รถใหม่ 26 Mar 2008
รถเล็กดีไซจ์นเก๋ ยาวขึ้น กับประตูที่เปิดไม่เหมือนใคร
ความสำเร็จเกินคาดของรถยนต์ระดับหรูขนาดเล็กอย่าง มีนี (MINI) วัดได้จากยอดขายที่ทะลุ 1 ล้านคันเข้าไปแล้ว โดยเริ่มทำตลาดตั้งแต่ปี 2001 เจเนอเรชันแรกมีตัวถังให้เลือกเพียง 2 แบบ คือ แฮทช์แบค 3 ประตู และเปิดประทุน เมื่อไม่นานมานี้ มีนี เปิดตัวเจเนอเรชันที่ 2 สร้างความประหลาดใจ ที่ภายนอกยังคงเอกลักษณ์ดั้งเดิม จนคล้ายรุ่นก่อนแบบแยกกันไม่ออก ได้เวลาเสริมทัพด้วยตัวถังแบบใหม่ ขยายความยาวของตัวถัง และใช้ประตูเปิดอ้าแบบที่เราเรียกให้เข้าใจง่ายๆ ว่า "ตู้กับข้าว" มีนี นิยามชื่อรุ่นนี้ตามอดีต แต่กระชับขึ้นว่า มีนี คลับแมน
ความจริงแล้ว มีนี ตัวถังแบบต่อยาวพิเศษนั้นเป็นที่รู้จักกันถึง 3 ชื่อ เริ่มแรกจาก มอร์ริส มีนี ทราเวลเลอร์ (MORRIS MINI TRAVELLER) และ ออสติน มีนี คันทรีแมน (AUSTIN MINI COUNTRYMAN) ซึ่ง 2 รุ่นนี้ใช้กรอบโครงสร้างด้านหลังตั้งแต่เสา B-PILLAR ทำจากไม้เสียด้วยซ้ำ และ ปิดท้ายด้วย มีนี คลับแมน เอสเตท (MINI CLUBMAN ESTATE) ที่ดูทันสมัยกว่า 2 รุ่นแรก
มีนี เผยโฉมต้นแบบในงานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท 2005 ในครั้งนั้นใช้ชื่อ ทราเวลเลอร์(TRAVELLER) แสดงถึงเค้าลางของตัวถังแบบที่ 3 ของ มีนี ต่อจากรุ่น 3 ประตูแฮทช์แบค และเปิดประทุน อย่างไรก็ตามตัวถังแบบต่อยาวพิเศษนี้ไม่เคยถูกนำมาใช้กับ มีนี เจเนอเรชันแรกแต่อย่างใด
ความยาวที่เพิ่มขึ้นสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า โครงสร้างด้านหน้ายังคงใช้ร่วมกันกับรุ่นปกติ เอกลักษณ์อันคุ้นตากับไฟดวงกลมรี กระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมู และแนวสันตัวถังที่ไล่เลียงตั้งแต่ไฟหน้าจรดท้าย จุดแตกต่างสำคัญอยู่ที่ประตูด้านท้ายที่เปลี่ยนจากแบบเปิดยกขึ้นเป็นแบบ "ประตู ตู้กับข้าว" 2 บาน เปิดออกทั้งซ้าย/ขวา
ประตูด้านซ้ายเป็นแบบประตูเดี่ยวตามปกติ ส่วนประตูด้านขวาเป็นแบบ SUICIDE DOOR (สำหรับรุ่นพวงมาลัยซ้าย) ที่เป็นอย่างนี้เพื่อความสะดวกในการเข้า/ออก ของผู้โดยสารตอนหลัง โดยผู้โดยสารด้านหน้าไม่ต้องลุกออกจากที่นั่งเพื่อพับเบาะเหมือนอย่างในรถคูเป ประตูบานเล็กนี้จะเปิดออกได้ต่อเมื่อประตูบานหลักถูกเปิดออกก่อน เพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตามยังไม่แน่ชัดว่า หากเป็นรุ่นพวงมาลัยขวา SUICIDE DOOR ดังกล่าวจะย้ายมาอยู่ข้างซ้ายหรือไม่
บริเวณด้านท้ายได้รับการออกแบบใหม่แตกต่างจากรุ่นแฮทช์แบค โดยนำเค้าโครงมาจากรุ่นสมัยปี 1961 ของ มอร์ริส มีนี ทราเวลเลอร์ ที่มีโครงสร้างของเสา C-PILLAR ทำจากไม้ โดย มีนี คลับแมน รุ่นใหม่นี้จะทาสีตั้งแต่ด้านบนสุดของเสา C-PILLAR ลงมาจนล้อมกรอบชุดไฟท้ายและตัดขอบต่อเนื่องมาตามแนวด้านบนของกันชนท้าย
