รถใหม่
ผู้อ่าน "ฟอร์มูลา" คงคุ้นเคยดีกับคำว่า SPORTS CAR หรือ "รถสปอร์ท" อย่างไรก็ตาม หากขอให้อธิบายนิยามหรือบ่งบอกลักษณะของรถประเภทนี้ คำตอบอาจแตกต่างกันไปได้มากมาย ขึ้นอยู่กับความเข้าใจหรือมุมมองของแต่ละบุคคล
ม้าลำพองที่ไม่ต้องฉีดยา
FERRARI 599 GTO
ผู้อ่าน "ฟอร์มูลา" คงคุ้นเคยดีกับคำว่า SPORTS CAR หรือ "รถสปอร์ท" อย่างไรก็ตาม หากขอให้อธิบายนิยามหรือบ่งบอกลักษณะของรถประเภทนี้ คำตอบอาจแตกต่างกันไปได้มากมาย ขึ้นอยู่กับความเข้าใจหรือมุมมองของแต่ละบุคคล
สารานุกรมออนไลน์วิคิพีเดีย (WIKIPEDIA) ให้คำจำกัดความของรถสปอร์ทเป็นภาษาอังกฤษไว้สั้นๆ ว่า "AN OPEN,LOW-BUILT,FAST MOTOR CAR" และบอกด้วยว่า รถสปอร์ทไม่จำเป็นต้องติดตั้งเครื่องยนต์ขนาดใหญ่และทรงพลัง แม้ว่ารถสปอร์ทส่วนใหญ่จะเป็นเช่นนั้น โดยยกตัวอย่างว่ารถสปอร์ทสัญชาติอังกฤษบางแบบไม่ได้ติดตั้งเครื่องยนต์อันทรงพลัง แต่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี ด้วยสมรรถนะการบังคับขับขี่ที่ผิดแผกจากรถทั่วๆ ไป เพราะมีน้ำหนักเบา กำหนดลักษณะทางวิศวกรรมได้ดี มีแชสซีส์ที่สมดุล และใช้ระบบรองรับที่ทันสมัย ตัวอย่างของรถที่ว่านี้ คือ รถ โลทัส เซเวน (LOTUS SEVEN) และรถ ออสติน 7 สปีดี (AUSTIN 7 SPEEDY)
ในเดือนที่ "ฟอร์มูลา" ชูประเด็น "รถยนต์กับเซกซ์" นี้ "ระเบียงรถใหม่" นำเรื่องราวของรถรุ่นใหม่ๆ มาเล่าสู่กันฟังรวม 8 ชุด ทั้งหมดเป็นรถสปอร์ทสมรรถนะสูง นั่งแล้วเสียว เพราะเร็วสุดๆ มีทั้งรถที่ทำไว้ขายและที่ยังเป็นเพียงรถแนวคิด
เปิดรายการด้วย แฟร์รารี 599 จีทีโอ (FERRARI 599 GTO) รถสปอร์ทม้าลำพองแบบที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่ใช้รหัส GTO ซึ่งย่อมาจาก GRAN TURISMO OMOLOGATO ในภาษาอิตาลี โดยที่ก่อนหน้านี้ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองมะกะโรนี เคยทำรถติดรหัส GTO มาแล้ว 2 รุ่น คือ รถ แฟร์รารี 250 จีทีโอ (FERRARI 250 GTO) รุ่นปี 1962 ซึ่งขณะนี้นักสะสมรถเก่าซื้อขายกันในราคาหลายล้านเหรียญสหรัฐ ฯ กับรถ แฟร์รารี 288 จีทีโอ (FERRARI 288 GTO) รุ่นปี 1984 ซึ่งถือกันว่าเป็นจุดเริ่มต้นของรถสปอร์ท "ซูเพอร์คาร์" ยุคโมเดิร์น
พัฒนาจากรถ แฟร์รารี 599 เอกซ์เอกซ์ (FERRARI 599XX) ซึ่งเป็นรถที่ออกแบบสำหรับสนามแข่งไม่สามารถวิ่งตามท้องถนนทั่วๆ ไป อวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ปักกิ่งในสาธารณรัฐประชาชนจีนเมื่อปลายเดือนเมษายนปีเสือ พร้อมคำประกาศว่า จะจำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 599 คัน ตามชื่อรุ่น ส่วนสนนราคาค่าตัวเมื่อแปลงหน่วยเป็นเงินบาทไทย ต้องเขียนด้วยเลข 8 หลัก นำหน้าด้วยเลข 1 และตามมาด้วยเลข 2
ตัวถังยาว 4.710 ม. กว้าง 1.962 ม. และสูง 1.326 ม. มีช่วงฐานล้อยาว 2.750 ม. ช่วงล้อหน้ากว้าง 1.701 ม.และช่วงล้อหลังกว้าง 1.618 ม. น้ำหนักตัวรถเปล่า คือ 1,495 กก. ส่วนน้ำหนักตัวพร้อมขับเมื่อเติมเชื้อเพลิงเต็มถังซึ่งจุ 105 ลิตร คือ 1,605 กก. เป็นตัวถังที่ออกแบบโดยเน้นเป็นพิเศษในเรื่องการลดน้ำหนักตัว ซึ่งผลลัพธ์ในบั้นปลาย ก็ชี้ชัดให้เห็นว่าทำได้ดีมาก เพราะมีค่า WEIGHT-TO-POWER RATIO หรือ "อัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลัง" ที่ต่ำเพียง 2.23 กก./แรงม้า เท่านั้นเอง
เป็นรถวางเครื่องหน้าขับเคลื่อนล้อหลัง ด้วยพลังของเครื่องยนต์ DOHC วี 12 สูบ 65 องศา 48 วาล์ว ความจุ 5,999 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 670 แรงม้า ที่ 8,250 รตน. และแรงบิดสูงสุด 620 นิวตัน-เมตร (63.3 กก.-ม.) ที่ 6,500 รตน. ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า SIX-SPEED AUTOMATED GEARBOX การเปลี่ยนจังหวะเกียร์แต่ละครั้ง ใช้เวลาสั้นจนแทบไม่น่าเชื่อ คือเพียง 60 มิลลิวินาที หรือ 60 ใน 1,000 วินาที เท่านั้นเอง
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 3.35 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดไม่ระบุตัวเลขจำเพาะเจาะจง เพียงแต่บอกว่า สูงกว่า 335 กม./ชม. เป็นตัวเลขที่ทำให้กล่าวได้อย่างเต็มคำโดยไม่ต้องกลัวใครจะโต้แย้งว่า นี่คือ รถถนนติดเครื่องหมาย "ม้าลำพอง" ที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ ตัวเลขที่ผู้ผลิตบอกไว้ด้วยเช่นกัน ทั้งๆ ที่ใจจริงแล้ว คงไม่อยากจะบอก คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 17.5 ลิตร/100 กม. และอัตราคาร์บอนไดออกไซด์เฉลี่ย 411 กรัม/กม. เห็นตัวเลขนี้แล้ว นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมคงส่ายหน้า
