ทั่วไป
วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นวันมาฆบูชา ตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 นับเป็นวันสำคัญทางศาสนาและเป็นอีกวันหนึ่งที่พุทธศาสนิกชนพึงเข้าวัด หลังจากตักบาตรในตอนเช้า เพื่อรับศีลฟังธรรมตอนกลางวัน และเวียนเทียนรอบโบสถ์ในตอนค่ำ
วันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2552 เป็นวันมาฆบูชา ตรงกับวันเพ็ญเดือน 3 นับเป็นวันสำคัญทางศาสนาและเป็นอีกวันหนึ่งที่พุทธศาสนิกชนพึงเข้าวัด หลังจากตักบาตรในตอนเช้า เพื่อรับศีลฟังธรรมตอนกลางวัน และเวียนเทียนรอบโบสถ์ในตอนค่ำ
ผมเป็นคนไทยอีกคน มีความเชื่อว่า การที่เมืองไทยมีความสงบสุขร่มเย็นตลอดมาได้ถึงวันนี้ เพราะพระพุทธศาสนาเป็นเหตุปัจจัยหนึ่ง
พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ เป็นหลักในการดำรงชีวิต สอนให้เรารู้จักการอยู่ร่วมกันในสังคมและบนโลกใบเดียวกัน
วัดกับเราอยู่เคียงกันมาครั้งโบราณกาล ตั้งแต่สยามประเทศยังเป็นเพียงอาณาจักรทั้งหลาย เมื่อพูดถึงวัด ก็ต้องกินความไปถึงศาสนา และเมื่อเราพูดถึงศาสนา เราก็ต้องหมายความว่า พุทธศาสนา หมายความถึง คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พุทธศาสนาไม่ใช่ศาสนาฝรั่งที่เรียกว่า RELIGION พุทธศาสนาไม่มีพระเจ้าเป็นผู้สั่งสอน ผู้ที่สั่งสอนเราชาวพุทธ คือ ผู้รู้ (พุทธ) และพุทธศาสนาก็ไม่ได้สอนให้เราเชื่ออย่างงมงายโดยไม่มีเหตุผล ประการสำคัญพุทธศาสนาไม่มีหลักการว่าจะต้องมอบตัวเองให้กับพระผู้เป็นเจ้า
มีแต่บอกว่า ตัวเองนั่นแหละจะต้องพึ่งพาตัวเอง
อย่างไรก็ตามแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว ผมเชื่อว่าศาสนาต่างๆ นั้น หามีความแตกต่างกันไม่ เพราะเป้าหมายของทุกศาสนาก็เป็นเป้าหมายหลักเดียวกัน คือ สอนให้เราเป็นคนดี
ปัจจุบันนี้ ผมก็ยังเชื่อเช่นนั้น
ความเชื่อของมนุษย์วนเวียนอยู่กับศาสนา เป็นศรัทธาอันเป็นจุดเริ่มต้นของศาสนา เป็นความเชื่อประกอบด้วยปัญญา รู้เหตุรู้ผล
เริ่มด้วยศีล ต่อด้วยสมาธิ อันทำให้เกิดปัญญา
เมื่อผมยังเด็ก ผมก็ตามบรรพบุรุษของผมเข้าวัด ผมไม่รู้จักโบสถ์ แต่รู้จักพระ รู้จักหลวงพ่อ หลวงปู่ หลวงพี่ และพระครู
พระส่วนใหญ่ที่ผมรู้จักแต่เล็ก เป็นพระที่ตรงกับคำสอนจากผู้ใหญ่ที่ผมเคารพนับถือ เคยสอนผมว่า พระสงฆ์ของเราวันนี้ มีทั้งควรแก่การเคารพนมัสการ และไม่ควร
ฟังดูแต่แรก ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่โตขึ้นมาก็พอเข้าใจ ความเลื่อมใสศรัทธาที่มีต่อพระสงฆ์ทั้งปวง
ห้วงเวลาระหว่างชีวิตที่เติบโตขึ้นนี่แหละ การวนเวียนอยู่กับวัด อยู่กับคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้หล่อหลอมความนึกคิดของผมให้เกิดปัญญา และเกิดความรู้ เพียงเพื่อจะพบพระอันควรแก่การเคารพนมัสการ
