พิเศษ
ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะตลาดรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ตามตัวเลขที่อ้างอิงจากเวบไซท์ www.motorintelligence.com ในรอบปีหนูทองที่เพิ่งผ่านพ้นไป ตลาดรถยนต์ในเมืองมะกันสามารถจำหน่ายรถใหม่ได้รวมทั้งสิ้น 13,244,018 คัน หรือลดลงถึงร้อยละ 18.0 จากยอดขาย 16,149,647 คัน ในรอบปี 2007 ยอดขายที่ตกต่ำอย่างน่าตกใจดังกล่าวนี้ แยกออกได้เป็นรถยนต์นั่ง 6,785,587 คัน (ลดลงร้อยละ 10.4) และรถใช้งานขนาดเบา คือ รถพิคอัพ รถอเนกประสงค์ และรถกิจกรรมกลางแจ้ง รวม 6,458,431 คัน (ลดลงร้อยละ 24.7)
ดังที่ทราบกันอยู่แล้วว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกกำลังอยู่ในภาวะวิกฤติ โดยเฉพาะตลาดรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกอย่างสหรัฐอเมริกา ตามตัวเลขที่อ้างอิงจากเวบไซท์ www.motorintelligence.com ในรอบปีหนูทองที่เพิ่งผ่านพ้นไป ตลาดรถยนต์ในเมืองมะกันสามารถจำหน่ายรถใหม่ได้รวมทั้งสิ้น 13,244,018 คัน หรือลดลงถึงร้อยละ 18.0 จากยอดขาย 16,149,647 คัน ในรอบปี 2007 ยอดขายที่ตกต่ำอย่างน่าตกใจดังกล่าวนี้ แยกออกได้เป็นรถยนต์นั่ง 6,785,587 คัน (ลดลงร้อยละ 10.4) และรถใช้งานขนาดเบา คือ รถพิคอัพ รถอเนกประสงค์ และรถกิจกรรมกลางแจ้ง รวม 6,458,431 คัน (ลดลงร้อยละ 24.7)
ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ระดับ "บิกซิกซ์" ซึ่งแยกออกได้เป็นผู้ผลิตสัญชาติอเมริกัน 3 ราย และผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่น 3 ราย ล้วนมียอดขายตกต่ำอย่างน่าตกใจด้วยกันทั้งนั้น กล่าวคือ ในบรรดาผู้ผลิตสัญชาติอเมริกัน ยักษ์ใหญ่ เจเนอรัล มอเตอร์ส (GENERAL MOTORS) ทำยอดขายได้เพียง 2,933,451 คัน หรือลดลงถึงร้อยละ 22.6 จากตัวเลขที่เคยทำได้ในรอบปี 2007 ยักษ์รอง ฟอร์ด (FORD) ขายได้รวม 1,907,864 คัน หรือลดลงร้อยละ 20.1 และที่สาหัสกว่าเพื่อน คือ ยักษ์เล็ก ไครสเลอร์ แอลแอลซี (CHRYSLER LLC) ซึ่งขายได้เพียง 1,453,122 คัน หรือลดลงถึงร้อยละ 30.0
หันมาดูผู้ผลิตสัญชาติญี่ปุ่นกันบ้าง ปรากฏว่าในรอบปี 2008 ยักษ์ใหญ่อย่าง โตโยตา (TOYOTA) ดูจะย่ำแย่กว่าเพื่อน เพราะขายรถในเมืองมะกันได้เพียง 2,217,660 คัน หรือลดลงถึงร้อยละ 15.4 จากตัวเลขที่เคยทำได้ในรอบปี 2007 ในขณะที่ยักษ์รองอย่าง ฮอนดา (HONDA) ขายได้รวม 1,428,765 คัน หรือลดลงร้อยละ 7.9 และ นิสสัน (NISSAN) ขายได้รวม 951,350 คัน หรือลดลงร้อยละ 10.9
ว่ากันว่า นับแต่ปี 1992 เป็นต้นมา อุตสาหกรรมรถยนต์เมืองมะกันไม่เคยพบเหตุการณ์อะไรที่ย่ำแย่อย่างนี้มาก่อน โดยเฉพาะในเดือนสุดท้ายของปี คือ เดือนธันวาคม 2008 ปรากฏว่ายอดขายโดยรวมลดลงถึงร้อยละ 35.5 โดยที่ผู้ผลิตรถยนต์ระดับ "บิกซิกซ์" ทุกรายล้วนมียอดขายลดลงมากกว่าร้อยละ 30.0 ที่ย่ำแย่ที่สุด คือ ไครสเลอร์ แอลแอลซี ซึ่งยอดขายลดลงถึงร้อยละ 53.1 จากตัวเลขในเดือนเดียวกันเมื่อปี 2007
คณะเราเดินทางไปเยือน มหกรรมยานยนต์ดีทรอยท์ เป็นครั้งที่ 3 และหลายสิ่งหลายอย่างที่ปรากฏต่อสายตา ก็สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนในภาวะตกต่ำของอุตสาหกรรมรถยนต์ในเมืองมะกันดังที่กล่าวข้างต้น พื้นที่งานบางส่วนกลายเป็นที่ว่างเปล่า ไม่มีผู้ใดจับจอง ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายหายหน้าหายตาไป ไม่เว้นแม้กระทั่งค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง นิสสัน (NISSAN) และ อินฟินิที (INFINITI) หรือผู้ผลิตที่เป็นสีสันของงานแสดงรถยนต์ระดับ "อินเตอร์" ทุกงานอย่าง แฟร์รารี (FERRARI) และ โพร์เช (PORSCHE)
