านคัน รถคันที่ 10 ล้าน หลุดออกจากสายการผลิตของโรงงานในเมืองอิงโกลสตัดท์ (INGOLSTADT) เมื่อเดือนตุลาคมปีกระต่าย เป็นรถ เอาดี เอส 4 (AUDI S4) ติดตั้งเครื่องยนต์ซูเพอร์ชาร์จฉีดตรง DOHC วี 6 สูบ 2,995 ซีซี 245 กิโลวัตต์/333 แรงม้า ตัวถังสีแดง MISANO RED ห้องโดยสารหุ้มเบาะด้วยหนังแท้สีดำสลับสีขาว
ยักษ์ใหญ่เมืองมะกัน
เปิดตัวรถธงคันใหม่
สะใจทั้งไฮโซไฮเทค
สหรัฐอเมริกา-ยักษ์ใหญ่ เจเนอรัล มอเตอร์ส คัมพานี (GENERAL MOTORS COMPANY) ใช้งานแสดงรถยนต์ในเมืองแม่เป็นเวทีเปิดตัวรถธงคันใหม่ ที่อัดแน่นไปด้วยสรรพเทคโนโลยีที่พึงคาดหวังได้จากรถพันธุ์อเมริกันยุคโลกาภิวัตน์ แต่ต้องรอจนถึงฤดูใบไม้ผลิปี 2012 รถจึงจะออกโชว์รูมในเมืองมะกัน
หลังจากเป็นข่าวในสื่อต่างๆ มานานกว่า 1 ปี ที่งานมหกรรมยานยนต์ลอสแองเจลิสครั้งล่าสุด ซึ่งมีขึ้นในเมืองเอกของสหรัฐอเมริกาเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เจเนอรัล มอเตอร์ส คัมพานี ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ซึ่งมีรัฐบาลอเมริกันเป็นผู้ถือหุ้นมากกว่าครึ่ง สามารถเรียกความสนใจจากสื่อมวลชนและผู้ใช้รถได้อย่างล้นหลาม โดยนำตัวจริงเสียงจริงของรถธงคันใหม่ ซึ่งติดป้ายชื่อ แคดิลแลค เอกซ์ทีเอส (CADILLAC XTS) ออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก พร้อมประกาศสรรพคุณว่า เป็นรถตลาดที่ก้าวล้ำนำสมัยที่สุดในประวัติศาสตร์ของค่าย แคดิลแลค
แคดิลแลค เอกซ์ทีเอส เป็นรถเก๋งขนาดใหญ่ อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า FULL-SIZE SEDAN ตัวถังยาว 5.131 ม. กว้าง 1.851 ม. และสูง 1.501 ม. ที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด ตั้งแต่กันชนหน้าจรดกันชนหลัง มีหน้าตาและรูปทรงองค์เอวที่ให้ความรู้สึกในพละกำลังที่น่าเกรงขาม ความหรูหราสง่างาม และบ่งบอกการเป็นรถสายพันธุ์อเมริกันยุคใหม่ในทุกๆ ตารางนิ้ว
"แคดิลแลค เอกซ์ทีเอส คือ สูตรผสมใหม่ของความหรูหรามีระดับ ที่ขับดันโดยเทคโนโลยีอันก้าวล้ำนำสมัย" ดอน บัทเลอร์ (DON BUTLER) รองประธานด้านการตลาดของค่าย แคดิลแลค กล่าวแก่ผู้สื่อข่าวในงาน "เอกซ์ทีเอส คือ ประจักษ์พยานยืนยันในปรัชญาที่มีวิวัฒนาการมาโดยตลอดของเรา นั่นคือ การผสานแนวคิดทางเทคนิคที่เยี่ยมยอดที่สุด เข้ากับการออกแบบอย่างประณีตพิถีพิถันในสไตล์ของ แคดิลแลค"
มีเทคโนโลยีใหม่ๆ มากมายที่สนับสนุนคำประกาศสรรพคุณว่าเป็นรถตลาดที่ก้าวล้ำนำสมัยที่สุดในประวัติศาสตร์ของค่ายดังที่กล่าวข้างต้น ตัวอย่าง คือ ระบบ MAGNETIC RIDE CONTROL อันเป็นระบบควบคุมที่ผู้ผลิตยืนยันว่าทำให้ได้ระบบรองรับ (กันสะเทือน) ที่สนองตอบอย่างฉับไวที่สุดในโลก ระบบ CUE หรือ CADILLAC USER EXPERIENCE อันเป็นระบบข้อมูลสื่อสารที่ไม่เคยพบเคยเห็นกันมาก่อนในรถอเมริกันคันใดๆ และสารพัดระบบความปลอดภัยทั้งในเชิงแก้ไขและป้องกันที่สามารถบรรยายประสิทธิภาพและรายละเอียดได้หลายหน้ากระดาษ
จะออกจำหน่ายในฤดูใบไม้ผลิปี 2012 ในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2013 โดยใช้โรงงานซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดออนทาริโอ (ONTARIO) ในแคนาดาเป็นที่ผลิต จะมีให้เลือกใช้เลือกหาทั้งรถขับล้อหน้า และขับทุกล้อด้วยระบบขับ HALDEX อันก้าวล้ำทันสมัย แต่จะมีเครื่องยนต์เพียงขนาดเดียว คือเครื่องฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ ความจุ 3,564 ซีซี ที่คาดหมายในขณะนี้ว่าจะให้กำลังสูงสุด 224 กิโลวัตต์/300 แรงม้า ที่ 6,800 รตน. และให้แรงบิดสูงสุด 358 นิวตัน-เมตร/36.5 กก.-ม. ที่ 5,300 รตน. ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้า หรือทั้ง 2 คู่แล้วแต่กรณี เป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ HYDRA-MATIC 6T70 แบบขับล้อหน้าคาดว่าจะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 7.2 กม./ลิตร เมื่อวิ่งในเมือง และลดเหลือ 11.9 กม./ลิตร เมื่อวิ่งบนทางหลวง ส่วนแบบขับทุกล้อตัวเลขจะเปลี่ยนเป็น 7.2 กม./ลิตร และ 11.5 กม./ลิตร ตามลำดับ
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/บริษัทผู้ผลิต formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มกราคม ปี 2555
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/30267