รถใหม่
INTERNATIONALE AUTOMOBIL-AUSSTELLUNG (IAA) หรือ มหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท ครั้งที่ 59 กำหนดจัดงานในช่วงเวลา 11 วัน คือ ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 13 จนถึงวันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2001 โดยที่ 2 วันก่อนหน้านั้น คือ วันอังคารที่ 11 และวันพุธที่ 12 จัดเป็นวันสำหรับสื่อมวลชน ที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า PRESS DAYS หรือ MEDIA DAYS
INTERNATIONALE AUTOMOBIL-AUSSTELLUNG (IAA) หรือ มหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท ครั้งที่ 59 กำหนดจัดงานในช่วงเวลา 11 วัน คือ ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 13 จนถึงวันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน 2001 โดยที่ 2 วันก่อนหน้านั้น คือ วันอังคารที่ 11 และวันพุธที่ 12 จัดเป็นวันสำหรับสื่อมวลชน ที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า PRESS DAYS หรือ MEDIA DAYS
ช่วงสายของวันอังคารที่ 11 กันยายน ขณะที่คณะของเรากำลังตื่นตาตื่นใจอยู่กับรถแบบใหม่ๆ ที่บรรดาผู้ผลิตรถยนต์นำออกแสดงในงาน เสียงโทรศัพท์มือถือที่เหน็บไว้กับสายเข็มขัดหนังรัดรอบเอวขนาด 32 นิ้วก็ดังขึ้น กดปุ่มตอบรับพร้อมยกโทรศัพท์ขึ้นแนบหูก็พบว่า เสียงจากคนไกลที่ฟังแล้วเหมือนนั่งอยู่ใกล้ๆ คือภรรยาสุดรัก ซึ่งขณะนั้นอยู่ในเมืองไทย แต่ขณะนี้คงอยู่ที่ไหนไม่ได้นอกจากในสวรรค์ ประโยคแรกที่ได้ยินไม่ใช่คำทักทายเหมือนเช่นทุกครั้ง แต่เป็นเสียงละล่ำละลักจับความได้ว่าตึกเวิร์ลด์ทเรดเซนเตอร์ถูกเครื่องบินชน แวบแรกที่ได้ยินก็เข้าใจไปว่าเป็นตึกเวิร์ลด์ทเรดเซนเตอร์ ตรงสี่แยกราชประสงค์ จึงนึกอยู่ในใจว่าตึกสูงไม่กี่ชั้นจะถูกเครื่องบินชนได้ยังไง ? หรือเครื่องบินตกใส่ตึก ? ได้ยินประโยคถัดมา จึงถึงบางอ้อว่าเป็นตึกชื่อเดียวกันที่อยู่ในมหานครนิวยอร์ค
เก็บโทรศัพท์ไว้ในซองดังเดิมแล้วกราดสายตาไปโดยรอบ จึงตระหนักในทันทีว่าบรรยายกาศของงานเปลี่ยนแปลงไปมากจากที่เคยเป็น เป็นสิ่งที่น่าจะสังเกตได้ก่อนแล้ว แต่ก็ไม่ได้สังเกต เพราะมัวสาละวนอยู่กับการถ่ายภาพ และเก็บรวบรวมเอกสารแจก สรรพเสียงต่างๆ ที่เคยดังก้องไปทั้งฮอลล์หายไป ไม่มีการแสดงรีวิวเปิดตัวรถใหม่ๆ บรรดา "พริทที" ที่เคยยืนเคียงข้างรถ ก็ดูจะหายหน้าหายตาไป ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเมื่อเดินไปถึงบูธของค่าย สโกดา ซึ่งอยู่ในฮอลล์หมายเลข 6 ก็เห็นถ้อยคำบนจออีเลคทรอนิคขนาดใหญ่เป็นภาษาอังกฤษความว่า DUE TO THE TRAGIC EVENTS IN THE UNITED OF AMERICA SKODA AUTO HAS DECIDED TO CANCEL ALL SHOW PROGRAMMES ซึ่งน่าจะแปลเป็นไทยได้ว่า "เนื่องจากอุบัติการณ์ที่น่าเศร้าในสหรัฐอเมริกา สโกดา จึงตัดสินใจยกเลิกพโรแกรมการแสดงทั้งหมด"
หลายสิ่งหลายอย่างขาดหายไป รวมทั้งไม่มีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการซึ่งกำหนดไว้แต่แรกว่าจะกระทำโดยนายกรัฐมนตรีของสหพันธรัฐเยอรมนี แต่มหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งนั้นก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นจนถึงวันสุดท้าย เป็นมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งประวัติศาสตร์ ที่เรียกขานกันในภายหลังว่า LEISE IAA ในภาษาเยอรมัน หรือ QUIET IAA ในภาษาอังกฤษ ตอนค่ำของวันเกิดเหตุ ขณะเดินทางกลับโรงแรมที่พัก ผ่านร้านขายเคบับซึ่งเป็นอาหารของคนตะวันออกกลาง เห็นเด็กหนุ่ม 2-3 คน นั่งดูโทรทัศน์ที่กำลังแพร่ภาพวินาทีที่เครื่องบินยักษ์พุ่งเข้าชนตึกบีของเวิร์ลด์ทเรดเซนเตอร์ ทุกคนหัวเราะลั่น และส่งภาษาที่ฟังไม่ออก คณะของเราคนหนึ่งบอกว่า นี่ถ้าอยู่ในเมืองไทย จะเดินเข้าไปคำนับ แล้วขอตบกระโหลกสองที
หนึ่งทศวรรษผ่านไปอย่างรวดเร็ว เดือนกันยายนของปีที่นายกรัฐมนตรีชื่อปู คณะของเราก็เดินทางกลับไปเยือนนครฟรังค์ฟวร์ทอีกครั้ง เป็นครั้งที่เท่าไรไม่อยากนับ แต่เกิน 10 แน่นอน สถานที่จัดงานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทยังเป็นที่เดิม คือ ศูนย์นิทรรศการซึ่งเรียกกันอย่างสั้นๆ ในภาษาเยอรมันว่า MESSE เป็นศูนย์ขนาดใหญ่และเก่าแก่ มีอาคารจัดงานมากกว่า 20 อาคาร ที่หนักหนาสาหัสสำหรับคนเดินเท้า คือ จากอาคารแรกจนถึงอาคารสุดท้ายเป็นระยะทางยาวไกลเกือบ 2 กิโลเมตร ด้วยเหตุนี้ ในวัน PRESS DAY ซึ่งจัดไว้โดยเฉพาะสำหรับสื่อมวลชน คือ วันอังคารที่ 13 และวันพุธที่ 14 กันยายน ผู้จัดงานจึงเตรียมรถไว้ให้ผู้สื่อข่าวด้วย และปีนี้รถที่จัดไว้ก็แปลกกว่าทุกปี คือ มีเฉพาะรถไฟฟ้ากับรถไฮบริด เท่าที่เห็นก็มีอยู่ 3 รุ่น คือ รถไฟฟ้า โอเพล อัมเพรา (OPEL AMPERA) รถไฟฟ้า เมร์เซเดส-เบนซ์ บี-คลาสส์ เอฟ-เซลล์ (MERCEDES-BENZ B-CLASS F-CELL) กับ รถ ซีตรอง เดแอส แซง ไฮบริด 4 (CITROEN DS5 HYBRID4) จึงเป็นเรื่องให้ "เมาท์" กันอย่างติดตลกว่า ผู้สื่อข่าวที่เดินอยู่งานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทปีนี้ต้องระวังตัวหน่อย เพราะอาจถูกชนท้ายด้วยรถที่วิ่งโดยแทบไม่ได้ยินเสียง