ปริมาณรถที่แสดงในงานดูจะลดลง แต่คุณภาพของรถยังเต็มเปี่ยมเช่นที่เคยเป็น ตามไปดูได้เลยครับใน 13 หน้าถัดจากนี้
แคดิลแลค คอนเวิร์จ คอนเซพท์
ค่าย จีเอม นำผลงานออกแสดงในลักษณะ "ครั้งแรกในโลก" หลายชิ้น แคดิลแลค คอนเวิร์จ คอนเซพท์
(CADILLAC CONVERJ CONCEPT) ที่เห็นอยู่นี้ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถคูเป 2 ประตู 2+2 ที่นั่ง ขับเคลื่อนล้อหน้าโดยพลังไฟฟ้า ด้วยเทคโนโลยีที่ค่ายนี้พัฒนาขึ้นเองและตั้งชื่อว่า VOLTEC ระบบนี้ใช้มอเตอร์ขนาด 120 กิโลวัตต์ ซึ่งรับพลังไฟจากแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ขนาด 19 กิโลวัตต์ชั่วโมง ขับรถซึ่งมีตัวถังขนาด 4.620x1.883x1.386 ม. วิ่งได้ไกลประมาณ 65 กม.โดยปลอดไอพิษใดๆ หลังจากนั้นจึงใช้เครื่องยนต์ 4 สูบเรียงขนาดเล็ก ทำหน้าที่เป็นเจเนอเรเตอร์ปั่นไฟประจุแบทเตอรี ทำให้วิ่งไปได้อีกหลายร้อยกิโลเมตร
แคดิลแลค เอสอาร์เอกซ์
แคดิลแลค เอสอาร์เอกซ์ (CADILLAC SRX) ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งที่ค่าย จีเอม นำออกอวดตัวในลักษณะ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ เป็นรถรุ่นใหม่ที่ค่ายนี้กำลังจะนำออกสู่ตลาดในไตรมาสที่ 2 ของปี 2009 ในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2010 และเป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งอย่างที่เรียกกันภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า MID-SIZE LUXURY CROSSOVER SUV มีขนาดตัวถัง 4.833x1.910x1.668 ม. มีทั้งแบบขับล้อหน้า และขับ 4 ล้อ โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้รวม 2 ขนาด คือ เครื่องฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 2,986 ซีซี 260 แรงม้า กับเครื่องเทอร์โบ DOHC วี 6 สูบ 2,792 ซีซี 300 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์มีแบบเดียว คือ เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ
บิวอิค ลา กรอสเซ
บิวอิค ลา กรอสเซ (BUICK LA CROSSE) อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้เช่นเดียวกัน มีกำหนดออกตลาดฤดูร้อนปี 2009 ในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2010 แทนที่รถรุ่นเดิมซึ่งอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปีโมเดล 2005 ตัวถังขนาด 5.003x1.858x1.497 ม. ซึ่งออกแบบใหม่หมด ตั้งแต่หัวจรดหาง มีทั้งแบบขับล้อหน้าและขับ 4 ล้อ แบ่งการตกแต่ง และอุปกรณ์เป็น 3 ระดับ กำกับด้วยรหัส CX CXL และ CXS แต่มีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ 2 ขนาด คือ เครื่องฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 2,994 ซีซี 255 แรงม้า กับเครื่องฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 3,564 ซีซี 280 แรงม้า
เชฟโรเลต์ อีควินอกซ์
ผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องอีกชิ้นหนึ่งที่ค่ายยักษ์ใหญ่นำออกอวดตัวเป็นครั้งแรก คือ เชฟโรเลต์ อีควินอกซ์ (CHEVROLET EQUINOX) เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งอย่างที่เรียกในเมืองมะกันว่า COMPACT CROSSOVER SUV ซึ่งมีกำหนดออกจำหน่ายแทนที่รถรุ่นเดิมตอนกลางปี 2009 ในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2010 โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ 2 ขนาด คือ เครื่องฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC 4 สูบเรียง 2,384 ซีซี 182 แรงม้า กับเครื่องฉีดเชื้อเพลิงโดยตรง DOHC วี 6 สูบ 2,994 ซีซี 255 แรงม้า ส่วนสตรีผิวสีในภาพเล็ก คือ ลอรี นอร์วูด (LORI NORWOOD) ผู้รับผิดชอบงานออกแบบรายละเอียดในห้องโดยสาร ซึ่งพบกับผู้เขียนในงาน บอกว่าสนุก และมีความสุขมากกับงานชิ้นนี้