เมื่อวัดออกมาเป็นตัวเลขแล้ว มีนี คลับแมน มีความยาวมากกว่ารุ่น 3 ประตูแฮทช์แบคอยู่ 240 มม. (มีพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังเพิ่มขึ้นอีก 8 ซม.) พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีขนาดใหญ่ 260 ลิตร และสามารถขยายเป็น 930 ลิตรเมื่อพับเบาะหลังลง (เพิ่มขึ้นอีก 100 และ 250 ลิตรตามลำดับเมื่อเทียบกับรุ่นแฮทช์แบค) ส่วนความกว้างนั้นยังคงเท่าเดิม ความสูงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เบาะด้านหลังเป็นแบบ 3 ที่นั่ง แต่ถ้าอยากได้แบบ 2 ที่นั่งพับแยกกันก็มีให้เลือก
เครื่องยนต์ เบนซินมีให้เลือก 2 รุ่น 1.6 ลิตร VALVETRONIC 120 แรงม้า และ 1.6 ลิตร แบบฉีดเชื้อเพลิงตรง DIRECT INJECTION ติดตั้งเทอร์โบพร้อมอินเตอร์คูเลอร์ ให้กำลัง 175 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 224 กม./ชม. แบบสุดท้าย คือ เครื่องยนต์ดีเซล แบบคอมมอนเรลติดตั้งเทอร์โบแบบแปรผัน 110 แรงม้า โดดเด่นที่อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยทำได้ 24.4 กม./ลิตร
เครื่องยนต์ทั้ง 3 รุ่น ใช้ระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และมีเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะพร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัยมาให้เลือก
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังใช้วัสดุทำจากอลูมิเนียม เพื่อความแข็งแรงและน้ำหนักเบา สำหรับรุ่น คูเพอร์ เอส ช่วงล่างจะถูกปรับแต่งให้มั่นคงยิ่งขึ้น และตอบสนองได้ฉับไวกว่า เพื่อรองรับสมรรถนะที่มากขึ้นเป็นพิเศษ
แม้จะเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่เปี่ยมสมรรถนะ แต่ก็ไม่ได้มองข้ามความปลอดภัย ถุงลมนิรภัย 6 ใบ มีมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมม่านถุงลมนิรภัยด้านข้างขนาดใหญ่สำหรับผู้โดยสารตอนหลังเพื่อเพิ่มความปลอดภัยครอบคลุมทุกที่นั่ง
ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน มีให้ไม่แพ้รถยนต์ขนาดใหญ่ ระบบเบรคเอบีเอส และกระจายแรงเบรคด้วย ควบคุมการเบรคขณะเข้าโค้งด้วย CBC (CORNERING BRAKE CONTROL) ควบคุมเสถียรภาพของตัวรถด้วย DSC(DYNAMIC STABILITY CONTROL) ผสานการทำงานร่วมกับระบบ ASC+T (AUTOMATIC STABILITY CONTROL+TRACTION) และระบบ HILL ASSIST(ติดตั้งในรุ่นเกียร์ธรรมดา) ป้องกันการไหลขณะออกตัวบนทางลาดชัน