เป็นมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทอีกครั้งหนึ่ง ที่พิสูจน์ให้เห็นได้อย่างเจ๋งเป้งว่า ไม่ว่าจะวัดกันด้วยปริมาณหรือคุณภาพ ไม่มีใครอีกแล้วในโลกเล็กๆ ใบนี้ที่จะจัดงานแสดงรถยนต์ได้ยิ่งใหญ่อลังการเหมือนคนที่ดื่มเบียร์แทนน้ำ มีอะไรกันบ้างในมหกรรมยานยนต์ที่ยิ่งใหญ่นี้ พลิกไปสัมผัสได้เลยครับ เราจัดไว้ให้แล้ว 20 หน้าเต็มๆ
ค่าย "ดาวสามแฉก" ซึ่งยึดครองพื้นที่ในฮอลล์หมายเลข 2 ไว้ทั้งหมด เปิดตัวงานใหม่ในลักษณะ WORLD PREMIERE นับ 10 ชิ้น และชิ้นที่ให้น้ำหนักมากที่สุด คือ รถประตูปีกนก เมร์เซเดส-เบนซ์ เอฟ 125 (MERCEDES-BENZ F125) รถแนวคิดที่ทำขึ้นในโอกาสที่รถยนต์มีอายุครบ 125 ปี รวมทั้งเป็นห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่ที่บ่งบอกว่ารถ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ S-CLASS) รุ่นใหม่ที่มีกำหนดออกตลาดในปี 2013 จะมีรูปลักษณ์อย่างไร เป็นรถขับทุกล้อด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจำนวน 4 ชุด แต่ละชุดติดตั้งอยู่แต่ละมุมของตัวรถ และรับพลังไฟจากเซลล์เชื้อเพลิง (FUEL CELL) ที่ค่ายนี้บอกว่าพัฒนาขึ้นใหม่ในลักษณะ STATE-OF-THE-ART หรือ "สุดยอดงานศิลป์" มีถังบรรจุไฮโดรเจนที่ออกแบบให้ควบรวมเป็นส่วนหนึ่งของพื้นรถ คำนวณโดยคอมพิวเตอร์ได้ผลลัพธ์ว่า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.9 วินาที และมีอัตราสิ้นเปลืองไฮโดรเจน 0.79 กก./100 กม.
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเอส เอเอมจี โรดสเตอร์
งานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของค่าย "ดาวสามแฉก" ซึ่งเปิดตัวแบบ"ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ รถเปิดประทุน เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเอส เอเอมจี โรดสเตอร์ (MERCEDES-BENZ SLS AMG ROADSTER) ที่กำลังจะออกจำหน่ายในเมืองเบียร์โดยติดป้ายค่าตัว 195,160 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 8.40 ล้านบาทไทย พัฒนาจากรถสปอร์ทประตูปีกนก เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลเอส เอเอมจี (MERCEDES-BENZ SLS AMG) ที่เริ่มจำหน่ายในเมืองเบียร์เมื่อต้นปี 2010 โดยเปลี่ยนจากหลังคาแข็งเป็นหลังคาเปิดประทุนแบบอ่อนทำจากผ้าฟาบริค เปิด/ปิดด้วยระบบอีเลคทรอไฮดรอลิคโดยใช้เวลาแค่ 11 วินาที และสามารถเปิด/ปิดเมื่อยังใช้ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. รายละเอียดมากกว่านี้โปรดติดตามอ่านใน "ระเบียงรถใหม่"
เมร์เซเดส-เบนซ์ บี-คลาสส์
จุดโฟคัสสายตาอีกจุดหนึ่งในฮอลล์หมายเลข 2 ของค่าย "ดาวสามแฉก" คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ บี-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ B-CLASS) รุ่นใหม่ซึ่งเป็นรถรุ่นที่สอง กำหนดออกจำหน่ายในตลาดยุโรปเดือนพฤศจิกายนปีกระต่าย ในตัวถังยาว 4.359 ม. กว้าง 1.786 ม. สูง 1.557 ม. ที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหางและมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่เยี่ยมยอดมาก คือ แค่ 0.26 ในช่วงแรกที่ออกจำหน่ายจะมีรถให้เลือกใช้รวม 4 โมเดล คือ B180 เครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 122 แรงม้า B200 เครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 156 แรงม้า B180 CDI เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 109 แรงม้า และ B200 CDI เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 136 แรงม้า
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอม-คลาสส์
อวดโฉมผ่านสื่อสารพัดชนิดมาตั้งแต่ตอนกลางปี แต่คนรักรถในเมืองเบียร์เพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเสียงจริงเป็นครั้งแรกที่งานนี้ คือ รถกิจกรรมกลางแจ้ง เมร์เซเดส-เบนซ์ เอม-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ M-CLASS) รุ่นใหม่ซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 3 มีกำหนดออกตลาดเดือนพฤศจิกายนเช่นเดียวกัน โดยมีรถให้เลือกใช้เพียง 3 โมเดล คือ ML250 BLUETEC 4MATIC เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 2,143 ซีซี 204 แรงม้า ML350 BLUETEC 4MATIC เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 2,987 ซีซี 258 แรงม้า และ ML350 4MATIC BLUEEFFICIENCY เครื่องเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 3,498 ซีซี 306 แรงม้า ทุกโมเดลอยู่ในตัวถังที่ออกแบบขึ้นใหม่และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.32
เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ บี-คลาสส์ อี-เซลล์ พลัส