ซูเพอร์คาร์สุดเอกซ์คูลซีฟ
FERRARI SA APERTA
รถสปอร์ท "ซูเพอร์คาร์" ติดเครื่องหมาย "ม้าลำพอง" อีกคันหนึ่งที่นำมาให้ชื่นชมกันในเดือนนี้ เป็นรถเปิดประทุนที่ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองมะกะโรนี เพิ่งนำออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากเคยนำออกแสดงแบบ "ลับเฉพาะ" มาครั้งหนึ่งแล้ว ที่งานแสดงรถยนต์ PEBBLE BEACH CONCOURS ในแคลิฟอร์เนียเมื่อเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน
เป็นรถที่ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของอิตาลี ทำขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 80 ปีของสำนักออกแบบ ปินินฟารีนา (PININFARINA) ที่หากินกับค่าย "ม้าลำพอง" มานมนาน ชื่อรุ่นตัวแรก คือ SA ได้มาจากอักษรตัวเลขของชื่อ แซร์โจ ปินินฟารีนา (SERGIO PININFARINA) และ อันดเรอา ปินินฟารีนา (ANDREA PININFARINA) โดยที่คนแรกซึ่งกำเนิดในเมืองตูรินเมื่อปี 1926 เป็นนักออกแบบตัวถังรถยนต์ที่ทำงานให้แก่ค่าย "ม้าลำพอง" มาแล้วมากมาย และเป็นบุตรชายของ บัตติสตา ปินินฟารีนา (BATTISTA PININFARINA) ผู้ก่อตั้งกิจการของสำนักออกแบบแห่งนี้เมื่อปี 1930 ส่วนคนหลังซึ่งเป็นวิศวกรเครื่องกล และมีชีวิตระหว่างปี 1957-2008 เป็นบุตรชายของคนแรก และดำรงตำแหน่งประธาน/ซีอีโออยู่ช่วงหนึ่งก่อนเสียชีวิต ชื่อรุ่นตัวหลัง คือ APERTA เป็นภาษาอิตาลี ซึ่งแปลว่า OPEN ในภาษาอังกฤษ หรือ เปิด ในภาษาไทยนั่นเอง
ตัวถังซึ่งยาว 4.700 ม. กว้าง 1.962 ม. และสูง 1.300 ม. ดัดแปลงจากตัวถังหลังคาแข็งของรถ แฟร์รารี 599 จีทีโอ (FERRARI 599 GTO) ที่เพิ่งผ่านตาไป โดยมีการปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายเพื่อให้ความแข็งแรงไม่ลดลงแม้ว่าไม่มีหลังคา อย่างไรก็ตาม แฟร์รารี ซา อแปร์ตา (FERRARI SA APERTA) ไม่ใช่รถเปิดประทุนไร้หลังคาแท้ๆ อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า ROADSTER หากเป็นรถเปิดประทุนที่มีประทุนหลังคาอยู่ด้วย เป็นประทุนหลังคาที่ค่าย "ม้าลำพอง" อธิบายเป็นภาษาอังกฤษว่า A LIGHT SOFT TOP DESIGNED TO BE RESORTED TO ONLY IF THE WEATHER GETS PARTICULARLY BAD ซึ่งพอจะแปลเป็นไทยได้อย่างกระท่อนกระแท่นว่า "ประทุนอ่อนน้ำหนักเบา ออกแบบเพื่อใช้งานเฉพาะในกรณีที่อากาศเลวร้ายจนเกินทนเท่านั้น"
ภายในห้องโดยสารจุ 2 ที่นั่ง ที่ค่าย "ม้าลำพอง" ร่วมกันออกแบบกับสำนัก ปินินฟารีนา มีการตกแต่งอย่างประณีตพิถีพิถันและเลือกใช้แต่วัสดุชั้นดีมีรสนิยม เก้าอี้ที่นั่งทั้ง 2 ตัว และผนังรถทุกตารางนิ้วรวมทั้งในห้องเก็บของท้ายรถ หุ้มด้วยวัสดุสังเคราะห์ อัลคันทารา (ALCANTARA) อันโด่งดัง และราคาแพงระยับ
กลไกต่างๆ ยกชุดมาจากรถหลังคาแข็ง แฟร์รารี 599 จีทีโอ โดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเครื่องยนต์ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ฝากระโปรงหน้าบานมหึมา ยังคงเป็นเครื่อง DOHC วี 12 สูบ 5,999 ซีซี 670 แรงม้า 620 นิวตัน-เมตร (63.3 กก.-ม.) ระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อคู่หลัง ก็ยังคงเป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ที่ใช้เวลาในการเปลี่ยนจังหวะเกียร์เพียง 60 มิลลิวินาที หรือ 60 ใน 1,000 วินาที ชุดเดิม ห้ามล้อชุดหน้า ก็ยังเป็นห้ามล้อจานคาร์บอน-เซรามิค ขนาด 398x38 มม. เช่นเดิม ในขณะที่ห้ามล้อชุดหลังก็เป็นห้ามล้อจานคาร์บอน-เซรามิค ขนาด 360x32 มม. เหมือนเดิม
ที่เปลี่ยนไป คือ ตัวเลขสมรรถนะความเร็วซึ่งด้อยลงนิดหน่อย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 3.6 วินาที คือ ช้าลง 0.25 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ระดับ 325 กม./ชม. แต่อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย และอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ยังทำให้นักอนุรักษนิยมส่ายหน้าเหมือนเดิม คือ 17.5 ลิตร/100 กม.และ 411 กรัม/กม. ตามลำดับ