ขัดแย้งกับคำสอนที่ผมรับมาแต่เล็กว่า ถ้าเห็นผ้าเหลืองก็ให้แสดงความเคารพนบไหว้
การกราบไหว้พระเป็นการกราบไหว้ผ้าเหลือง มิใช่กราบไหว้ผู้ที่ห่มผ้าสีเหลือง ซึ่งมีหัวหมอบางคนยังตีความบอกกับผมด้วยว่า พระ ก็คือ พระ มิใช่สามัญชนห่มผ้าเหลือง
นี่ก็เป็นเรื่องของความเชื่อ จะเป็นเหตุเป็นผลอย่างไร ผมก็ขอทิ้งไว้เพียงเท่านี้ก่อน ขืนว่าความยาวต่อไปดีไม่ดี ผมอาจบรรลุอรหันต์ หลุดโลกโอบามาไปเลยก็ได้
การเป็นพุทธศาสนิกชนนั้น ไม่เป็นความยุ่งยาก ใครๆ ก็บินได้...เอ๊ย...ใครก็เป็นได้ ไม่ต้องคำนึงถึงชาติ ตระกูล ตลอดจนเพศ เผ่าพันธุ์ และอายุ
ตลอดชีวิตไม่เคยเข้าวัดเลย ก็เข้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องเข้าไปเพื่ออาบน้ำมนต์ หรือรับน้ำมนต์
ไม่ต้องล้างบาป แต่เข้าไปประกาศว่าตัวเอง ก็คือ พุทธมามกะ ด้วยการเปล่งวาจา 3 ครั้ง
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ/ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ/สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
นี่ก็เรียกว่า ได้กล่าวปฏิญญาอันศักดิ์สิทธิ์ ยอมรับการเลือกข้าง คือ เลือกพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้ ยอมรับคำสอนของพระองค์เป็นความจริง เป็นต้นแบบของการดำรงชีวิต
พระพุทธเจ้านั้น แต่แรกเริ่มเดิมทีเป็นเจ้าชาย เพียบพร้อมด้วยราชทรัพย์สมบัติ ตามที่พระราชชนก และพระราชมารดาพระราชทานให้ แม้พระตำหนักที่ประทับ ก็มีทั้งพระตำหนักสำหรับ ฤดูร้อน ฤดูหนาว และฤดูฝน
เมื่อเจริญวัยขึ้น พระองค์ก็ถึงพร้อมทุกสรรพสิ่ง ได้อภิเษกสมรสกับเจ้าหญิง มีความสุขในเขตล้อมของข้าราชบริพารทั้งชายและหญิง
จุดเปลี่ยนของเจ้าชาย ก็คือ การทอดพระเนตรโดยบังเอิญ เห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย ทรงรู้สึกว่าชีวิตมนุษย์เป็นความทุกข์ ความสุขที่พระองค์ได้รับในพระตำหนักมิใช่สิ่งถาวร สิ่งที่ถาวรกว่านั้น ก็คือ ชีวิตที่ต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตาย ทิ้งทุกสิ่งไว้ข้างหลัง
เจ้าชายรำพึงเช่นนั้นแล้ว ก็เสด็จออกจากพระตำหนักไปสู่ป่า หนีจากความสุขไปผจญกับทุกสิ่งภายนอก ด้วยความไม่หวั่นไหว เริ่มต้นพิจารณาทุกสรรพสิ่ง เช่นเดียวกับเหล่าฤาษี และนักบวชต่างๆ ที่ออกบำเพ็ญตน เพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการแห่งโลกียวิสัย จนพระองค์พบว่าการบำเพ็ญตนด้วยความทุกข์ทรมานอย่างนั้น เป็นการประทุษร้าย ไม่ทำให้เกิดความสำเร็จ
จากนั้นพระองค์จึงทรงงดการทรมาน กลับมาแสวงการฟอกดวงใจให้ผ่องแผ้ว สร้างความสะอาดหมดจดให้ออกจากภายในตนเป็นปฐม
พระองค์ใช้เวลาทั้งหมด 6 ปีนับแต่เสด็จออกจากพระตำหนักในกรุง ทรงชำนะมาร เห็นแจ้งซึ่งโลก ในขณะมีพระชนมายุ 35 ปี ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 6 (วันวิสาขบูชา) ทรงพบ อริยสัจ 4 อันประกอบด้วย ความทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ และวิถีทางของการดับความทุกข์นั้น