รถแนวคิดชื่อยาวสามวา เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ บี-คลาสส์ อี-เซลล์ พลัส (MERCEDES-BENZ CONCEPT B-CLASS E-CELL PLUS) ซึ่งในปี 2013 จะเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาด พัฒนาจากรถ บี-คลาสส์ รุ่นสามัญ โดยเปลี่ยนระบบขับ จากขับด้วยพลังของเครื่องยนต์เบนซินหรือดีเซล เป็นขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 100 กิโลวัตต์/136 แรงม้า ซึ่งรับพลังไฟจากแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ประจุไฟแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 100 กม.และสามารถทำความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. แถมมีเครื่องยนต์เทอร์โบเบนซิน 3 สูบเรียง 1.0 ลิตร 68 แรงม้า ทำหน้าที่เป็น RANGE EXTENDER หรือ "ตัวยืดระยะทาง" ช่วยขับล้อคู่หน้าและประจุไฟเข้าแบทเตอรี เพิ่มพิสัยการเดินทางโดยรวมเป็น 600 กม.
บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 คอนเซพท์
เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนกรกฎาคม แต่คนรักรถในเมืองเบียร์เพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเสียงจริงของ บีเอมดับเบิลยู ไอ 8 คอนเซพท์ (BMW I8 CONCEPT) เป็นครั้งแรกก็ที่งานนี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ท 2+2 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยระบบอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า PLUG-IN HYBRID โดยใช้เครื่องยนต์ 3 สูบเรียง ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 96 กิโลวัตต์/130 แรงม้า ได้กำลังรวมสูงสุด 354 แรงม้า สามารถทำความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ต่ำเพียง 2.7 ลิตร/100 กม.และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์แค่ 66 กรัม/กม.
บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 คอนเซพท์
รถแนวคิดอีกคันหนึ่งของค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้ขาว" ที่อวดตัวในงานนี้ คือ บีเอมดับเบิลยู ไอ 3 คอนเซพท์ (BMW I3 CONCEPT) รถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถไฟฟ้าขนาด 4 ที่นั่ง ซึ่งในเวลาไม่นานจนเกินรอจะเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาด ตัวถังหน้าตาวิลิศมาหรา ยาว 3.845 ม. กว้าง 2.011 ม. และสูง 1.537 ม. ใช้ระบบขับล้อหลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า ที่ได้พลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ประจุไฟแต่ละครั้งด้วยไฟบ้านโดยใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง รถจะวิ่งได้ไกล 130-160 กม. โดยทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 7.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 150 กม./ชม. มีระบบประจุไฟแบบ QUICK CHARGE ซึ่งได้ปริมาณไฟร้อยละ 80 โดยใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมง
บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1
จุดโฟคัสสายตาในบูธของค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" จะเป็นอะไรไปไม่ได้หากไม่ใช่รถจิ๋ว บีเอมดับเบิลยู ซีรีส์-1 (BMW 1-SERIES) ซึ่งอวดตัวแบบ WELTPREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถรุ่นที่สองซึ่งกำลังจะออกจำหน่ายในเมืองเบียร์โดยมีรถให้เลือกใช้รวม 5 โมเดล คือ BMW 116I เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 136 แรงม้า BMW 118I เครื่องเทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 170 แรงม้า BMW 116D เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 116 แรงม้า BMW 118D เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 143 แรงม้า BMW 120D เครื่องเทอร์โบดีเซลฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 184 แรงม้า ทุกโมเดลอยู่ในตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค ขนาด 4.324x1.765x1.421 ม.
เอาดี เอ 8 ไฮบริด
ค่าย "สี่ห่วง" ซึ่งทำท่าว่ากำลังจะมาแรงแซงขึ้นหน้าค่าย "ดาวสามแฉก" และค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" ไปแล้วในด้านนวัตกรรม นำผลงานใหม่ๆ ออกอวดตัวในลักษณะ WELTPREMIERE หลายชิ้น ชิ้นแรกที่เลือกมาให้ชื่นชมกัน คือ เอาดี เอ 8 ไฮบริด (AUDI A8 HYBRID) เป็นรถตลาดที่จะออกขายในปี 2012 โดยใช้เครื่องยนต์เทอร์โบเบนซินฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง 2.0 ลิตร 211 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 40 กิโลวัตต์/54 แรงม้า ได้กำลังรวมสูงสุด 245 แรงม้า สามารถทำความเร็วสูงสุด 235 กม./ชม. โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยต่ำกว่า 6.4 ลิตร/100 กม. และเมื่อวิ่งด้วยพลังของมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว จะวิ่งได้ไกลประมาณ 3 กม. เมื่อใช้ความเร็วคงที่ 60 กม./ชม.