ประกาศไว้ตั้งแต่ตอนเปิดตัวว่าจะจำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 80 คัน เพราะเป็นรถฉลอง 80 ปี และนิตยสารรถยนต์ฉบับหนึ่งของยุโรปยืนยันว่ามีผู้สั่งจองไว้หมดแล้ว ตั้งแต่ยังไม่เริ่มการผลิตอย่างจริงๆ จังๆ และยังไม่รู้ค่าตัวด้วยซ้ำ สนนราคาค่าตัวกะเก็งกันไว้แต่แรกว่าน่าจะสูงกว่า 400,000 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 16 ล้านบาทไทย เมื่อคิดอัตราแลกเปลี่ยนในยุคที่เงินไทยแข็งกว่าใจคนสวมเสื้อสี คือ เงินฝรั่ง 1 ยูโร แลกได้ด้วยเงินไทย 40 บาท ค่าตัวที่แน่นอน สื่อฝรั่งบอกว่าจะยืนยันกันอีกทีที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสซึ่งเป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ พยายามค้นหาจากสื่อต่างๆ รวมทั้งเวบไซท์ ก็ยังหาไม่พบว่าเท่าไรแน่ แม้ว่าขณะที่เขียนเรื่องนี้ งานที่ว่าปิดฉากไปแล้วกว่า 2 เดือน
สปอร์ทกระทิงดุที่ดุกว่ากระทิง
LAMBORGHINI SESTO ELEMENTO
ในบรรดารถสปอร์ทรวม 8 คัน ที่ "ระเบียงรถใหม่" นำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังในเดือนนี้ มีอยู่เพียงคันเดียวเท่านั้นที่ยังเป็นเพียง CONCEPT CAR หรือ "รถแนวคิด" คือ ลัมโบร์กินี เซสโต เอเลเมนโต (LAMBORGHINI SESTO ELEMENTO) ที่กำลังอวดโฉมอยู่ในขณะนี้
เป็นรถแนวคิดที่ผู้ผลิตรถสปอร์ทกระทิงดุบอกว่า รังสรรค์ขึ้นเพื่อบ่งบอก "THE FUTURE OF THECOMPANY" หรือ "อนาคตของบริษัท" และเชื่อกันในยุโรปว่า นี่แหละคือ ต้นแบบของรถสปอร์ท ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด (LAMBORGHINI GALLARDO) รุ่นใหม่ ที่ค่ายกระทิงดุจะนำออกสู่ตลาดภายในเวลา 2 ปีนับแต่นี้ เพิ่งอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือนตุลาคม 2010 และเป็นผลงานเตะตาเตะใจ ที่ดึงดูดผู้คนให้หลั่งไหลเข้าสู่บูธของค่ายนี้ชนิด "หัวกระไดไม่แห้ง"
ชื่อรุ่น คือ SESTO ELEMENTO เป็นภาษาอิตาลี ตรงกับ SIXTH ELEMENT ในภาษาอังกฤษ หรือ "ธาตุลำดับที่ 6" ในภาษาไทย ตรวจดูใน PERIODIC TABLE หรือ "ตารางธาตุ" ซึ่งร่ำเรียนกันมาตั้งแต่สมัยที่ยังใส่กางเกงขาสั้น ก็พบว่า ธาตุลำดับที่ 6 คือ คาร์บอน (CARBON) ซึ่งเป็นหัวใจของรถแนวคิดคันนี้
เป็นรถสปอร์ทระดับ "ซูเพอร์คาร์" ที่มีน้ำหนักตัวเบาหวิวแค่ 999 กก. เพราะรังสรรค์ขึ้นด้วยเทคโนโลยีพลาสติคเสริมแรงด้วยคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งเรียกขานกันในภาษาอังกฤษว่า CFRP หรือ CARBON-FIBER REINFORCED PLASTIC เป็นเทคโนโลยีด้านวัสดุมวลเบาแต่แข็งแรงที่ค่ายกระทิงดุกำลังร่วมกันพัฒนากับบริษัทผู้ผลิตอากาศยาน BOEING และมหาวิทยาลัยแห่งรัฐวอชิงทันของสหรัฐอเมริกา
อธิบายได้อย่างย่นย่อว่า ชิ้นส่วนแทบทุกชิ้นในรถแนวคิดคันนี้ ล้วนทำจากวัสดุมวลเบาซึ่งเป็นผลพวงจากเทคโนโลยีดังกล่าวข้างต้น ตัวอย่าง คือ โครงรถส่วนหน้าทั้งชุด ชิ้นส่วนตัวถังภายนอกทุกชิ้น และโครงสร้างกันแรงกระแทก หรือ CRASH BOXES ทำจาก CFPR ชิ้นส่วนหลักในระบบรองรับทำจากคาร์บอนไฟเบอร์ และท่อไอเสียทำจาก PYROSIC วัสดุผสมมวลเบาซึ่งทนอุณหภูมิความร้อนได้สูงถึง 900 องศาเซลเซียส ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ แม้แต่ชิ้นส่วนที่เป็นหัวใจสำคัญของระบบส่งกำลัง คือ PROPELLER SHAFT หรือเพลาขับ ก็ยังทำจาก CFRP
เป็นรถขับเคลื่อนทุกล้อ ด้วยพละกำลังของเครื่องยนต์ที่ขอหยิบขอยืมจากรถตลาด ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด แอลพี 570-4 ซูเพอร์เลกเกรา (LAMBORGHINI GALLARDO LP 570-4 SUPERLEGGERA) ซึ่งเป็นเครื่องฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 10 สูบ ความจุ 5,204 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 570 แรงม้า ที่ 8,000 รตน. และแรงบิดสูงสุด 540 นิวตัน-เมตร (55.1 กก.-ม.) ที่ 6,500 รตน. ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลัง ก็เป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ ที่ยกทั้งชุดมาจากรถ ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด แอลพี 570-4 ซูเพอร์เลกเกรา เช่นเดียวกัน