มีนี คลับแมน ตอกย้ำความเป็นผู้นำรถหรูขนาดเล็ก ด้วยเอกลักษณ์สืบทอดกันมาช้านาน เพิ่มความทันสมัย พร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจ รุ่นใหม่นี้จะเป็นกำลังสำคัญในการสานต่อความสำเร็จของรถยนต์ มีนี ยุคใหม่นี้ได้เป็นอย่างดี เริ่มทำตลาดในอังกฤษปลายปี 2007 สนนราคาค่าตัวตั้งไว้ที่ประมาณ 864,064-1,044,647 บาท (14,235-17,210 ปอนด์)
ความจริงแล้ว มีนี ตัวถังแบบต่อยาวพิเศษนั้นเป็นที่รู้จักกันถึง 3 ชื่อ เริ่มแรกจาก มอร์ริส มีนี ทราเวลเลอร์ (MORRIS MINI TRAVELLER) และ ออสติน มีนี คันทรีแมน (AUSTIN MINI COUNTRYMAN) ซึ่ง 2 รุ่นนี้ใช้กรอบโครงสร้างด้านหลังตั้งแต่เสา B-PILLAR ทำจากไม้เสียด้วยซ้ำ และ ปิดท้ายด้วย มีนี คลับแมน เอสเตท (MINI CLUBMAN ESTATE) ที่ดูทันสมัยกว่า 2 รุ่นแรก
มีนี เผยโฉมต้นแบบในงานมหกรรมยานยนต์ฟรังค์ฟวร์ท 2005 ในครั้งนั้นใช้ชื่อ ทราเวลเลอร์(TRAVELLER) แสดงถึงเค้าลางของตัวถังแบบที่ 3 ของ มีนี ต่อจากรุ่น 3 ประตูแฮทช์แบค และเปิดประทุน อย่างไรก็ตามตัวถังแบบต่อยาวพิเศษนี้ไม่เคยถูกนำมาใช้กับ มีนี เจเนอเรชันแรกแต่อย่างใด
ความยาวที่เพิ่มขึ้นสามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า โครงสร้างด้านหน้ายังคงใช้ร่วมกันกับรุ่นปกติ เอกลักษณ์อันคุ้นตากับไฟดวงกลมรี กระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมู และแนวสันตัวถังที่ไล่เลียงตั้งแต่ไฟหน้าจรดท้าย จุดแตกต่างสำคัญอยู่ที่ประตูด้านท้ายที่เปลี่ยนจากแบบเปิดยกขึ้นเป็นแบบ "ประตู ตู้กับข้าว" 2 บาน เปิดออกทั้งซ้าย/ขวา
ประตูด้านซ้ายเป็นแบบประตูเดี่ยวตามปกติ ส่วนประตูด้านขวาเป็นแบบ SUICIDE DOOR (สำหรับรุ่นพวงมาลัยซ้าย) ที่เป็นอย่างนี้เพื่อความสะดวกในการเข้า/ออก ของผู้โดยสารตอนหลัง โดยผู้โดยสารด้านหน้าไม่ต้องลุกออกจากที่นั่งเพื่อพับเบาะเหมือนอย่างในรถคูเป ประตูบานเล็กนี้จะเปิดออกได้ต่อเมื่อประตูบานหลักถูกเปิดออกก่อน เพื่อความปลอดภัย อย่างไรก็ตามยังไม่แน่ชัดว่า หากเป็นรุ่นพวงมาลัยขวา SUICIDE DOOR ดังกล่าวจะย้ายมาอยู่ข้างซ้ายหรือไม่
บริเวณด้านท้ายได้รับการออกแบบใหม่แตกต่างจากรุ่นแฮทช์แบค โดยนำเค้าโครงมาจากรุ่นสมัยปี 1961 ของ มอร์ริส มีนี ทราเวลเลอร์ ที่มีโครงสร้างของเสา C-PILLAR ทำจากไม้ โดย มีนี คลับแมน รุ่นใหม่นี้จะทาสีตั้งแต่ด้านบนสุดของเสา C-PILLAR ลงมาจนล้อมกรอบชุดไฟท้ายและตัดขอบต่อเนื่องมาตามแนวด้านบนของกันชนท้าย
เมื่อวัดออกมาเป็นตัวเลขแล้ว มีนี คลับแมน มีความยาวมากกว่ารุ่น 3 ประตูแฮทช์แบคอยู่ 240 มม. (มีพื้นที่วางขาสำหรับผู้โดยสารตอนหลังเพิ่มขึ้นอีก 8 ซม.) พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายมีขนาดใหญ่ 260 ลิตร และสามารถขยายเป็น 930 ลิตรเมื่อพับเบาะหลังลง (เพิ่มขึ้นอีก 100 และ 250 ลิตรตามลำดับเมื่อเทียบกับรุ่นแฮทช์แบค) ส่วนความกว้างนั้นยังคงเท่าเดิม ความสูงเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เบาะด้านหลังเป็นแบบ 3 ที่นั่ง แต่ถ้าอยากได้แบบ 2 ที่นั่งพับแยกกันก็มีให้เลือก