เอาดี เอ 2 คอนเซพท์
หลังจากถูกปลดจากสายการผลิตไปแล้วกว่าครึ่งทศวรรษ ที่งานนี้ชื่อ เอาดี เอ 2 ก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้งหนึ่ง ในรูปลักษณ์ของรถแนวคิดติดป้ายชื่อ เอาดี เอ 2 คอนเซพท์ (AUDI A2 CONCEPT) เป็นรถขนาดเล็กกว่าเล็กกะทัดรัด ในตัวถังทรงสองกล่อง ยาว 3.804 ม. กว้าง 1.693 ม. และสูง 1.494 ม. ใช้ระบบขับล้อหน้าด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ โดยติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 85 กิโลวัตต์/116 แรงม้า ไว้ตรงหน้ารถ และวางแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 31 กิโลวัตต์ชั่วโมง ไว้ในพื้นรถที่ออกแบบเหมือนแซนด์วิช ประจุไฟแต่ละครั้งด้วยไฟบ้านโดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง รถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 200 กม. ด้วยความเร็วสูงสุดซึ่งจำกัดไว้ที่ 150 กม./ชม. เพราะเร็วกว่านี้จะเปลืองไฟมาก
เอาดี เออร์บัน คอนเซพท์
รถแนวคิดอีกคันหนึ่งของค่าย "สีห่วง" ที่ปรากฏตัวแบบ WELTPREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้คือ เอาดี เออร์บัน คอนเซพท์ (AUDI URBAN CONCEPT) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถนาครขนาด 1+1 ที่นั่ง ในตัวถังยาว 3.219 ม. กว้าง 1.678 ม. และสูง 1.189 ม. ซึ่งมีน้ำหนักตัวเบาหวิวแค่ 480 กก. ใช้ระบบขับล้อหลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ชุด ให้กำลังรวม 15 กิโลวัตต์/20 แรงม้า ติดตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างล้อหลังทั้งคู่ มอเตอร์ดังกล่าวนี้ได้พลังไฟจากแบทเตอรีลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 7.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งมีน้ำหนักตัว 90 กก. ประจุไฟเต็มหม้อแต่ละครั้งด้วยไฟบ้านโดยใช้เวลาแค่ 1 ชั่วโมง รถจะวิ่งได้ไกล 73 กม.โดยจำกัดความเร็วสูงสุดไว้ที่ 100 กม./ชม.
ฟอร์ด อีโวส
ไปงานนี้แล้วไม่ได้สัมผัสรถแนวคิด ฟอร์ด อีโวส (FORD EVOS) ซึ่งอวดตัวอยู่ในฮอลล์หมายเลข 9 ก็ต้องบอกว่า "น่าเสียดาย" เป็นรถแนวคิดวิลิศมาหราที่ยักษ์รองเมืองมะกันบอกว่าไม่มีวันเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาด แต่รังสรรค์ขึ้นเพื่อบ่งบอกแนวทางการออกแบบของรถ "วงรีสีฟ้า" ที่จะออกจำหน่ายในอนาคต และมี 3 สิ่งที่ซ่อนอยู่ในรถขับเคลื่อนแบบไฮบริดคันนี้ คือ UNRIVALED DESIGN หรือการออกแบบที่ไม่มีใครหาญสู้ INTELLIGENT USE OF TECHNOLOGY หรือการใช้เทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด และ OUTSTANDING FUEL EFFICIENCY หรือประสิทธิภาพเชื้อเพลิงอันโดดเด่น
โอเพล ซาฟีรา ทัวเรอร์
ค่าย "สายฟ้า" ใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวผลงานใหม่รวม 4 ชิ้น ชิ้นแรกในภาพซ้ายมือ คือ โอเพล ซาฟีรา ทัวเรอร์ (OPEL ZAFIRA TOURER) เป็นรถอเนกประสงค์ขนาด 7 ที่นั่ง ที่มีกำหนดออกตลาดในเดือนมกราคม 2012 โดยแบ่งการตกแต่งและอุปกรณ์เป็น 4 ระดับ กำกับด้วยรหัส SELECTION EDITION SPORT INNOVATION และมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ถึง 7 ขนาด ทั้งเครื่องเบนซินเครื่องดีเซลและเครื่องยนต์ที่ใช้แกส CNG เป็นเชื้อเพลิง ตัวถังทรงกล่องเดียว ยาว 4.658 ม. กว้าง 1.884 ม. และสูง 1.685 ม. ออกแบบให้มีคุณลักษณะเหมือนกับเป็น LOUNGE ON WHEEL หรือ ห้องเริงรมย์ติดล้อ ด้วยระบบการจัดและติดตั้งเก้าอี้ที่นั่งซึ่งเริ่มใช้เป็นครั้งแรกในรถ โอเพล ซาฟีรา และมีชื่อเรียกในภาษาฝรั่งว่า FLEX7
โอเพล อัสตรา จีทีซี
รถตลาดอีกแบบหนึ่งของค่าย "สายฟ้า" ที่อวดตัวแบบ WELTPREMIERE ในงานนี้ คือ โอเพล อัสตรา จีทีซี (OPEL ASTRA GTC) ในภาพขวามือ เป็นรถคูเปขนาดเล็กกะทัดรัด ในตัวถังยาว 4.466 ม. กว้าง 1.840 ม. และสูง 1.482 ม. ซึ่งต้องยกนิ้วหัวแม่โป้งให้แก่ทีมงานออกแบบ เพราะทำได้ดีและดูงามปราดเปรียวในทุกมุมมอง จะออกจำหน่ายในเมืองเบียร์ก่อนสิ้นปีกระต่าย โดยแบ่งระดับการตกแต่งและอุปกรณ์เป็น 2 ระดับ กำกับด้วยรหัส EDITION กับ INNOVATION และมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้อย่างจุใจถึง 5 ขนาด ทั้งเครื่องเบนซินและดีเซล เครื่องยนต์ที่แรงที่สุดเป็นเครื่องเทอร์โบเบนซิน 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 180 แรงม้า สนนราคาค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 เริ่มต้นที่ระดับ 19,000 ยูโร