เนื่องจากน้ำหนักตัวเบาหวิวแค่ 1 ตันหย่อน 1 กิโลกรัม แต่เครื่องยนต์ให้กำลังสูงถึง 570 แรงม้า ค่า POWER-TO-WEIGHT หรือ "อัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนัก" ของรถแนวคิดคันนี้จึงสูงถึง 570 แรงม้า/ตัน อันเป็นตัวเลขที่ใช่ว่าจะได้พบได้เห็นกันง่ายๆ เพราะแม้แต่รถสปอร์ทที่คุยนักคุยหนาอย่าง แฟร์รารี 458 อิตาลีอา ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4,499 ซีซี 570 แรงม้า ก็ยังทำได้แค่ 370 แรงม้า/ตัน เท่านั้นเอง
อัตราส่วนกำลังต่อน้ำหนักตัวที่สูงลิบลิ่วดังที่ว่า ทำให้นักวิจารณ์รถยนต์บางคนในทวีปยุโรปให้ความเห็น ผู้มีโอกาสนั่งหลังพวงมาลัยของรถแนวคิด ลัมโบร์กินี เซสโต เอเลเมนโต จะมีความรู้สึกเหมือนคนสองพวก พวกแรก คือ ผู้ขับขี่จักรยานยนต์สมรรถนะสูงความเร็วเสียวอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า SUPERBIKE พวกที่สอง คือ ผู้เป็นเจ้าของรถสปอร์ทซูเพอร์คาร์ติดป้ายชื่อ บูกัตตี เวย์รน (BUGATTI VEYRON) ซึ่งติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบ DOHC ดับเบิลยู 16 สูบ 7,993 ซีซี 1,001 แรงม้า และสามารถทำความเร็วสูงสุด 407 กม./ชม.
ก็เป็นการเปรียบเทียบที่ดูจะ"เวอร์" ไปหน่อย เพราะสมรรถนะความเร็วที่ค่ายกระทิงดุอ้างว่ารถแนวคิดคันนี้ทำได้ ยังเป็นรองซูเพอร์คาร์คันที่ว่าอยู่เยอะ ตีนต้นอาจจะใกล้เคียง แต่ตีนปลายคนละเรื่องกันเลย นั่นคือ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ในเวลาแค่ 2.5 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดไม่ระบุตัวเลขที่ชัดเจน บอกเพียงว่า สูงกว่า 300 กม./ชม.
สืบสานตำนานสปอร์ทตัวจริงเสียงจริง
PORSCHE 911 CARRERA GTS
เมื่อเอ่ยๆ ถึงรถสปอร์ทพันธุ์แท้ ที่อยู่ในสายการผลิตมายาวนาน ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์และคุณสมบัติไปแล้วหลายครั้ง แต่เห็นที่ไหนหรือเมื่อไร ? ใครๆ ก็ยังจำได้ว่าเป็นรถอะไร ? เชื่อขนมกินได้เลยว่า ชื่อแรกที่คนรักรถสปอร์ทจะนึกถึง คือ โพร์เช 911 (PORSCHE 911)
โพร์เช 911 ซึ่งคนอังกฤษออกเสียงว่า นายน์ เอเลเวน (NINE ELEVEN) และคนเยอรมันออกเสียงว่า นอยน์เอลเฟร์ (NEUNELFER) เป็นรถสปอร์ทตัวจริงเสียงจริงที่มีประวัติความเป็นมาที่สามารถย้อนหลังไปได้ไกลเกือบครึ่งศตวรรษ รถรุ่นแรกซึ่งเริ่มจำหน่ายเมื่อปี 1963 อยู่ในตลาดมายาวนานจนถึงปี 1989 จึงถูกแทนที่ด้วยรถรุ่นที่ 2 ซึ่งมีรหัสโรงงานว่า PORSCHE 964 ตามมาด้วยรถรุ่นที่สาม/PORSCHE 993 ในปี 1993 รถรุ่นที่ 4/PORSCHE 996 ในปี 1999 และรุ่นปัจจุบันซึ่งมีรหัสโรงงาน PORSCHE 997 ในปี 2005 อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเปลี่ยนรุ่นมาแล้วกี่ครั้ง ? เปลี่ยนเครื่องยนต์กลไกมาแล้วกี่คราว ? รถ โพร์เช 911 ทุกรุ่นทุกโมเดล ไปที่ไหน? เมื่อไร ? ใครๆ ก็รู้ว่านี่คือ รถ โพร์เช 911
สำหรับ โพร์เช 911 คาร์เรรา จีทีเอส (PORSCHE 911 CARRERA GTS) ที่เห็นอยู่นี้ เป็นพัฒนาการใหม่สุดของรถ โพร์เช 911 รุ่นล่าสุด เป็นข่าวตามสื่อต่างๆรวมทั้งสื่อเวบไซท์มาตั้งแต่ตอนกลางปี แต่คนรักรถเพิ่งมีโอกาสสัมผัสตัวจริงเสียงจริงเป็นครั้งแรก ก็ที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งแรกล่าสุดเมื่อต้นเดือนตุลาคมปีเสือนี่เอง หน้าตาและรูปทรงองค์เอวก็เช่นเดียวกับรถรุ่นอื่นๆ คือ วิ่งที่ไหน? จอดที่ใด ? ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นรถ โพร์เช 911 ในเยอรมนีรถรุ่นใหม่นี้เริ่มจำหน่ายแล้วเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
พัฒนาจาก โพร์เช 911 คาร์เรรา (PORSCHE 911 CARRERA) ซึ่งเป็นรถขับล้อหลัง โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายทั้งตัวถังและเครื่องยนต์กลไก ในส่วนของตัวถังซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงในหลายๆจุด จุดสำคัญ คือ การขยายความกว้างตัวถัง 44 มม.เพื่อให้กว้างเท่ากับรถ โพร์เช 911 คาร์เรรา 4 (PORSCHE 911 CARRERA 4) ซึ่งเป็นรถขับทุกล้อ และทำหน้าตาของตัวถังภายนอกให้ดูเหมือนรถ โพร์เช 911 คาร์เรรา เอส (PORSCHE 911 CARRERA S) ซึ่งเป็นรถขับล้อหลัง