ฟอร์ด เทารัส
ในอดีต ฟอร์ด เทารัส (FORD TAURUS) เป็นรถขนาด MID-SIZE ที่ครองตำแหน่งรถยนต์นั่งขายดีที่สุดในเมืองมะกันติดต่อกันมาหลายปี ก่อนเสียตำแหน่งให้กับ โตโยตา แคมรี (TOYOTA CAMRY) ของค่ายญี่ปุ่นที่ครองตำแหน่งนี้อยู่ในปัจจุบัน ส่วนที่เห็นอยู่นี้ เป็นรถรุ่นใหม่เอี่ยมแกะกล่องที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหาง และมีกำหนดออกจำหน่ายในฤดูร้อนปี 2009 ในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2010 ด้วยค่าตัวเริ่มต้นที่ระดับ 25,995 เหรียญสหรัฐ ฯ หรือเท่ากับประมาณ 910,000 บาท โดยใช้โรงงานซึ่งตั้งอยู่ที่เมืองชิคาโกเป็นที่ผลิต แบ่งการตกแต่ง และอุปกรณ์เป็น 3 ระดับ กำกับด้วยรหัส SE SEL และ LIMITED แต่มีเครื่องยนต์ขนาดเดียว คือ เครื่อง วี 6 สูบ 3.5 ลิตร 263 แรงม้า
ฟอร์ด เชลบี จีที 500
ผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องอีกชิ้นหนึ่งที่ยักษ์รอง ฟอร์ด นำออกแสดงในงานนี้ คือ ฟอร์ด เชลบี จีที 500
(FORD SHELBY GT500) รถสปอร์ทคูเป 2 ประตู 4 ที่นั่ง ซึ่งดัดแปลงจากรถ ฟอร์ด มัสแตง (FOFD
MUSTANG) รุ่นสามัญ โดยสำนักแต่งรถ CAROLL SHELBY ซึ่งร่วมมือกับค่ายยักษ์รองมานมนาน และเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่คนรักรถแรงเมืองมะกัน มีกำหนดออกจำหน่ายในฤดูใบไม้ผลิปี 2009 ในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2010 โดยติดตั้งเครื่องยนต์ซูเพอร์ชาร์จ DOHC วี 8 สูบ 5.4 ลิตร ที่คาดว่าจะให้กำลังสูงสุดสูงถึง 540 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์เพื่อส่งทอดกำลังสู่ล้อคู่หลัง เป็นเกียร์คลัทช์คู่ 6 จังหวะ ส่วนสถานที่ผลิต คือ โรงงานในเมืองฟแลทรอค (FLAT ROCK) รัฐมิชิแกน
ลินคอล์น ซี คอนเซพท์
ลินคอล์น "พรีเมียม บแรนด์" ในเครือข่ายของยักษ์รอง ฟอร์ด มีผลงานใหม่ออกอวดตัวในลักษณะ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" รวม 2 ชิ้น ชิ้นแรกที่เห็นอยู่นี้ คือ ลินคอล์น ซี คอนเซพท์ (LINCOLN C CONCEPT) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถยนต์นั่งระดับหรูขนาดเล็ก ออกแบบสำหรับผู้ใช้รถในเมืองมะกันผู้ต้องการหรู มีขนาดเล็กกว่ารถที่ค่ายนี้ผลิตอยู่ในปัจจุบัน ตัวถังทรงสองกล่อง ซึ่งมีส่วนท้ายชันจนเกือบตั้งฉากกับพื้นถนน มีจุดเด่นสะดุดตา คือ ประตูข้างที่เปิดแยกออกจากกัน โดยไม่มีเสาค้ำยันกลางดังที่เห็นในภาพ ติดตั้งเครื่องยนต์ขนาด 1.6 ลิตร 178 แรงม้า ซึ่งมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำเป็นพิเศษ คือ แค่ 18.3 กม./ลิตร ส่วนระบบเกียร์ที่ใช้เป็นเกียร์คลัทช์คู่ 6 จังหวะ
ลินคอล์น มาร์ค ที
ผลงานใหม่เอี่ยมแกะกล่องอีกชิ้นหนึ่งที่ค่าย ลินคอล์น นำออกแสดงในลักษณะ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ ลินคอล์น มาร์ค ที (LINCOLN MKT) ซึ่งเคยอวดตัวมาครั้งหนึ่งแล้วที่งานนี้เมื่อปีกลาย แต่ยังอยู่ในฐานะรถแนวคิด ปีนี้อวดตัวอีกครั้งหนึ่ง และอยู่ในสภาพรถตลาดที่พร้อมจะออกจำหน่ายในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2010 เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งระดับหรูขนาดใหญ่ อย่างที่เรียกกันในภาษาอังกฤษสไตล์อเมริกันว่า FULL-SIZE LUXURY CROSSOVER SUV ห้องโดยสารซึ่งกว้างขวางนั่งยืดแข้งยืดขาสบาย ติดตั้งเก้าอี้ที่นั่ง 3 แถว นั่งได้รวม 6 หรือ 7 คน มีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ 2 ขนาด คือ เครื่อง วี 6 สูบ 3.7 ลิตร 268 แรงม้า กับเครื่องทวินเทอร์โบ วี 6 สูบ 3.5 ลิตร 355 แรงม้า