โอเพล รัค อี
จุดดึงดูดความสนใจอีกจุดหนึ่งในบูธของค่าย "สายฟ้า" ซึ่งตั้งอยู่ภายในฮอลล์หมายเลข 8 คือ โอเพล รัค อี (OPEL RAK E) รถแนวคิดซึ่งหน้าตาเหมือนเพิ่งลอยฟ้ามาจากนอกโลก ที่ดูแปลกประหลาดไม่แพ้หน้าตาของรถก็คือ ค่าย "สายฟ้า" ไม่ให้รายละเอียดอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นขนาดความยาว ความกว้าง และความสูงของตัวถัง ขนาดของมอเตอร์ไฟฟ้า หรือประเภทของแบทเตอรีที่ใช้ บอกแต่เพียงว่า เป็นรถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ที่ออกแบบให้นั่งได้เพียง 2 คน เหมือนนั่งจักรยานยนต์ สามารถเดินทางได้ไกล 100 กม. ด้วยความเร็วสูงสุด 120 กม./ชม. และมีค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่ต่ำมาก คือ แค่ 1 ยูโร/100 กม. เท่านั้นเอง แถมบอกด้วยว่ามีแนวโน้มที่จะผลิตออกขายอย่างจริงๆ จังๆ
โฟล์คสวาเกน นิลส์
หน้าตาคิกขุไม่แพ้รถแนวคิดของค่าย "สายฟ้า" คือ โฟล์คสวาเกน นิลส์ (VOLKSWAGEN NILS) รถแนวคิดของค่ายยักษ์ใหญ่ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถนาครที่นั่งเดียว ที่ทีมงานวิจัย และพัฒนาของยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์รังสรรค์ขึ้นเพื่อแสดงให้เห็นว่า คิดยังไงกับรถใช้งานในตัวเมืองเมื่อถึงปี 2030 ตัวถังซึ่งยาวแค่ 3.040 ม. กว้าง 1.390 ม. และสูง 1.200 ม. มีเลย์เอาท์เหมือนรถแข่ง ฟอร์มูลา 1 คือ ผู้ขับนั่งอยู่ตรงกลางและวางเครื่องด้านท้าย ที่ออกแบบให้เป็นรถนั่งคนเดียว เพราะผลจากการวิจัยชี้ว่า เกือบร้อยละ 90 ของผู้ใช้รถจะเดินทางโดยไม่มีใครนั่งเคียงข้างไปด้วย เป็นรถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ประจุไฟแต่ละครั้งจะวิ่งได้ไกลประมาณ 64 กม. ด้วยความเร็วสูงสุด 130 กม./ชม.
โฟล์คสวาเกน บีเทิล อาร์ คอนเซพท์
รถแนวคิดอีกคันหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์นำออกอวดตัวแบบ WELTPREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้คือ โฟล์คสวาเกน บีเทิล อาร์ คอนเซพท์ (VOLKSWAGEN BEETLE R CONCEPT) รถแนวคิดซึ่งอีกไม่นานก็คงเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาด พัฒนาจากรถ โฟล์คสวาเกน บีเทิล รุ่นใหม่ซึ่งเพิ่งเปิดตัวที่งานมหกรรมยานยนต์เซี่ยงไฮ้ในสาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อปลายเดือนเมษายนปีกระต่าย โดยปรับเปลี่ยนรายละเอียดมากมายทั้งในส่วนตัวถังและเครื่องยนต์กลไก เพื่อเอาใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายซึ่งเป็นคนรักรถที่พิสมัยรถแรงและนิยมความแตกต่าง ในส่วนของตัวถังภายนอกความเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัด คือ ล้อขนาด 20 นิ้ว และกระทะล้ออัลลอยที่ออกแบบขึ้นโดยเฉพาะ กับกันชนหน้า/หลังที่ออกแบบใหม่เช่นกัน
โฟล์คสวาเกน อัพ !
อวดตัวแบบ WELTPREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" เช่นเดียวกัน คือ โฟล์คสวาเกน อัพ ! (VOLKSWAGEN UP!) รถจิ๋วที่ทีมงานของ "ฟอร์มูลา" เห็นพ้องต้องกันว่าเป็น "ดาวดวงเด่น" ของมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ทครั้งนี้ เป็นรถอนุกรมใหม่ล่าสุดที่ยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์กำลังจะบรรจุเข้าสู่สายการผลิตแทนที่รถรุ่นเดิมที่รู้จักกันในชื่อ โฟล์คสวาเกน ฟอกซ์ (VOLKSWAGEN FOX) ตัวถังทรงสองกล่อง ยาว 3.540 ม. กว้าง 1.640 ม. และสูง 1.480 ม. ออกแบบได้อย่างยอดเยี่ยมกระเทียมดอง และไม่ใช่เรื่องประหลาดหากเกิดอาการตื่นตะลึงหรือจ้องมองจนตาค้างเมื่อได้สัมผัสตัวจริงเสียงจริงเป็นครั้งแรก มีกำหนดออกโชว์รูมในเมืองเบียร์เดือนธันวาคมนี้ ด้วยค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 9,850 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 420,000 บาทไทย โดยแบ่งการตกแต่ง/อุปกรณ์เป็น 2 ระดับ กำกับด้วยรหัส MOVE UP! กับ HIGH UP! และมีเครื่องยนต์ให้เลือก 2 ขนาด คือ 60 กับ 75 แรงม้า
โฟล์คสวาเกน บักกี อัพ !