มีตัวถังให้เลือกใช้ 2 แบบ คือ ตัวถังคูเป 2 ที่นั่ง ยาว 4.435 ม. กว้าง 1.852 ม. และสูง 1.300 ม. มีช่วงฐานล้อยาว 2.350 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.30 กับตัวถังเปิดประทุน 2+2 ที่นั่ง ซึ่งมีขนาดโตเท่ากันในทุกมิติ แต่มีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศสูงกว่าเล็กน้อย คือ 0.31 เป็นรถเปิดประทุนซึ่งใช้ประทุนหลังคาแบบอ่อน เปิด/ปิดด้วยระบบอีเลคทรอ-ไฮดรอลิค ที่น่าประทับใจก็คือ ผู้ต้องการซื้อรถคูเป แต่อยากได้ห้องโดยสารที่นั่งได้มากเหมือนรถเปิดประทุน โพร์เช ยินดีจะติดตั้งเก้าอี้ที่นั่งตัวหลังให้เป็นพิเศษโดย ไม่คิดเงินเพิ่มใดๆ
ทั้ง 2 ตัวถัง ติดตั้งเครื่องยนต์ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) ความจุ 3,800 ซีซี บลอคเดียวกับที่ใช้ในรถ โพร์เช 911 คาร์เรรา เอส แต่ปรับแต่งจนกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้น 23 แรงม้า คือ จาก 385 เป็น 408 แรงม้า ที่ 7,300 รตน. และแรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้นเป็น 420 นิวทันเมตร (42.9 กก.ม.) ที่ 4,200-5,600 รตน. ระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังเป็นเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ ซึ่งมีอัตราทด 3.91-2.32-1.56-1.28-1.08-0.88-ถอยหลัง 3.59-เฟืองท้าย 3.44 ถ้าไม่ถนัดเกียร์ธรรมดาอยากได้เกียร์อัตโนมัติ ก็มีเกียร์คลัทช์คู่ 7 จังหวะ เป็นออพชันพิเศษให้เลือกใช้โดยเพิ่มค่าตัว เกียร์อัตโนมัติที่ว่านี้มีชื่อยาวเหยียดว่า PORSCHE DOPPELKUPPLUNGSGETRIEBE หรือเรียกกันย่อๆว่า เกียร์ PDK
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต รถคูเปซึ่งค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 เริ่มต้นที่ 104,935 ยูโร หรือประมาณ 4.20 ล้านบาทไทย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 306 กม./ชม. ส่วนตัวถังเปิดประทุนซึ่งแพงกว่ากันนิดหน่อย คือ เริ่มต้นที่ 115,050 ยูโร หรือประมาณ 4.60 ล้านบาทไทย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 4.8 วินาที แต่ความเร็วสูงสุดเท่ากัน
สีเหลืองสีแดงหรือจะแรงเท่าสีฟ้า
PORSCHE 911 SPEEDSTER
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งของยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองเบียร์ ที่นำมาให้ชื่นชมกันในเดือนนี้ เป็นรถสปอร์ทซึ่งเพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งล่าสุดเช่นเดียวกัน และเป็นรถ โพร์เช 911 เหมือนกัน แต่ชื่อโมเดลต่างกัน เพราะคันนี้ติดป้ายชื่อ โพร์เช 911 สปีดสเตอร์ (PORSCHE 911 SPEEDSTER)
นับเป็นรถเปิดประทุนแบบที่สี่ของค่ายนี้ที่มีชื่อ SPEEDSTER ห้อยท้าย แบบแรกคือรถรุ่นปี 1953 ซึ่งพัฒนาจากรถ โพร์เช 356 อันเป็นรถยนต์แบบแรกในประวัติศาสตร์ที่ค่ายนี้ผลิตจำหน่ายในตลาด รถรุ่นดังกล่าวมีห้องโดยสารที่นั่งได้แค่ 2 คน ประตูข้างมีบานหน้าต่างซึ่งทำจากพลาสติคและเปิด/ปิดด้วยการเลื่อน หลังจากนั้นมีการผลิตรถชื่อนี้อีก 2 รุ่นในปี 1988 และ 1994
รถรุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งติดป้ายชื่อว่า โพร์เช 911 สปีดสเตอร์ (PORSCHE 911 SPEEDSTER) นี้ ยังคงรักษาจารีตเดิมของรถ โพร์เช สปีดสเตอร์ ไว้อย่างครบครัน คือ เป็นรถเปิดประทุนที่นั่งได้เพียง 2 คน ใช้ประทุนหลังคาแบบอ่อน และใช้ระบบเปิด/ปิดด้วยมือ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจเพื่อให้รำลึกถึงรถรุ่นแรกซึ่งมีชื่อรุ่นว่า โพร์เช 356 สปีดสเตอร์ ยอดผู้ผลิตรถสปอร์ทของเมืองเบียร์จึงประกาศว่า จะจำกัดจำนวนผลิตของรถรุ่นนี้ไว้เพียง 356 คัน และตั้งใจไว้ว่า ทุกคันจะมีตัวถังสีฟ้าอย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า PURE BLUE อย่างไรก็ตาม หากไม่ชอบสีนี้และอยากได้สีอื่น ก็มีอีกสีหนึ่งที่จะทำให้เป็นพิเศษโดยไม่คิดเงินเพิ่ม คือ สีขาวที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า CARRERA WHITE