ดอดจ์ เซอร์คิท อีวี
ไครสเลอร์ แอลแอลซี ยักษ์เล็กของเมืองมะกันซึ่งกำลังมีอาการร่อแร่ ตั้งใจใช้งานนี้เป็นที่อวดเทคโนโลยี
รถไฟฟ้า โดยนำรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าออกอวดตัวเป็นครั้งแรกในงานนี้หลายคัน ดอดจ์ เซอร์คิท อีวี (DODGE CIRCUIT EV) ที่เห็นอยู่นี้ เป็นรถไฟฟ้าที่มีรูปลักษณ์ และสมรรถนะน้องๆ รถสปอร์ท ตัวถังขนาด 3.900x1.714x1.150 ม. ซึ่งดูงามปราดเปรียวในทุกมุมมอง ใช้ระบบขับล้อหลังด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 200 กิโลวัตต์ หรือ 268 แรงม้า ที่รับพลังไฟจากแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ซึ่งประจุไฟแต่ละครั้งสามารถเดินทางได้ไกล 240-320 กม. ด้วยอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ใช้เวลาต่ำกว่า 5 วินาที และความเร็วสูงสุดสูงกว่า 195 กม./ชม.
จีพ แพทริออท อีวี
รถไฟฟ้าอีกคันหนึ่งที่ปรากฏตัวบนแท่นหมุนขนาดยักษ์ของค่าย ไครสเลอร์ แอลแอลซี คือ จีพ แพทริออท อีวี (JEEP PATRIOT EV) ในภาพขวามือ พัฒนาจากรถตลาดคือ จีพ แพทริออท รุ่นสามัญ โดยเปลี่ยนระบบขับจากขับล้อหน้าหรือ 4 ล้อ ด้วยเครื่องยนต์สันดาปภายใน เป็นขับล้อหน้าด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 150 กิโลวัตต์ หรือ 200 แรงม้า รับพลังไฟจากแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) ซึ่งประจุไฟแต่ละครั้งสามารถเดินทางได้ไกลประมาณ 64 กม. โดยปลอดไอพิษใดๆ และเมื่อไฟหมดก็สามารถใช้เครื่องยนต์เบนซินขนาดเล็กซึ่งให้กำลังสูงสุด 60 แรงม้า ทำหน้าที่ขับเจเนอเรเตอร์เพื่อปั่นไฟเข้าสู่แบทเตอรี ทำให้ยืดระยะการใช้งานเป็นประมาณ 645 กม. อีกต่างหาก
ไครสเลอร์ 200 ซี อีวี คอนเซพท์
ไครสเลอร์ 200 ซี อีวี คอนเซพท์ (CHRYSLER 200C EV CONCEPT) จุดโฟคัสสายตาในบูธของยักษ์เล็กเมืองมะกัน เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถยนต์นั่งซีดานระดับหรู ที่พรั่งพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารสนเทศระดับ STATE-OF-THE-ART หรือ "สุดยอดงานศิลป์" เป็นรถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า ระบบเดียวกับที่ใช้ในรถ จีพ แพทริออท อีวี (JEEP PATRIOT EV) ที่ผ่านตามาแล้ว เมื่อขับด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าด้วยพลังไฟจากแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน เพียงอย่างเดียวจะเดินทางได้ไกลประมาณ 64 กม. ด้วยความเร็วสูงสุดประมาณ 160 กม./ชม. และจะยืดระยะการใช้งานเป็นประมาณ 645 กม. เมื่อใช้เครื่องยนต์ขับเจเนอเรเตอร์เพื่อประจุไฟเข้าแบทเตอรีด้วย
แบร์โตเน แบท 11
แบร์โตเน แบท 11 (BERTONE BAT 11) ผลงานชิ้นล่าสุดของสำนักออกแบบ แบร์โตเน แห่งอิตาลี ทำขึ้นนานแล้วและตั้งใจจะนำออกแสดงเป็นครั้งแรกที่งานมหกรรมยานยนต์เจนีวาครั้งที่ 78 เมื่อเดือนมีนาคมปีกลาย แต่ตอนนั้นสำนักออกแบบแห่งนี้ทำท่าว่าจะต้องปิดกิจการเพราะไม่มีคนจ้าง การเปิดตัวดังกล่าวจึงต้องระงับไป หลังจากออกแสดงตามงานเล็กๆ มาแล้วหลายงาน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ออกงานใหม่ เป็นผลงานจากความร่วมมือกับค่าย อัลฟา โรเมโอ และ แฟร์รารี โดยขอหยิบขอยืมโครงสร้างตัวถังหลายชิ้นจากรถสปอร์ทหน้าตาโบราณ อัลฟา โรเมโอ 8 ซี กมเปติซีโอเน (ALFA ROMEO 8C COMPETIZIONE) และได้เครื่องยนต์จาก แฟร์รารี เอฟ 430 (FERRARI F430)
เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ บลู ซีโร
เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ บลู ซีโร (MERCEDES-BABZ CONCEPT BLUE ZERO) รถ เบนซ์ ฯ
ที่ดูอย่างไรๆ ก็ไม่เป็น เบนซ์ ฯ ทั้งๆ ที่ติดตรา เบนซ์ ฯ หราอยู่ เป็นรถแนวคิด ซึ่งเป็นพื้นฐานของรถพลังงานทดแทนปลอดไอพิษรวม 3 แบบ ที่ค่าย "ดาวสามแฉก" จะผลิตจำหน่ายในอนาคตที่ไม่นานจนเกินรอ แบบแรก ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าจากแบทเตอรีล้วนๆ สามารถเดินทางได้ไกลประมาณ 200 กม. แบบที่ 2 ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าจาก FUEL CELL หรือ "เซลล์เชื้อเพลิง" ล้วนๆ สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 400 กม. แบบที่ 3 ขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าจากแบทเตอรี และมีเครื่องยนต์สันดาปภายในทำหน้าที่เป็นเจเนอเรเตอร์ประจุไฟเข้าแบทเตอรี สามารถเดินทางได้ไกลกว่า 600 กม.
เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ สเตียร์ลิง มอสส์
ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ค่าย "ดาวสามแฉก" นำออกอวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ สเตียร์ลิง มอสส์ (MERCEDES-BENZ SLR STIRLING MOSS) พัฒนาจากรถสปอร์ทประตูปีกนกรุ่นสามัญ คือ เมร์เซเดส-เบนซ์ เอสแอลอาร์ แมคลาเรน (MERCEDES-BENZ SLR McLAREN) เพื่อให้กลายเป็นรถสปอร์ทซึ่งไม่มีทั้งหลังคา และกระจกบานหน้าที่จะแยกผู้ขับและผู้โดยสารจากธรรมชาติ ติดตั้งเครื่องยนต์ซูเพอร์ชาร์จ SOHC วี 8 สูบ 5,439 ซีซี ซึ่งให้กำลังสูงถึง 650 แรงม้า เพียงพอที่จะทำให้รถมีอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาต่ำกว่า 3.5 วินาที และความเร็วสูงสุด 350 กม./ชม. จำกัดจำนวนผลิตไว้แค่ 75 คัน ค่าตัวคันละ 750,000 ยูโร
บีเอมดับเบิลยู เซด 4
ค่าย "ใบพัดเครื่องบินสีฟ้าขาว" มีผลงานใหม่ออกแสดงในลักษณะ "ครั้งแรกในโลก" เพียงชิ้นเดียว คือ รถสปอร์ทเปิดประทุน บีเอมดับเบิลยู เซด 4 (BMW Z4) ที่เห็นในภาพ นับเป็นรถรุ่นที่ 2 และเป็นรถสปอร์ทโรดสเตอร์รุ่นแรกของค่ายนี้ ที่ติดตั้งประทุนหลังคาแบบแข็ง ออกแบบเป็น 2 ชิ้น เปิดปิดด้วยระบบอีเลคทรอ-ไฮดรอลิค ใช้เวลาเปิดหรือปิด 20 วินาที ในช่วงแรกที่ออกจำหน่าย จะมีรถให้เลือกใช้เพียง 3 โมเดล คือ BMW Z4 SDRIVE 23I เครื่อง DOHC 6 สูบเรียง 2,497 ซีซี 204 แรงม้า BMW Z4 SDRIVE 30I เครื่อง DOHC 6 สูบเรียง 2,996 ซีซี 258 แรงม้า และ BMW Z4 SDRIVE 35I เครื่องทวินเทอร์โบฉีดตรง DOHC 6 สูบเรียง 2,979 ซีซี 306 แรงม้า
มีนี คอนเวอร์ทิเบิล
มีนี ผู้ผลิตรถยนต์ในเครือข่ายของ บีเอมดับเบิลยู กรุพ ก็มีผลงานใหม่อวดตัวในลักษณะ "ครั้งแรกในโลก" เพียงชิ้นเดียวเช่นกัน คือ มีนี คอนเวอร์ทิเบิล (MINI CONVERTIBLE) รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นรถ มีนี เปิดประทุน เจเนอเรชันที่ 2 รุ่นที่ 2 ติดตั้งประทุนแบบอ่อน เปิด/ปิดด้วยระบบอีเลคทรอ-ไฮดรอลิค โดยใช้เวลาประมาณ 15 วินาที แยกโมเดลให้เลือกใช้ตามรสนิยมรวม 2 โมเดล คือ MINI COOPER CONVERTIBLE ค่าตัว 24,550 เหรียญสหรัฐ ฯ ติดตั้งเครื่องยนต์ DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 118 แรงม้า กับ MINI COOPER S CONVERTIBLE ค่าตัว 27,450 เหรียญสหรัฐ ฯ ติดตั้งเครื่องยนต์ทวินเทอร์โบฉีดตรง DOHC 4 สูบเรียง 1,598 ซีซี 172 แรงม้า
เอาดี สปอร์ทแบค คอนเซพท์
