ในช่วงปี 2551 ที่ผ่านมา สภาพทางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวขั้นรุนแรง จากวิกฤตการณ์น้ำมันผันผวน และแพงแบบไร้เหตุผล จากบรรดานักเก็งกำไร ซื้อขายล่วงหน้า และปัญหาหนี้อสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับพไรม์) ของสหรัฐอเมริกา จนทำให้สถาบันการเงินของสหรัฐ ฯ หลายแห่งไม่สามารถแบกรับสภาพขาดทุนสะสม จำนวนมหาศาล ต่อเนื่องไว้ได้ ต้องประกาศตัวขอล้มละลาย ซึ่งรวมถึงสถาบันการเงินระดับชั้นนำของโลกด้วย ผลของปัญหานี้ได้ลุกลามไปในหลายประเทศ โดยคาดกันว่ายังคงส่งผลต่อไปอีก 1-3 ปี ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยเองก็คงได้รับผลกระทบด้านของการส่งออก และการท่องเที่ยว เห็นได้ชัดว่ามีหลายบริษัทอุตสาหกรรม ต้องประกาศปิดโรงงาน คนงานจะตกงานเพิ่มขึ้นอีกหลายแสนคนในปี 2552

ในช่วงปี 2551 ที่ผ่านมา สภาพทางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวขั้นรุนแรง จากวิกฤตการณ์น้ำมันผันผวน และแพงแบบไร้เหตุผล จากบรรดานักเก็งกำไร ซื้อขายล่วงหน้า และปัญหาหนี้อสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (ซับพไรม์) ของสหรัฐอเมริกา จนทำให้สถาบันการเงินของสหรัฐ ฯ หลายแห่งไม่สามารถแบกรับสภาพขาดทุนสะสม จำนวนมหาศาล ต่อเนื่องไว้ได้ ต้องประกาศตัวขอล้มละลาย ซึ่งรวมถึงสถาบันการเงินระดับชั้นนำของโลกด้วย ผลของปัญหานี้ได้ลุกลามไปในหลายประเทศ โดยคาดกันว่ายังคงส่งผลต่อไปอีก 1-3 ปี ซึ่งรวมทั้งประเทศไทยเองก็คงได้รับผลกระทบด้านของการส่งออก และการท่องเที่ยว เห็นได้ชัดว่ามีหลายบริษัทอุตสาหกรรม ต้องประกาศปิดโรงงาน คนงานจะตกงานเพิ่มขึ้นอีกหลายแสนคนในปี 2552 นี่แค่เฉพาะกรณีของบริษัท เลห์แมน บราเธอร์ส ซึ่งเป็นสถาบันการเงินระดับยักษ์ใหญ่อันดับ 4 ของสหรัฐ ฯ เป็นเจ้าของบัตร อเมริกัน เอกซ์พเรสส์ บัตรเครดิทที่ทุกประเทศทั่วโลกเชื่อถือมาก ประกาศขอล้มละลาย ก็สะเทือนไปทั่วโลก ส่งผลให้บรรดาธนาคาร และบริษัทประกันภัยในญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงบริษัท มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุพ อิงค์ ประกาศตัวเลขขาดทุนรวมกันเป็นเงินทั้งสิ้น 2.45 แสนล้านเยน (2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ) อันเป็นผลสืบเนื่องจากการล้มละลายของ เลห์แมน บราเธอร์ส โฮลดิง อิงค์ ขณะที่บริษัท มิตซูโฮ ทรัสต์ แอนด์ แบงกิง โค ได้ปรับลด คาดการณ์ผลกำไรลงกว่าครึ่งหนึ่ง โดยระบุว่าธนาคารมีตัวเลขขาดทุน 1.18 หมื่นล้านเยน ในตลาดพันธบัตร และเงินกู้ที่เกี่ยวข้องกับ เลห์แมน ฯ ความรุนแรงของปัญหาอย่างกรณี เลห์แมน บราเธอร์ส ฯ ทำให้ทางการสหรัฐ ฯ ต้องเข้าไปพยุงช่วยสถาบันการเงินอื่นๆ อีกหลายแห่ง เพราะเกรงว่าจะเกิดการล้มลงของสถาบันการเงินเป็นลักษณะโดมิโนที่ล้มตามกันไป เช่น ธนาคารเพื่อการลงทุนยักษ์ใหญ่อีกแห่ง คือ เมอร์ริลล์ ลีนช์ ได้พ้นวิกฤต จากการโอบอุ้มของแบงค์ออฟอเมริกา เช่นเดียวกับการเข้าไปอุ้มกลุ่ม อเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุพ อินคอร์พอเรชัน (เอไอจี) อเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุพ อิงค์ (เอไอจี) เครือกิจการประกันภัยยักษ์ใหญ่ และเก่าแก่ ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ อเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล แอสชัวรันซ์ (เอไอเอ) ในประเทศไทย กำลังสูญตำแหน่งบริษัทประกันภัยอันดับ 1 ของโลก เพราะ เอไอจี ประสบการขาดทุนอย่างหนักในสินเชื่อลงทุนอสังหาริมทรัพย์เป็นมูลค่ามหาศาล ซึ่งส่งผลให้ เอไอจี มียอดขาดทุนรวมกัน 1.8 หมื่นล้านดอลลาร์ราว 6.29 แสนล้านบาท เพียงแค่ช่วง 3 ไตรมาสแรกที่ผ่านมาของปีเท่านั้น กระทรวงการคลังสหรัฐ ฯ และธนาคารกลางสหรัฐ ฯ (เฟด) ตัดสินใจว่า จำเป็นต้องให้ความช่วยเหลือฉุกเฉินวงเงิน 