เช่นเดียวกับรถ โพร์เช 911 คาร์เรรา จีทีเอส (PORSCHE 911 CARRERA GTS) ที่เพิ่งผ่านตาไป โพร์เช 911 สปีดสเตอร์ ไม่ใช่รถที่ออกแบบขึ้นใหม่ตั้งแต่หัวจรดหาง แต่พัฒนาจากรถเปิดประทุนแบบเดิมที่อยู่ในตลาดมาแล้วหลายปี คือ รถขับทุกล้อ โพร์เช 911 คาร์เรรา 4 เอส (PORSCHE 911 CARRERA 4S) ในส่วนของตัวถังซึ่งยังคงยาว 4.440 ม. และกว้าง 1.852 ม. เท่าเดิม มีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดในบางจุด รวมทั้งลดความสูงของพื้นรถลงเล็กน้อย ทำให้รถสูงเพียง 1.284 ม. เมื่อปิดประทุน และเตี้ยลงนิดหน่อย คือ 1.230 ม. เมื่อเปิดประทุน การเปลี่ยนแปลงซึ่งเป็นจุดสำคัญด้วยเช่นกัน คือ เปลี่ยนประทุนหลังคาจากแบบเปิด/ปิดโดยอัตโนมัติด้วยระบบอีเลคทรอ-ไฮดรอลิค (ELECTRO-HYDRAULIC) เป็นเปิด/ปิดด้วยมือ เมื่อเปิดประทุน ประทุนหลังคาแบบอ่อนทำจากผ้าใบฟาบริคนี้ จะซ่อนตัวอยู่ในช่องเก็บท้ายรถ โดยมีฝาปิดแบบแข็งปิดทับอยู่ข้างบน ฝาบิดซึ่งทำจากอลูมิเนียมและพลาสติคซึ่งมีน้ำหนักเบานี้ ออกแบบเป็นรูป DOUBLE-BUBBLE หรือฟองอากาศคู่ สไตล์เดียวกับรถ โพร์เช 911 สปีดสเตอร์ รุ่นปี 1988
เครื่องยนต์วางตามยาวซึ่งซ่อนตัวอยู่ภายใต้ฝากระโปรงหลัง เป็นเครื่องยนต์บลอคเดียวกับที่ติดตั้งในรถคูเป/รถเปิดประทุน โพร์เช 911 คาร์เรรา จีทีเอส (PORSCHE 911 CARRERA GTS) คือ เครื่องฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 6 สูบนอนยัน (บอกเซอร์) ความจุ 3,800 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 408 แรงม้า ที่ 7,300 รตน. และแรงบิดสูงสุด 420 นิวตัน-เมตร (42.9 กก.-ม.) ที่ 4,200-5,600 รตน. แต่ระบบเกียร์มาตรฐานเพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลังไม่ใช่เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หากเป็นเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 7 จังหวะ (PDK) ซึ่งมีอัตราทด 3.91-2.29-1.65-1.30-1.08-0.88-0.62-ถอยหลัง 3.55-เฟืองท้าย 3.44
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของ โพร์เช สะใจโก๋กระเป๋าใหญ่ทั้งตีนต้นและตีนปลาย อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.4 วินาที อัตราเร่ง 0-200 กม./ชม. ทำได้ใน 15.0 วินาที ความเร็วสูงสุด 305 กม./ชม. ที่แย่หน่อยและน่าจะสร้างความขัดเคืองใจให้แก่นักอนุรักษนิยมสวมเสื้อสีเขียว คือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ที่สูงถึง 15.5 ลิตร/100 กม. หรือ 6.5 กม./ลิตร เมื่อขับขี่ในเมือง และลดเหลือ 7.3 ลิตร/100 กม. หรือ 13.7 กม./ลิตร เมื่อขับขี่นอกเมือง ส่วนอัตราเฉลี่ย คือ 10.3 ลิตร/100 กม. หรือ 9.7 กม./ลิตร ที่ค่อยยังชั่วหน่อยและน่าจะถูกใจคนใส่เสื้อสีเขียว คือ อัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งไม่สูงจนน่าตกใจเหมือนรถสปอร์ทสมรรถนะสูงบางแบบบางรุ่น คือ อยู่ที่ระดับ 242 กรัม/กม.
ออกจำหน่ายแล้วในเมืองเบียร์เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยติดป้ายค่าตัว (รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19) 201,682 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 8.07 ล้านบาทไทย
สุดยอดรถสปอร์ทสี่ห่วง
AUDI R8 GT
รถสปอร์ทสัญชาติเยอรมันคันสุดท้ายที่ "ระเบียงรถใหม่" นำเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังในเดือนนี้ เป็นผลงานใหม่ของค่าย "สี่ห่วง" ซึ่งติดป้ายชื่อว่า เอาดี อาร์ 8 จีที (AUDI R8 GT)
คนรักรถสปอร์ทคงทราบกันดีว่า เอาดี อาร์ 8 (AUDI A8) คือ รถสปอร์ทวางเครื่องกลางลำตามยาว/ขับเคลื่อนทุกล้อที่เชิดหน้าชูตาของค่าย "สี่ห่วง" นักฟุตบอลค่าตัวแพงของพรีเมียร์ลีกเมืองผู้ดีหลายคนนิยมชมชอบและควักกระเป๋าซื้อไว้ขับไปสนามซ้อม ค่าย "สี่ห่วง" นำรถแบบนี้ออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีส เมื่อเดือนกันยายน 2006 และนำรถออกสู่ตลาดในเมืองเบียร์ไตรมาสที่ 2 ของปีถัดมา การออกแบบและพัฒนาซึ่งใช้เวลาหลายปี อยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทย่อยซึ่งรู้จักกันในชื่อ QUATTRO GMBH ชิ้นส่วนหลายชิ้นรวมทั้งพแลทฟอร์ม ขอหยิบขอยืมจากรถสปอร์ทร่วมเครือ คือ ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด (LAMBORGHINI GALLARDO)
ค่าย "สี่ห่วง" ใช้โรงงานซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองเนกคาร์ซูลม์ (NECKARSULM) ในเยอรมนี เป็นที่ผลิต รถ เอาดี อาร์ 8 เป็นโรงงานที่ต้องใช้เงินลงทุนสูงถึง 28 ล้านยูโรในการปรับปรุงเพื่อให้เหมาะกับการผลิตรถแบบนี้ การประกอบชิ้นส่วน 5,000 ชิ้นของรถแต่ละคัน ต้องใช้มือของพนักงานประมาณ 70 คน มีจุดตรวจสอบด้วยแสงเลเซอร์รวม 95 จุด เพื่อให้แน่ใจว่า 200 จุดของรถแต่ละคันที่เข้ารับการตรวจวัด มีมิติผิดเพี้ยนจากที่กำหนดไว้ไม่เกิน 0.1 มม. ในแต่ละวันโรงงานที่ว่านี้จะผลิตรถ เอาดี เอ 8 ได้ระหว่าง 8-15 คัน เท่านั้นเอง