จุดโฟคัสสายตาในบูธของค่าย "สี่ห่วง" คือ เอาดี สปอร์ทแบค คอนเซพท์ (AUDI SPORTBACK CONCEPT) เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถ 5 ประตู 4 ที่นั่ง ขนาดกลางค่อนข้างใหญ่ ตัวถังขนาด 4.950x1.930x1.400 ม.มีรูปทรงส่วนท้ายเหมือนรถคูเป และมีประตูบานท้ายขนาดโตสะอกสะใจ เป็น GREEN CAR หรือ "รถสะอาด" เพราะติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซล วี 6 สูบ 3.0 ลิตร ที่ค่าย "สี่ห่วง" อวดว่า เป็นเทคโนโลยีเครื่องยนต์ดีเซลที่สะอาดที่สุดในโลก สามารถขจัดไนโตรเจนออกไซด์ได้เกือบทั้งหมด มีคุณสมบัติด้านไอเสียตามข้อกำหนดของ 50 รัฐในสหรัฐอเมริกา และตามมาตรฐาน EU6 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2014 แถมมีอัตราสิ้นเปลืองต่ำแค่ 5.9 ลิตร/100 กม. เท่านั้นเอง
เอาดี อาร์ 8 5.2 เอฟเอสไอ
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งที่ดึงดูดผู้คน และสื่อมวลชนให้หลั่งไหลเข้าสู่บูธของค่าย "สี่ห่วง" คือ เอาดี
อาร์ 8 5.2 เอฟเอสไอ (AUDI R8 5.2 FSI) รถสปอร์ทติดตรา "สี่ห่วง" รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งเปิดตัวในลักษณะ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ พัฒนาจากรถ เอาดี อาร์ 8 (AUDI R8) ซึ่งเริ่มจำหน่ายในยุโรปเมื่อกลางปี 2007 โดยปรับปรุงรายละเอียดในหลายๆ จุดทั้งภายนอกและภายใน แต่หัวใจสำคัญคือ การเปลี่ยนเครื่องยนต์ จากเครื่อง ฉีดตรง DOHC วี 8 สูบ 4,163 ซีซี 420 แรงม้า เป็นเครื่องฉีดตรง DOHC วี 10 สูบ 5,204 ซีซี 525 แรงม้า ซึ่งทำให้อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ลดจาก 4.6 เป็น 3.9 วินาที และความเร็วสูงสุดเพิ่มจาก 301 เป็น 316 กม./ชม.
โฟล์คสวาเกน คอนเซพท์ บลูสปอร์ท
ผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของเมืองเบียร์นำผลงานใหม่ออกแสดงในงานนี้หลายชิ้น แต่มีอยู่เพียงชิ้นเดียวที่สมควรนำมาให้ชื่นชมกัน คือ โฟล์คสวาเกน คอนเซพท์ บลูสปอร์ท (VOLKSWAGEN CONCEPT BLUESPORT) ที่เห็นในภาพประกอบ เป็นรถแนวคิดในรูปลักษณ์ของรถสปอร์ทเปิดประทุนขนาดเล็กกะทัดรัดที่ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และให้ไอเสียสะอาด ตัวถังขนาด 3.990x1.745x1.260 ม. ใช้ประทุนหลังคาแบบอ่อน ติดตั้งเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล คอมมอนเรล 4 สูบเรียง 2.0 ลิตร 180 แรงม้า ที่มีอัตราบริโภคเชื้อเพลิงต่ำเป็นพิเศษ คือ แค่ 4.3 ลิตร/100 กม. หรือ 23.3 กม./ลิตร แถมมีอัตราการปล่อยแกสคาร์บอนไดออกไซด์ซึ่งเป็นตัวการของปัญหา "โลกร้อน" แค่ 113 กรัม/กม.
ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด แอลพี 560-4 สไปเดอร์
ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด แอลพี 560-4 สไปเดอร์ (LAMBORGHINI GALLARDO LP560-4 SPYDER) รถสปอร์ทกระทิงดุโมเดลใหม่ล่าสุด ปรากฏตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้ พัฒนาจากรถ ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด สไปเดอร์ รุ่นสามัญ ซึ่งอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ต้นปี 2006 โดยปรับปรุงรายละเอียดมากมาย ทั้งภายนอกและภายใน รวมทั้งเปลี่ยนเครื่องยนต์จากเครื่อง DOHC วี 10 สูบ 4,961 ซีซี 520 แรงม้า เป็นเครื่อง DOHC วี 10 สูบ 5,204 ซีซี 560 แรงม้า บลอคเดียวกับที่ใช้ในรถคูเป ลัมโบร์กินี กัลญาร์โด แอลพี 560-4 ซึ่งเพิ่งออกจำหน่ายเมื่อปีกลาย สมรรถนะความเร็วตามตัวเลขของผู้ผลิต คือ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ใน 4.0 วินาที ความเร็วสูงสุด 324 กม./ชม.