ปฏิสนธิการของรถจิ๋ว โฟล์คสวาเกน อัพ ! คือ ต้นกำเนิดของรถแนวคิดอีก 6 คัน ที่อวดตัวแบบ WELTPREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ และหนึ่งในจำนวนนั้นคือ โฟล์คสวาเกน บักกี
อัพ! (VOLKSWAGEN BUGGY UP!) ที่เห็นในภาพซ้ายสุด พัฒนาจากรถ โฟล์คสวาเกน อัพ ! ให้เป็นรถวิ่งชายหาด หรือลุยทรายอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า BUGGY ซึ่งกำเนิดขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อช่วงทศวรรษแห่งปี 1960 เครื่องยนต์กลไกต่างๆ ยกชุดมาจากรถ โฟล์คสวาเกน อัพ ! แต่ตัวถังเหล็กกล้าซึ่งยาวและกว้างขึ้นเล็กน้อย คือ ยาว 3.584 ม.กว้าง 1.672 ม. และสูง 1.288 ม. ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมด เป็นตัวถังที่ไม่มีทั้งประตูข้างและหลังคา เคลือบสีส้ม HOT ORANGE สีสะดุดตาที่เห็นได้ง่ายแม้อยู่ไกล
โฟล์คสวาเกน อัพ ! อัซเซอร์รา
โฟล์คสวาเกน อัพ ! อัซเซอร์รา (VOLKSWAGEN UP! AZZURRA) รถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถไร้ประตูข้างและหลังคาอีกคันหนึ่ง ที่พัฒนาจากรถ โฟล์คสวาเกน อัพ ! ตั้งชื่อตามชื่อของทีมแข่งเรือ AZZURRASAILING TEAM ที่ก่อตั้งขึ้นโดย 2 นักออกแบบยานยนต์ชาวอิตาลีชื่อก้องโลก คือ โจร์เกตโต จูจาโร (GIORGETTO GIUGIARO) กับ วัลแตร์ เด ซิลวา (WALTER DE SILVA) ตั้งใจออกแบบให้ไม่มีทั้งประตูข้างและหลังคา และอุปกรณ์ทุกๆ ชิ้นภายในห้องโดยสาร ล้วนทำจากวัสดุไฮเทค และไฮสไตล์ที่กันน้ำ เพราะต้องการให้ทั้งผู้ขับและผู้โดยสารได้สัมผัสธรรมชาติอย่างเต็มที่ เหมือนกำลังนั่งอยู่ในเรือ ยิ่งกว่านั้น การตกแต่งภายในห้องโดยสารก็ตั้งใจกระทำ ให้เหมือนกับการตกแต่งในเรือยอชท์อันหรูหราค่าตัวแพง
โฟล์คสวาเกน ครอสส์ อัพ !
แม้ยังติดป้ายว่าเป็น CONCEPT CAR หรือ รถแนวคิด แต่ก็น่าเชื่อว่า โฟล์คสวาเกน ครอสส์ อัพ ! (VOLKSWAGEN CROSS UP!) คือ รถแนวคิดที่อีกไม่นานก็คงเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาด เป็นอีกหนึ่งในบรรดารถแนวคิดรวม 6 คันที่แตกหน่อจากรถ โฟล์คสวาเกน อัพ และเป็นคันที่ทีมงานออกแบบของค่ายยักษ์ใหญ่รังสรรค์ขึ้นเพื่อชี้ให้เห็นว่า เมื่อเปลี่ยนสภาพจากรถ 3 ประตู เป็นรถ 4 ประตู โฟล์คสวาเกน อัพ ! ควรจะมีหน้าตาและรูปทรงอย่างไร ? ในส่วนของตัวถังภายนอก ซึ่งเคลือบสีแดง TORNADO RED ซึ่งตัดกันดีกับแถบคิ้วสีดำและชิ้นส่วนบางชิ้นซึ่งเคลือบสีเงิน จุดเปลี่ยนที่เห็นได้ชัด คือ ขอบล่างของหน้าต่าง ที่เป็นแนวตรงไปจนจรดท้ายรถ แทนที่จะหักมุมขึ้นข้างบนเหมือนในรถ 3 ประตู ดูแล้วทำอย่างเก่าน่าจะดูเก๋ดีกว่า
โฟล์คสวาเกน อี-อัพ !
โฟล์คสวาเกน อี-อัพ ! (VOLKSWAGEN E-UP!) รถแนวคิดอีกคันหนึ่งที่แตกหน่อแตกกอจากรถจิ๋ว โฟล์คสวาเกน อัพ ! และเป็นคันที่ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์ยืนยันแล้วว่า ปี 2013 จะเปลี่ยนสภาพเป็นรถตลาด เป็นรถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ โดยติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 60 กิโลวัตต์/82 แรงม้า ที่ได้พลังไฟจากแบทเตอรีขนาด 18 กิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งติดตั้งอยู่ใต้ท้องรถ ยังไม่บอกว่าประจุไฟแต่ละครั้งใช้เวลานานเท่าไร ? และรถจะวิ่งได้ไกลแค่ไหน ? บอกแต่เพียงว่าสามารถทำความเร็วสูงสุด 135 กม./ชม. ซึ่งก็น่าจะเร็วพอแล้วสำหรับรถที่ออกแบบสำหรับการใช้งานในเมือง การขับรถแบบนี้ก็ทำได้ง่ายๆ เหมือนรถไฟฟ้าคันอื่นๆ คือ ผู้ขับเพียงแต่จับคันเกียร์ซึ่งติดตั้งอยู่ในคอนโซลกลาง แล้วผลักไปในตำแหน่งเดินหน้าหรือถอยหลัง
โพร์เช 911
คงเป็นเพราะเผยแพร่ภาพและรายละเอียดไปก่อนแล้ว ตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม สื่อมวลชนจึงดูเฉยๆ เมื่อยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองเบียร์นำรถ โพร์เช 911 (PORSCHE 911) รุ่นล่าสุดออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ วันที่ 3 ธันวาคม จะออกขายในเมืองเบียร์โดยมีรถให้เลือกเพียง 2 โมเดล คือ PORSCHE 911 CARRERA ค่าตัว 88,037 ยูโร ติดตั้งเครื่องยนต์ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบนอนยัน 3,436 ซีซี กับ PORSCHE 911 CARRERA S ค่าตัว 102,436 ยูโร ติดตั้งเครื่องยนต์ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบนอนยัน 3,800 ซีซี 400 แรงม้า