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ฯ หรือราว 3 ล้านล้านบาท แก่บริษัท อเมริกัน อินเตอร์เนชันแนล กรุพ อินคอร์พอเรชัน (เอไอจี) เพื่อป้องกันไม่ให้ผลกระทบลุกลาม แต่นักวิเคราะห์เศรษฐกิจทั่วโลกต่างเห็นพร้องต้องกันว่า ไม่เพียงพอจะค้ำจุนสถานะของ เอไอจี และเศรษฐกิจของสหรัฐ ฯ เอาไว้ได้ ทำให้เกิดเหตุการณ์ หุ้นทั่วโลกยังตกกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ของ เอไอจี ที่ย่ำแย่ ทำให้บริษัทต้องทิ้ง ขายสถาบันการเงิน และบริษัทประกันภัยยักษ์ใหญ่ในเครือญี่ปุ่นไป 3 บริษัท และคาดว่ายังต้องทำการขายในลักษณะเช่นนี้ ในอีกหลายประเทศเพื่อนำเงินกลับไปค้ำจุนให้กับบริษัทแม่ในสหรัฐอเมริกา พนักงานของ เอไอจี และบริษัทในเครือ หลายหมื่นคนจะต้องตกงาน ลูกค้า เอไอจี และ เอไอเอ ทั่วโลกต่างสั่นคลอนถึงความไม่เชื่อมั่นของบริษัท ฯสร้างสถิติถอนกรมธรรม์พุ่งกว่า 3-5 เท่า จากภาวะปกติ ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย จากวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และปัญหาความไม่เชื่อมั่นของธุรกิจประกันภัย สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้เสนอให้จัดตั้งกองทุนค้ำจุนประกันภัยไทย มูลค่าหมื่นล้านบาท และบังคับใช้กฎเหล็กควบคุมธุรกิจประกันภัยในด้านการเพิ่มทุนบริษัทประกันภัยไม่น้อยกว่าบริษัทละ 300 ล้านบาท บริษัทประกันชีวิตไม่น้อยกว่าบริษัทละ 500 ล้านบาท หากบริษัทใดไม่สามารถดำเนินการได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด ต้องควบรวมกัน หรือมิฉะนั้นก็ต้องถูกปิดกิจการไป ที่เห็นๆ ก็มีหลายบริษัทได้ควบรวมกันไปบ้างแล้ว นอกจากนี้ยังมีมาตรการให้บริษัทต้องดำรงกองทุน ในระดับที่กฎหมายกำหนดและต้องเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับฐานะการเงิน และผลการดำเนินงานของบริษัทประกันภัยต่อสาธารณะทุก 3 เดือน และย้อนหลังไป 3 ปี เพื่อให้ประชาชนได้ทราบสถานะ และความมั่นคงของบริษัทประกันภัย ซึ่งจะทำให้บริษัทประกันภัยต้องปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างมาก และต้องแบกภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น เพื่อปรับองค์กรด้านต่างๆ รวมถึงต้องเพิ่มขนาดเงินกองทุน และเงินสำรองประกันภัย เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของกฎหมายใหม่ จากการเปิดเผยของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) โดย นางจันทรา บูรณฤกษ์ เลขาธิการ กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ทุกประเภท จะมีการปรับปรุง และเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัย ให้มีความชัดเจน เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันมากขึ้น โดยจะนำหลัก CASH BEFORE COVER (คุ้มครองเมื่อมีการจ่ายเงิน) มาใช้ ซึ่งเป็นระบบที่จะช่วยลดโอกาสในการเกิดข้อขัดแย้งระหว่างผู้เอาประกันภัยกับบริษัทประกันภัย เนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัย จะให้ความคุ้มครองทันทีที่ชำระเบี้ยประกันภัยกับตัวแทน/นายหน้าประกันภัย หรือบริษัทประกันภัย โดยบริษัทประกันภัยต้องจัดส่งกรมธรรม์ประกันภัยให้ภายใน 15 วัน ทั้งนี้เนื่องจากระบบการประกันภัยรถยนต์ในปัจจุบัน กรณีที่ผู้เอาประกันภัยแจ้งทำประกันภัยทางโทรศัพท์ หรือการทำประกันภัยผ่านตัวแทนนายหน้าประกันภัย ซึ่งไม่ได้รับกรมธรรม์ประกันภัยหรือหลักฐานการชำระเบี้ยประกันภัย เมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น อาจเกิดข้อขัดแย้งในภายหลัง ก็ต้องมีการพิสูจน์ว่าบริษัทรับประกันภัยแล้วหรือไม่ ดังนั้นเมื่อนำหลัก CASH BEFORE COVER มาใช้ก็จะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดข้อขัดแย้งดังกล่าวได้ นอกจากนี้ ยังเป็นการส่งเสริมให้ธุรกิจประกันภัยมีธรรมาภิบาลที่ดี