โตโยตา ปรีอุส
ยักษ์ใหญ่ของเมืองยุ่นเลือกใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัวรถพันทาง โตโยตา ปรีอุส (TOYOTA PRIUS) รุ่นใหม่ล่าสุดซึ่งเป็นรถรุ่นที่ 3 มีขนาดตัวถังใกล้เคียงกับรถรุ่นเดิม หน้าตา และรูปทรงองค์เอวก็คล้ายคลึงกับรถรุ่นเดิม แต่ประหยัดเชื้อเพลิงกว่า คือ มีอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยแค่ 21.2 กม./ลิตร รายละเอียดมากกว่านี้โปรดติดตามอ่านใน "ระเบียงรถใหม่"
โตโยตา เอฟที-อีวี
ผลงานใหม่อีกชิ้นหนึ่งที่ยักษ์ใหญ่เมืองยุ่นนำออกแสดงในงานนี้ คือ โตโยตา เอฟที-อีวี (TOYOTA FT-EV) ที่เห็นในภาพซ้ายมือ เป็นรถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถไฟฟ้า ที่ค่ายนี้จะเริ่มผลิตจำหน่ายในเมืองมะกันในปี 2012 เป็นรถไฟฟ้าแท้ๆ เพราะใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งรับพลังไฟจากแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) โดยไม่มีการติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายในแบบใดๆ และการประจุไฟแบทเตอรีแต่ละครั้งสามารถเดินทางได้ไกลประมาณ 80 กม. ด้วยความเร็วสูงสุด 112 กม./ชม. เป็นรถ 3+1 ที่นั่ง ขนาดกระจิ๋วหลิว ตัวถังขนาด 3.050x1.680x1.500 ม. ขอหยิบขอยืมชิ้นส่วนหลายชิ้นจากรถ โตโยตา ไอคิว (TOYOTA IQ) ที่กำลังขายดิบขายดีอยู่ในขณะนี้
เลกซัส เอชเอส 250 เอช
อวดตัวแบบ "ครั้งแรกในโลก" ที่งานนี้เช่นกัน คือ เลกซัส เอชเอส 250 เอช (LEXUS HS 250H) รถแบบใหม่ล่าสุดที่ค่าย เลกซัส จะผลิตจำหน่ายในอเมริกาเหนือในฐานะรถรุ่นปีโมเดล 2010 โดยวางตำแหน่งในตลาดให้แทรกอยู่ตรงกลางระหว่างรถ เลกซัส ไอเอส (LEXUS IS) กับ เลกซัส อีเอส (LEXUS ES) ตัวถังขนาด 4.694x1.785x1.506 ม.ที่ออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหาง และมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศที่เยี่ยมมาก คือ แค่ 0.27 ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าแบบพันทางหรือ HYBRID DRIVE โดยใช้เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง 2.4 ลิตร 187 แรงม้า ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ แบบแรกของค่ายนี้ ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าเหมือนรถพันทางรุ่นอื่นๆ ของค่ายนี้
ฮอนดา อินไซจ์ท์
ที่งานมหกรรมยานยนต์ปารีสครั้งล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคมปีกลาย ยักษ์รองของเมืองยุ่นนำรถพันทาง ฮอนดา อินไซจ์ท์ (HONDA INSIGHT) ออกอวดตัวต่อสายตาสาธารณชนเป็นครั้งแรก แต่ยังติดป้ายประกาศว่าเป็นรถแนวคิด ที่งานนี้ ฮอนดา อินไซจ์ท์ ปรากฏตัวอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้อยู่ในสภาพของรถตลาดที่สมบูรณ์ และพร้อมจะออกจำหน่ายในตลาดเมืองมะกันตอนต้นเดือนเมษายน 2009 นี้ ฮอนดา อวดโอ่อย่างภาคภูมิใจว่า เป็นรถพันทางโดยใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ทันสมัย และผลิตด้วยเทคโนโลยีที่ประหยัดต้นทุนการผลิตเป็นอย่างมาก แถมมีอัตราบริโภคเชื้อเพลิงที่ต่ำมาก รายละเอียดมากกว่านี้โปรดติดตามอ่านใน "ระเบียงรถใหม่" เช่นกัน
ซูบารุ เลกาซี คอนเซพท์