ในระยะแรกที่ออกจำหน่ายในตลาด ยอดรถสปอร์ทติดเครื่องหมาย "สี่ห่วง" มีรถให้ลูกค้าเลือกใช้เพียงโมเดลเดียว คือ AUDI R8 4.2 FSI QUATTRO รถโมเดลนี้ติดตั้งเครื่องยนต์ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 8 สูบ 4,163 ซีซี 430 แรงม้า มีระบบเกียร์ให้เลือก 2 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ R TRONIC หลังจากนั้นอีกเกือบ 2 ปี คือ เมื่อปลายปี 2008 นั่นแหละ รถโมเดลที่สอง คือ AUDI R8 5.2 FSI QUATTRO จึงเผยโฉม รถโมเดลหลังนี้ติดตั้งเครื่องยนต์ฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 10 สูบ 5,204 ซีซี ซึ่งให้กำลังสูงถึง 525 แรงม้า ที่ 8,000 รตน. ส่วนระบบเกียร์ก็มี 2 แบบเหมือนโมเดลแรก
ส่วน AUDI R8 GT ที่เห็นอยู่นี้ นับเป็นพัฒนาการล่าสุดของรถสปอร์ทติดเครื่องหมาย "สี่ห่วง" และเป็นรถโมเดลพิเศษที่จำกัดจำนวนผลิตไว้เพียง 333 คัน และกำหนดค่าตัวรวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 19 ไว้ที่ระดับ 193,000 ยูโร หรือเท่ากับประมาณ 7.72 ล้านบาทไทย เมื่อคิดว่าเงินฝรั่ง 1 ยูโร แลกได้ด้วยเงินไทย 40 บาทถ้วน แพงหรือไม่แพงแล้วแต่มุมมอง บอกได้แต่เพียงว่าเงินจำนวนนี้ในเมืองเบียร์ สามารถซื้อรถราคาย่อมเยาที่สุดของค่าย "สี่ห่วง" คือ เอาดี เอ 1 (AUDI A1) ได้รวม 12 คัน
พัฒนาจากรถรุ่นสามัญ คือ AUDI R8 5.2 FSI QUATTRO โดยปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรายละเอียดมากมายในหลายๆจุด โดยมีเป้าหมายหลักคือลดน้ำหนักตัวแต่เพิ่มพละกำลัง ผลลัพธ์ของเป้าหมายแรกปรากฏว่าลดได้ถึง 100 กก. คือ จาก 1,625 เป็น 1,525 กก. ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลง คือ ลดขนาดความหนาของกระจกหน้าและเปลี่ยนวัสดุที่ใช้ทำผนังกั้นระหว่างห้องเครื่องยนต์กับห้องโดยสารช่วยลดน้ำหนักได้ 9 กก. เปลี่ยนประตูบานท้ายจากประตูอลูมิเนียมเป็นประตูพลาสติคเสริมคาร์บอนไฟเบอร์ (CFRP) ลดน้ำหนักได้อีก 6.6 กก. ฯลฯ
เครื่องยนต์ยังคงเป็นเครื่องบลอคเดียวกับที่ใช้ในรถรุ่นสามัญ คือ เครื่องฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 10 สูบ 90 องศา ความจุ 5,204 ซีซี แต่ปรับแต่งเป็นพิเศษในหลายๆ จุดทำให้ได้ม้าเพิ่มขึ้นถึง 35 ตัว คือ กำลังสูงสุดพุ่งจาก 525 เป็น 560 แรงม้า ที่ 8,000 รตน. ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อคู่หน้าและคู่หลังมีแบบเดียว คือ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ R TRONIC
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของค่าย "สี่ห่วง" อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 3.6 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุด คือ 320 กม./ชม.
สปอร์ทเมืองผู้ดีไม่เลือกสีเลือกสาย
BENTLEY CONTINENTAL GT
มีรถสปอร์ทสัญชาติอังกฤษสอดแทรกมาหนึ่งคัน คือ เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล จีที (BENTLEY CONTINENTAL GT) ผลงานเชิดหน้าชูตาของผู้ผลิตรถสปอร์ทรายเก่าแก่ในเกาะอังกฤษ
เมื่อเอ่ยชื่อ เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล จีที คนรักรถที่นิยมชมชอบรถสปอร์ทสัญชาติอังกฤษคงจะทราบกันดีว่า เป็นรถใหม่แบบแรกของค่าย เบนท์ลีย์ นับแต่เข้ามาอยู่ในภายใต้ร่มเงาของกลุ่ม โฟล์คสวาเกน กรุพ (VOLKSWAGEN GROUP) ของเยอรมนีเมื่อปี 1998 เจาะรายละเอียดให้ลึกลงไปอีกหน่อยก็จะพบว่า ผู้ผลิตรถสปอร์ทเมืองผู้ดีซึ่งเจ้าของนั่งอยู่ในเมืองเบียร์นำรถชื่อนี้ออกสู่ตลาดเมื่อปลายปี 2003 แทนที่รถ เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล อาร์ (BENTLEY CONTINENTAL R) และ เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล ที (BENTLEY CONTINENTAL T) ซึ่งเป็นรถรุ่นเก่าแก่อยู่ในตลาดมาตั้งแต่ต้นทศวรรษของปี 1990 รถรุ่นดังกล่าวนี้ ติดตั้งเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ DOHC ดับเบิลยู 12 สูบ 5,998 ซีซี 560 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังสู่ล้อคู่หน้าและคู่หลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ TIPTRONIC สามารถทำความเร็วสูงสุด 318 กม./ชม.