ถัดปีที่ตรัสรู้ ลุเดือน 3 หรือกล่าวตามภาษาบาลี เดือนมาฆะ ถึงราตรีวันเพ็ญ ขณะพระพุทธเจ้าประทับ ณ พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ได้มีพระสงฆ์สาวกจำนวน 1,250 รูป มาประชุมเฝ้าโดยมิได้นัดหมาย
พระพุทธองค์ทรงถือเป็นโอกาสพิเศษประกาศหลักพระพุทธศาสนา เป็นทั้งธรรมและวินัย เรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์
พูดแบบนี้ก็ยากจะเข้าใจ เรามาทำความง่ายขึ้นต่อพระโอวาทนี้กันเถอะ
โอวาทปาฏิโมกข์ ก็คือ วิถีที่จะทำให้ชีวิตเราปราศจากความเดือดร้อน คือ การไม่ทำความชั่ว การทำแต่กุศล และการทำจิตให้บริสุทธิ์ผ่องใส
3 ประการเท่านี้แหละครับ ถ้าใครก็ตามสามารถพินิจพิจารณาก็จะพบว่า มันเป็นความจริง ความจริงแบบที่ว่าไม่จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อ
โดยเฉพาะความเชื่อของมนุษย์แต่บรรพกาลที่เริ่มจากการเชื่อเทวดาป่าเขา และผีสางนางไม้
ในโอกาสที่พระพุทธองค์ทรงประกาศนั้น ยังเกิดความบังเอิญ 4 ประการด้วย คือ
พระสงฆ์ 1,250 รูป มาประชุมนั้น มิได้เป็นการนัดหมาย
พระสงฆ์ทั้งนั้น ล้วนเป็นพระที่ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้า
พระสงฆ์ทั้งนั้น ล้วนเป็นพระอรหันต์
วันที่ประชุมเป็นวันเพ็ญ กลางเดือนมาฆะ เดือน 3
วันมาฆบบูชาของเราเป็นวันที่กำหนดตามปฏิทินทางจันทรคติของไทย โดยปกติก็จะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 แต่ถ้าในปีใดเป็นปีอธิกมาส มีเดือน 8 สองหน วันมาฆบูชาก็จะเลื่อนออกไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4
สำหรับปีนี้ ปีฉลู วันมาฆบูชาตรงกับวันจันทร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ ซึ่งเมื่อปี 2551 ปีชวดตรงกับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ และในปีต่อไป 2553 ปีขาล ก็จะตรงกับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ เป็นข้อสังเกตว่า ส่วนมากวันมาฆบูชามักจะตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ หรือต้นเดือนมีนาคม
กิจกรรมของเราชาวพุทธในวันนี้ ก็ไม่มีอะไรมาก เช้าขึ้นถ้าสะดวกก็ไปวัดทำบุญ ตักบาตร ถ้าไม่สะดวกพอก็คอยตักบาตรพระที่มาบิณฑบาตรทุกวันนห้าบ้าน ตอนสายก่อนเพลค่อยไปวัดเพื่อรับศีล และฟังธรรม และในตอนกลางคืนก็ไปเวียนเทียนรอบพระอุโบสถ
วันมาฆบูชาของไทย รัฐบาลในปี 2549 กำหนดให้เป็นวันกตัญญูแห่งชาติ เพื่อรณรงค์ให้สังคมไทยเดินออกจากลัทธิวาเลนไทน์ของเดือนกุมภาพันธ์ให้ไกลที่สุด
เรื่องโดย : บรรเจิด ทวี formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2552
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/27334