เซอัต ไอบีแอล
ผู้ผลิตรถยนต์เมืองแมลงวันซึ่งอยู่ในร่มเงาของยักษ์ใหญ่ โฟล์คสวาเกน กรุพ ใช้เวทีหมุนขนาดยักษ์ในฮอลล์หมายเลข 3 เป็นที่เปิดตัว เซอัต ไอบีแอล (SEAT IBL) รถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถเก๋งซีดานขนาดกลาง ในตัวถังยาว 4.670 ม. และกว้าง 1.850 ม. ซึ่งมีช่วงฐานล้อที่ยาวถึง 2.710 ม. เพราะมีช่วงยื่นหน้าและยื่นหลังค่อนข้างสั้น ภายในห้องโดยสารซึ่งออกแบบให้นั่งเพียง 4 คน ติดตั้งแผงหน้าปัดอุปกรณ์ที่ออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ สามารถกดปุ่มเลือกการใช้งานและสีได้ 3 แบบ คือ TRAVEL เมื่อต้องการการขับขี่อย่างผ่อนคลาย SPORT เมื่อต้องการการขับขี่อย่างมีรถมีชาติในลักษณะของรถสปอร์ท และ EFFICIENCY เมื่อต้องการขับขี่อย่างประหยัดของระบบขับไฮบริด อย่างที่เรียกในภาษาอังกฤษว่า PLUG-IN HYBRID
สโกดา มิสชัน แอล
สโกดา แห่งสาธารณรัฐเชค ผู้ผลิตรถยนต์อีกรายหนึ่งที่อยู่ในเครือข่ายของยักษ์ใหญ่เมืองเบียร์เช่นกัน ก็ใช้เวทีหมุนขนาดยักษ์ในฮอลล์หมายเลข 3 เป็นที่เปิดตัวผลงานใหม่ล่าสุดเช่นกัน เป็นรถแนวคิดติดป้ายชื่อสโกดา มิสชัน แอล (SKODA MISSION L) ซึ่งเป็นต้นแบบของรถอนุกรมใหม่ที่ค่ายนี้จะนำออกจำหน่ายในปี 2012 โดยวางตำแหน่งในตลาดให้แทรกอยู่ตรงกลางระหว่างรถ สโกดา อคตาวีอา (SKODA OCTAVIA) และรถ สโกดา ซูเพิร์บ (SKODA SUPERB) ซึ่งเป็นรถธงในสายการผลิตขณะนี้ เป็นรถเก๋งขนาดกลางที่มีรูปทรงเหมือนรถซีดาน แต่มีประตูบานท้ายที่เปิด/ปิดเหมือนรถลิฟท์แบค นับเป็นรถแบบที่ 6 และเป็นส่วนหนึ่งในความมุ่งมั่นของค่ายนี้ ที่จะเพิ่มยอดขายรถในทุกตลาดเป็น 1.5 ล้านคัน/ปี ภายในปี 2018 นั่นเอง
มีนี คูเป
ยอดผู้ผลิตรถระดับ "พรีเมียม" ของเมืองอังกฤษ ที่มีเจ้าของนั่งเคี้ยวไส้กรอกอยู่ในเยอรมนี ใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวรถมีนีในตัวถังแบบที่ 5 คือ มีนี คูเป (MINI COUPE) ซึ่งเป็นข่าวมานมนานแต่เพิ่งอวดตัวจริงเสียงจริงให้คนรักรถได้สัมผัสเป็นครั้งแรกที่งานนี้ คาดหมายกันว่า รูปทรงองค์เอวของตัวถังยาว 3.728-3.734 ม.กว้าง 1.683 ม. และสูง 1.378-1.384 ม. ซึ่งออกแบบโดยได้แรงบันดาลใจจากหมวกแคพของนักเบสบอล น่าจะดึงดูดใจคนรักรถที่นิยมความแปลกใหม่ได้อย่างดี เริ่มจำหน่ายในเมืองผู้ดีไปแล้วเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีรถให้เลือกรวม 4 โมเดล คือ MINI COOPER COUPE-MINI COOPER S COUPE-MINI COOPER SD COUPE-MINI JOHN COOPER WORKS COUPE
โวลโว คอนเซพท์ ยู
หลังจากเปลี่ยนเจ้าของเป็นคนจีน ยักษ์ใหญ่ของเมืองฟรีเซกซ์ก็กลายสภาพเป็นผู้ผลิตรถยนต์ที่ชอบอวดผลงานด้านรถแนวคิดไปแล้ว รถแนวคิดคันล่าสุดซึ่งอวดตัวแบบ WELTPREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถเก๋งซีดานติดป้ายชื่อ โวลโว คอนเซพท์ ยู (VOLVO CONCEPT YOU) ซึ่งมีตัวถังยาวกว่า 5เมตร และมีบั้นท้ายที่ลาดเอียงอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า FASTBACK เชื่อกันว่า เป็นต้นแบบของรถระดับ "พรีเมียม" ที่ค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาดในอนาคตอันใกล้ เพื่อสู้กับรถสไตล์เดียวกันของคู่แข่งสัญชาติเยอรมัน คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ ซีแอลเอส-คลาสส์ (MERCEDES-BENZ CLS-CLASS) กับ เอาดี เอ 7 (AUDI A7) และเป็นผลลัพธ์ของกลยุทธ์การออกแบบที่ตั้งชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า DESIGNED AROUND YOU
สมาร์ท ฟอร์วิชัน
สมาร์ท ผู้ผลิตรถจิ๋วซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของยักษ์ใหญ่ เมร์เซเดส-เบนซ์ เลือกใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัว สมาร์ท ฟอร์วิชัน (SMART FORVISION) รถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถไฟฟ้าที่ออกแบบและพัฒนาโดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับ 3 เรื่อง คือ การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ การประโยชน์จากวัสดุมวลเบา และการบริหารจัดการอุณหภูมิ ตัวถังซึ่งมีน้ำหนักเบากว่ารถตลาดอย่าง สมาร์ท ฟอร์ทู (SMART FORTWO) ถึง 120 กก. มีชิ้นส่วนหลายชิ้นที่ทำจากวัสดุมวลเบาแต่แข็งแรง เช่น กระทะล้อทำจากพลาสติค บานประตูทำจากวัสดุสังเคราะห์ที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า CARBON-FIBER-REINFORCED EPOXY RESIN ซึ่งแข็งแรงกว่าเหล็กกล้าถึงร้อยละ 50 รายละเอียดมากกว่านี้โปรดติดตามอ่านใน "ระเบียงรถใหม่"