จากจุดเริ่มต้นของ เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล จีที ซึ่งเป็นรถ 2 ประตูคูเป 2+2 ที่นั่ง มีขนาดตัวถังยาว 4.804 ม. กว้าง 1.918 ม.สูง 1.390 ม. และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.32 รถตระกูลเดียวกันสายพันธุ์เดียวกันแต่อยู่ในตัวถังต่างกันที่ตามหลังมาในปี 2005 และ 2006 คือ เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล ฟลายอิง สเปอร์ (BENTLEY CONTINENTAL FLYING SPUR) รถซาลูน 5 ที่นั่ง สุดหรู กับ เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล จีทีซี(BENTLEY CONTINENTAL GTC) รถเปิดประทุน 2+2 ที่นั่ง ค่าตัวสุดโหด
ส่วน เบนท์ลีย์ คอนทิเนนทัล จีที (BENTLEY CONTINENTAL GT) ที่ปรากฏโฉมอยู่ในขณะนี้ เป็นรถรุ่นใหม่ เป็นข่าวตามสื่อต่างๆ รวมทั้งสื่อเวบไซท์มาตั้งแต่ตอนกลางปี แต่ตัวจริงเสียงจริงเพิ่งอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งล่าสุดเมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมานี้เอง
ตัวถัง 2 ประตูคูเป 2+2 ที่นั่ง นอกจากมีขนาดใกล้เคียงกันมากกับรถรุ่นเดิม คือ ยาว 4.806 ม. กว้าง 1.944 ม. และสูง 1.404 ม. แล้ว ยังมีหน้าตาและรูปทรงองค์เอวที่ดูเหมือนกันมากกับรถรุ่นเดิมอีกต่างหาก นักวิจารณ์รถยนต์บางคนของเมืองผู้ดีถึงกับออกปากว่า เอารถรุ่นเก่าและรุ่นใหม่มาจอดคู่กัน ยืนห่างสัก 3-4เมตรแล้วหรี่ตาข้างหนึ่ง จะไม่มีใครบอกได้เลยว่าคันไหน คือ รุ่นใหม่ที่ยังไม่ออกจำหน่าย ? คันไหน คือ รุ่นเก่าที่อยู่ในตลาดมาแล้วเกือบ 1 ทศวรรษ ? ทั้งๆ ที่ตัวถังทั้งภายนอกและภายในมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย ที่ชี้ชัดได้ด้วยตัวเลขก็คือ น้ำหนักตัวที่ลดลงถึง 45 กก. และค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่ลดจาก 0.32 เป็น 0.30 ส่วนที่เห็นได้อย่างชัดเจนด้วยสายตาโดยไม่จำเป็นต้องสังเกตสังกากันเป็นพิเศษ คือ ดวงโคมไฟหน้าซึ่งเป็นไฟกลมคู่ ในรถรุ่นเก่าไฟหน้า 2 ดวงนี้มีขนาดโตเกือบจะเท่ากัน แต่ในรถรุ่นใหม่จะมีขนาดแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ในส่วนของเครื่องยนต์กลไก รายละเอียดที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีสาระสำคัญมีอยู่มากมาย ตัวอย่าง คือเครื่องยนต์ เครื่องยนต์ขนาดโตที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ฝากระโปรงหน้ายังเป็นเครื่องทวินเทอร์โบ DOHC ดับเบิลยู 12 สูบ 48 วาล์ว ความจุ 5,998 ซีซี บลอคเดิม แต่ปรับแต่งใหม่จนกำลังสูงสุดเพิ่มจาก 560 เป็น 575 แรงม้า และสามารถใช้เชื้อเพลิงได้หลายแบบ คือ ใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซินไร้สารตะกั่ว และไบโอเอธานอลจนถึงระดับ E85 ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังจากเครื่องยนต์สู่ล้อคู่หน้าและคู่หลัง ยังคงเป็นเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะของ ZF เหมือนรถรุ่นเดิม
สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 318 กม./ชม. มีกำหนดออกจำหน่ายในเมืองผู้ดีเดือนมีนาคมปีกระต่าย โดยติดป้ายค่าตัว 135,760 ปอนด์ หรือประมาณ 6.38 ล้านบาทไทย เมื่อคิดว่า แลกเงินอังกฤษ 1 ปอนด์ ต้องใช้เงินไทย 47 บาท เป็นราคาที่เสนอขายลูกค้าทุกรายโดยไม่เลือกสีเลือกสาย
ซูเพอร์คาร์พันธุ์ดุจากเมืองปลาดิบ
NISSAN GT-R
ปิด "ระเบียงรถใหม่" ในเดือนที่นำเสนอแต่เรื่องราวของรถสปอร์ทล้วนๆ ด้วยรถสปอร์ทพันธุ์ดุของยักษ์รองเมืองปลาดิบ ซึ่งติดป้ายชื่อ นิสสัน จีที-อาร์ (NISSAN GT-R) รถแรงและเร็วที่ควรคู่ทุกประการกับคำว่า "ซูเพอร์คาร์"
ยักษ์รองเมืองปลาดิบนำรถ นิสสัน จีที-อาร์ ออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก ที่งานมหกรรมยานยนต์โตเกียวครั้งที่ 40 เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2007 และไม่ถึง 2 เดือนหลังจากนั้นคือเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม ปีเดียวกัน รถก็ออกจำหน่ายในตลาด ในรูปลักษณ์ของรถคูเป 2+2 ที่นั่ง ขับเคลื่อนทุกล้อด้วยเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบ DOHC วี 6 สูบ 3,799 ซีซี 480 แรงม้า ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 6 จังหวะ
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา/บริษัทผู้ผลิต formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2554
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/29324