เครื่องยนต์ เบนซินมีให้เลือก 2 รุ่น 1.6 ลิตร VALVETRONIC 120 แรงม้า และ 1.6 ลิตร แบบฉีดเชื้อเพลิงตรง DIRECT INJECTION ติดตั้งเทอร์โบพร้อมอินเตอร์คูเลอร์ ให้กำลัง 175 แรงม้า อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 7.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 224 กม./ชม. แบบสุดท้าย คือ เครื่องยนต์ดีเซล แบบคอมมอนเรลติดตั้งเทอร์โบแบบแปรผัน 110 แรงม้า โดดเด่นที่อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงโดยทำได้ 24.4 กม./ลิตร
เครื่องยนต์ทั้ง 3 รุ่น ใช้ระบบส่งกำลังแบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ และมีเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะพร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์บนพวงมาลัยมาให้เลือก
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบ แมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังใช้วัสดุทำจากอลูมิเนียม เพื่อความแข็งแรงและน้ำหนักเบา สำหรับรุ่น คูเพอร์ เอส ช่วงล่างจะถูกปรับแต่งให้มั่นคงยิ่งขึ้น และตอบสนองได้ฉับไวกว่า เพื่อรองรับสมรรถนะที่มากขึ้นเป็นพิเศษ
แม้จะเป็นรถยนต์ขนาดเล็กที่เปี่ยมสมรรถนะ แต่ก็ไม่ได้มองข้ามความปลอดภัย ถุงลมนิรภัย 6 ใบ มีมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน พร้อมม่านถุงลมนิรภัยด้านข้างขนาดใหญ่สำหรับผู้โดยสารตอนหลังเพื่อเพิ่มความปลอดภัยครอบคลุมทุกที่นั่ง
ระบบความปลอดภัยเชิงป้องกัน มีให้ไม่แพ้รถยนต์ขนาดใหญ่ ระบบเบรคเอบีเอส และกระจายแรงเบรคด้วย ควบคุมการเบรคขณะเข้าโค้งด้วย CBC (CORNERING BRAKE CONTROL) ควบคุมเสถียรภาพของตัวรถด้วย DSC(DYNAMIC STABILITY CONTROL) ผสานการทำงานร่วมกับระบบ ASC+T (AUTOMATIC STABILITY CONTROL+TRACTION) และระบบ HILL ASSIST(ติดตั้งในรุ่นเกียร์ธรรมดา) ป้องกันการไหลขณะออกตัวบนทางลาดชัน
มีนี คลับแมน ตอกย้ำความเป็นผู้นำรถหรูขนาดเล็ก ด้วยเอกลักษณ์สืบทอดกันมาช้านาน เพิ่มความทันสมัย พร้อมสมรรถนะการขับขี่ที่เร้าใจ รุ่นใหม่นี้จะเป็นกำลังสำคัญในการสานต่อความสำเร็จของรถยนต์ มีนี ยุคใหม่นี้ได้เป็นอย่างดี เริ่มทำตลาดในอังกฤษปลายปี 2007 สนนราคาค่าตัวตั้งไว้ที่ประมาณ 864,064-1,044,647 บาท (14,235-17,210 ปอนด์)
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ formula@autoinfo.co.th
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ปี 2551
คอลัมน์ Online : รถใหม่
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/26246