บูกัตตี เวย์รน กแรนด์ สปอร์ท โลร์ บลัง
หลังจากหายหน้าหายตาไป 6 ปีเต็ม ผู้ผลิตรถสปอร์ทค่าตัวแพงของเมืองน้ำหอมก็กลับมาเติมสีสันให้แก่มหกรรมยานยนต์รายการนี้ โดยนำ บูกัตตี เวย์รน กแรนด์ สปอร์ท โลร์ บลัง (BUGATTI VEYRON GRAND SPORT L'OR BLANC) รถสปอร์ทค่าตัว 1.65 ล้านยูโร ออกอวดตัวในบูธซึ่งยู่ในฮอลล์หมายเลข 3 เป็นผลงานจากความร่วมมือกับ KONIGLICHE PORZELLAN-MANUFAKTUR (KPM) บริษัทผู้ผลิตเครื่องกระเบื้องของเยอรมนี และเป็นรถคันแรกในโลกที่ติดตั้งชิ้นส่วนกระเบื้องทั้งภายนอกและภายในตัวถัง เป็นรถอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า ONE-OF-A-KIND คือ ทำขึ้นเพียงคันเดียว และขายไปเรียบร้อยแล้ว ผู้ซื้อ คือ HASAN ABDULLAH IMAIK เศรษฐีชาวจอร์แดนเจ้าของทีมฟุตบอล TSV 1860 MUNCHEN
แลนด์ โรเวอร์ ดีซี 100/แลนด์ โรเวอร์ ดีซี 100 สปอร์ท
ยอดผู้ผลิตรถกิจกรรมกลางแจ้งของเมืองผู้ดี เรียกร้องความสนใจจากสื่อมวลชนได้เป็นอย่างดี ด้วยรถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถ แลนด์ โรเวอร์ ดีเฟนเดอร์ (LAND ROVER DEFENDER) รุ่นใหม่ซึ่งจะออกจำหน่ายในปี 2015 มีอยู่ 2 คัน คันสีเงินซึ่งติดป้ายชื่อ แลนด์ โรเวอร์ ดีซี 100 (LAND ROVER DC100) เป็นรถหลังคาแข็ง 3+3 ที่นั่ง ยาว 4.472 ม. กว้าง 1.967 ม. และสูง 1.833 ม. ส่วนคันสีเหลืองซึ่งติดป้ายชื่อ แลนด์ โรเวอร์ ดีซี 100 สปอร์ท (LAND ROVER DC100 SPORT) เป็นรถเปิดประทุน 3 ที่นั่ง ยาว 4.135 ม. กว้าง 1.967 ม. และสูง 1.560 ม. ทั้ง 2 คันเป็นรถขับทุกล้อแบบไฮบริด โดยใช้เครื่องดีเซล 2.0 ลิตร ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า และถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ มีอุปกรณ์มากมายที่ช่วยประหยัดเชื้อเพลิง รวมทั้งระบบ STOP/START และระบบ DRIVELINE DISCONNECT ซึ่งตัดการทำงานของล้อคู่หลังเมื่อไม่จำเป็นต้องใช้
แจกวาร์ ซี-เอกซ์ 16
ในบูธที่อยู่ข้างเคียงกัน แจกวาร์ ยอดผู้ผลิตรถหรูของเมืองผู้ดีซึ่งเจ้าของกำลังนั่งกินโรตีอยู่ในเมืองภารตะ ก็มีนางกวักเรียกสื่อมวลชนเข้าพื้นที่ได้อย่างล้นหลาม คือ แจกวาร์ ซี-เอกซ์ 16 (JAGUAR C-X16) รถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ท 2 ที่นั่ง ยาว 4.445 ม. กว้าง 2.048 ม. และสูง 1.297 ม. ขับเคลื่อนแบบไฮบริดโดยใช้เครื่องยนต์ซูเพอร์ชาร์จ DOHC วี 6 สูบ 3.0 ลิตร 380 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้า 70 กิโลวัตต์/95 แรงม้า สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.4 วินาที และความเร็วสูงสุด 300 กม./ชม. ที่น่าแปลกใจก็คือ แม้เป็นรถที่แรงและเร็วขนาดนี้ กลับมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ต่ำมาก คือ 14.5 กม./ลิตร และปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์แค่ 165 กรัม/กม. เท่านั้นเอง
เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล จีทีซี
ยอดผู้ผลิตรถระดับ "พรีเมียม" ของเมืองผู้ดีเลือกใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวรถแบบใหม่ล่าสุดซึ่งเดือนธันวาคมนี้จะออกโชว์รูม คือ เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล จีทีซี (BENTLEY CONTINENTAL GTC) รุ่นใหม่ซึ่งเป็นรถรุ่นที่สอง เป็นรถสปอร์ทเปิดประทุนสุดหรู ในตัวถังเหล็กกล้ายาว 4.806 ม. กว้าง 1.943 ม. และสูง 1.403 ม. ที่ออกแบบให้นั่งได้ไม่เกิน 4 คน ใช้ระบบขับทุกล้อด้วยพลังของเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ DOHC ดับเบิลยู 12 สูบ 5,998 ซีซี 575 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ QUICKSHIFT ของ ZF สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 4.8 วินาที ความเร็วสูงสุด 314 กม./ชม. ที่แย่หน่อย คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2554
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/30052