เนื่องจากสหรัฐอเมริกาคือตลาดสำคัญที่สุดของรถ ซูบารุ เลกาซี (SUBARU LEGACY) รองจากตลาดญี่ปุ่น ค่าย "ดาวลูกไก่" จึงเลือกใช้งานนี้เป็นที่เปิดตัว ซูบารุ เลกาซี คอนเซพท์ (SUBARU LEGACY CONCEPT) ในลักษณะ WORLD PREMIERE หรือ "ครั้งแรกในโลก" เป็นรถแนวคิดซึ่งเป็นต้นแบบของรถรุ่นที่ 5 ที่ค่ายนี้จะนำออกสู่ตลาดในอีกปี หรือ 2 ปีข้างหน้า ตัวถังซึ่งออกแบบขึ้นใหม่ทั้งหมดตั้งแต่หัวจรดหาง มีขนาดโตกว่ารถรุ่นเดิมเล็กน้อยในทุกมิติ คือ 4.795x1.820x1.500 ม. เทียบกับรถรุ่นเดิม ซึ่งมีขนาด 4.635x1.730x1.425 ม. ค่าย "ดาวลูกไก่" นำรถยนต์นั่งขนาดกลางอนุกรมนี้ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1989 และขายในตลาดทั่วโลกไปแล้วมากกว่า 3.6 ล้านคัน
มาซดา 3
ผู้ผลิตรถยนต์เมืองยุ่นเจ้าของเครื่องหมายการค้า "ปีกนก" นำรถ มาซดา 3 (MAZDA 3) รุ่นใหม่ล่าสุดออกอวดตัวในงานนี้พร้อมๆ กันทั้งตัวถัง 4 ประตูซีดาน (คันซ้าย) และตัวถัง 5 ประตูแฮทช์แบค (คันขวา) ดังที่เห็นในภาพประกอบภาพใหญ่ ทั้ง 2 ตัวถังมีกำหนดออกจำหน่ายในเมืองมะกันเดือนมีนาคมนี้ โดยมีเครื่องยนต์ให้เลือกใช้ 2 ขนาด คือ เครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 1,999 ซีซี 148 แรงม้า กับเครื่อง DOHC 4 สูบเรียง 2,489 ซีซี 167 แรงม้า ส่วนระบบเกียร์มี 3 แบบ คือ เกียร์ธรรมดา 5 หรือ 6 จังหวะ กับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
เกีย โซลสเตอร์ คอนเซพท์
ผู้ผลิตรถยนต์เมืองโสม คือ ฮันเด (HYUNDAI) และ เกีย (KIA) นำผลงานใหม่ออกแสดงในงานนี้หลายชิ้น แต่มีชิ้นเดียวที่สมควรเลือกมาให้ชมกัน คือ เกีย โซล สเตอร์ คอนเซพท์ (KIA SOUL STER CONCEPT) ที่เห็นในภาพขวามือ เป็นรถแนวคิดซึ่งพัฒนาจากรถตลาด เกีย โซล (KIA SOUL) ที่เพิ่งออกจำหน่ายเมื่อปลายปี 2008 โดยดัดแปลงส่วนท้ายให้มีรูปลักษณ์เหมือนรถกระบะขนาดเล็กที่ผู้ใช้รถในบ้านเราคุ้นเคยกันดี แต่ที่แปลกไปจากรถกระบะทั่วๆ ไป คือ เป็นกระบะที่ติดตั้งเก้าอี้ที่นั่งแถวที่ 2 ซึ่งนั่งได้ 2 คน ไว้ด้วย ดังนั้น จึงอธิบายได้อีกอย่างว่า เป็นรถกิจกรรมกลางแจ้งทรงสองกล่องขนาดกระจิ๋วหลิวนั่งได้ 4 คน ที่มีส่วนท้ายเป็นรถเปิดประทุนที่ไม่มีประทุนหลังคาใดๆ
บีวายดี อี 6
มีผู้ผลิตรถยนต์จากสาธารณรัฐประขาชนจีนรวม 2 ราย ที่ส่งผลงานไปแสดงในงานนี้ คือ บีวายดี ออโท (BYD AUTO) กับ บริลเลียนศ์ ออโท (BRILLIANCE AUTO) แต่มีผลงานน่าสนใจเพียงชิ้นเดียวที่สมควรนำมาเล่าสู่กันฟัง คือ บีวายดี อี 6 (BYD E6) ในภาพซ้ายมือ เป็นผลงานใหม่ของ บีวายดี ซึ่งเป็นผู้ผลิตแบทเตอรีรายใหญ่ที่สุดของเมืองมังกร เป็น MPV หรือ รถอเนกประสงค์ ขนาด 5 ที่นั่ง ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่รับพลังไฟฟ้าจากแบทเตอรี ลิเธียม-ไอออน (LITHIUM-ION) สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาต่ำกว่า 9.2 วินาที และความเร็วสูงสุด 185 กม./ชม. การประจุไฟแต่ละครั้งรถจะวิ่งได้ไกลประมาณ 300 กม.
เรื่องโดย : ชูศักดิ์ ชมจินดา chusak@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2552
คอลัมน์ Online : พิเศษ
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/27442