มีความมั่นคง ทำให้ผู้เอาประกันภัยมั่นใจได้ว่าเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นจะได้รับการชดใช้ค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัย ด้วยความยุติธรรม และรวดเร็ว และเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยที่สำคัญอื่นๆ ที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมอีก เช่น 1. การขยายความคุ้มครอง และการกำหนดจำนวนเงินค่าสินไหมทดแทนขั้นต่ำ สำหรับความรับผิดต่อบุคคลภายนอก เดิมกำหนดไว้เฉพาะกรณีการเสียชีวิต จะได้รับค่าสินไหมทดแทนไม่น้อยกว่า 100,000 บาท/คน โดยเพิ่มเติมกรณีทุพพลภาพถาวร ให้ได้รับค่าสินไหมทดแทนไม่น้อยกว่า 100,000 บาท/คน เช่นเดียวกับกรณีเสียชีวิต 2. ค่าเสียหายส่วนแรกที่ผู้เอาประกันภัยต้องรับผิดชอบเอง สำหรับความเสียหายต่อรถยนต์ กรณีความเสียหายอันเกิดจากการชน แต่ผู้เอาประกันภัยไม่สามารถแจ้งคู่กรณีได้ จากเดิม 2,000 บาท ลดลง เป็น 1,000 บาท และกรณีความเสียหายอันมิได้เกิดจากการชน หรือคว่ำ ผู้เอาประกันภัยก็ต้องรับผิดชอบค่าเสียหายส่วนแรกเอง 1,000 บาท ด้วยเช่นกัน ดังนั้น ผู้เอาประกันภัยควรตรวจสอบวันสิ้นสุดกรมธรรม์ประกันภัย และวางแผนการทำประกันภัยไว้ล่วงหน้า โดยต้องทำประกันภัยให้ตรงหรือก่อนวันเริ่มต้นคุ้มครอง และชำระเบี้ยประกันภัยทันที เพื่อให้ได้รับความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย และเมื่อผู้เอาประกันภัยชำระเบี้ยประกันภัยกับตัวแทน/นายหน้าประกันภัย หรือบริษัทประกันภัยแล้ว ขอให้เก็บเอกสารแสดงการรับเบี้ยประกันภัยไว้เป็นหลักฐานด้วย และเพื่อรองรับกฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พศ. 2535 (ฉบับที่ 5) มาตรา 7 ที่กำหนดให้ “รถที่เจ้าของรถได้ทำประกันภัยที่มีความคุ้มครองครอบคลุมความเสียหายต่อผู้ประสบภัย และทรัพย์สินแล้ว ไม่ต้องทำประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยอีก” โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2551 ขณะนี้นายทะเบียนได้อนุมัติให้บริษัทประกันภัยสามารถจำหน่ายกรมธรรม์ประกันภัยที่เรียกว่า“ กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์รวมความคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (COMBINE POLICY)” ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นนับแต่นี้เป็นต้นไป กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์จะมีทั้งหมด 3 รูปแบบ คือ 1. กรมธรรม์ประกันภัยรถตาม พรบ. แบบเดิม (ผู้ที่ทำประกันเฉพาะ พรบ.) 2. กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1, 2, 3 และกรมธรรม์ ฯ แบบคุ้มครองเฉพาะภัยที่ไม่รวมการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (มีการแยกไปซื้อประกัน พรบ. ตามข้อ 1 ) 3. กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1, 2, 3 และกรมธรรม์ ฯ แบบคุ้มครองเฉพาะภัยที่รวมการคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ (แบบใหม่ คือ รวมประกันตาม พรบ. ด้วย) ผู้เอาประกันภัยที่ทำประกันภัยรถยนต์ต้องตรวจสอบการทำประกันภัยกับบริษัทประกันภัยทุกครั้งเพื่อความมั่นใจว่า กรมธรรม์ที่ทำนั้นมีความคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถตาม พรบ. ซึ่งกฎหมายกำหนดให้รถทุกคันต้องทำประกันภัย อย่างไรก็ตาม ผู้เอาประกันภัยสามารถตรวจสอบได้ว่ากรมธรรม์ประกันภัยที่ทำนั้นมีประกันภัยรถตาม พรบ. หรือไม่ โดยกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคสมัครใจที่ไม่มีความคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถจะมีข้อความ “ไม่รวม พรบ.” ไว้ที่หน้าตารางกรมธรรม์ประกันภัยทุกกรมธรรม์ รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามสายได้ที่ สายด่วนประกันภัย 1186 และสำนักงาน คปภ. จังหวัด ทุกแห่ง