ทั่วไป
"การเมือง" แฮ่ะ...แฮ่ะ...เอาอีกแล้วอีตาจอมยุทธ ไหนว่าจะไม่เขียนถึงเรื่อง...พรรค์อย่างนี้ (วลีที่คนวัยเลย 70 ปี แต่ยังสมัครใจเข้าไปรบราฆ่าฟันทางการเมืองรายหนึ่งชอบใช้มากๆ)
"การเมือง" แฮ่ะ...แฮ่ะ...เอาอีกแล้วอีตาจอมยุทธ ไหนว่าจะไม่เขียนถึงเรื่อง...พรรค์อย่างนี้ (วลีที่คนวัยเลย 70 ปี แต่ยังสมัครใจเข้าไปรบราฆ่าฟันทางการเมืองรายหนึ่งชอบใช้มากๆ)
พนมมือขออนุญาตอีกสักครั้งสองครั้งเถิดครับ มันยังวางมือไม่ได้จริงๆ เพราะบ้านนี้เมืองนี้กำลังโดนพิษการเมืองลุมเล้า จนชาวบ้านตาดำๆ ที่ปลงไม่ตกประสาทแด...ถ้าผมรำอยู่นอกวง ไม่ดูดำดูดี เห็นทีจะไม่งาม ไม่สนองคุณแผ่นดิน อันเป็นที่ซุกหัวนอนอย่างอบอุ่นของบ้านเรา
คือ อย่างนี้ครับ ผมไม่ได้คิดจะกัดจิกใครในงวดนี้หรอกพี่น้อง แต่อยากแจกแจงสิ่งที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อความอยู่รอดของชาวบ้านร้านถิ่น รวมทั้งร้านค้า อยากให้เอามือเอาเท้าก่ายหน้าผาก ก็ตามแต่ตรึกตรองดู เพื่อปรับตัวปรับใจรับมือกับสภาพบ้านเมืองที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะเจ๊งกันแบบยกเข่ง ดังที่เป็นข่าว
ข่าวนั้นมาจากรองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุว่า ตั้งแต่มกราคมถึงสิ้นมิถุนายน ปี 2550 มีโรงงานที่เจ๊งจนต้องปิดกิจการไปแล้ว 1,250 แห่ง เงินลงทุน 12,000 ล้านบาท คนงานถูกเลิกจ้าง 29,400 คน อ่านข่าวแค่นี้แล้วหยุด แน่นอนตกใจ แต่ถ้าอ่านต่อไป นายคนนี้ระบุเพิ่มเติมว่า ในห้วงเวลาเดียวกัน มีการจัดตั้งโรงงานใหม่ 2,180 แห่ง เงินลงทุน 69,000 ล้านบาท จ้างงาน 56,000 คน
หากเอาคำพระมาจับ สิ่งที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจ หรือเศรษฐกิจ หมายถึง การ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตาม "กรรม" คือ การกระทำของตนนั่นแล ไม่ใช่เรื่องต้องตื่นตระหนกอะไรนักหนา มันเป็น "เช่นนี้เอง" มาโดยตลอด ใช่ไหมครับ
เอาละ ยังไม่หมด ในช่วงที่คนไทยแตกแยกกัน (ไม่) น่าดู เพราะการเมืองเป็นพิษ (แต่นักการเมืองไม่เคยปริปากยอมรับ โทษฝ่ายอื่นตลอด) สภาพการประมาณก่อนกรุงศรีอยุธยาแตก ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านมองเราด้วยความสมเพชแกมสะใจ ทำให้เขาฉวยโอกาสอันงามในการพัฒนาประเทศให้เจริญรุดหน้ากว่าพี่ไทยให้จงได้ จึงตามมาด้วยสิ่งที่เรียกว่าเศรษฐกิจใส่เกียร์ถอย ตลาดร้านค้าสลบซบเซา ข่าวออกมาว่า คนวิตกทุกข์ร้อนเรื่องการบ้านการเมือง อารมณ์ไม่ดี จึงไม่จับจ่ายใช้สอยเท่าที่ควร แม้จะมีเงินทองอยู่ในกระเป๋าก็ตามที
จากสภาพที่ว่ามา เมื่อนั่งทางในทางนอกดูแล้ว สาเหตุที่เป็นไปในขณะนี้ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ เงินทอง อันเกี่ยวข้องกับปากท้อง การทำมาหากิน เราไปผูกติดกับ "การเมือง" แบบเต็มประตู ซึ่งน่าจะไม่ถูกต้องด้วยประการทั้งปวง
หนทางที่ควร "ภาคเศรษฐกิจ" ต้องปลดแอกตนเองออกจาก "ภาคการเมือง" อย่างด่วนจี๋ อาศัยแนวคิดที่ว่า
เกิดมาเป็นคนแล้วไซร้ ยังไงก็หนีไม่พ้นการทำมาหากินนั่นอย่างหนึ่ง หนีไม่พ้นสิ่งที่ดี และไม่ดี ร้อนหรือหนาว มืดหรือสว่าง อันหมายถึง "อนิจจัง" คือ สิ่งที่ไม่แน่นอนมากระทบ อีกอย่างหนึ่ง
เมื่อหนีไม่พ้น 2 สิ่งที่ว่ามานี้ไซร้ พี่น้องประชาชนคนไทยใจคอต้องหนักแน่นปานขุนเขา ไม่หวั่นไหววอกแวกด้วยเรื่องต่างๆ รวมทั้งเรื่องการเมือง ให้เสียสมาธิปัญญาในการทำมาหากิน การสร้างเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง
อย่าผูกโยงเรื่องการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำมาหากิน ต้อง ผลักไส แยก หรือ กอง เรื่องการเมืองเอาไว้มุมหนึ่ง ตั้งหน้าค้าขายทำมาหากินใส่ปากใส่ท้องของเราอีกมุมหนึ่ง ไม่ให้ปะปนกัน การเมืองมันจะยุ่งเหยิงอย่างไรช่างมัน ถึงเวลาไปลงคะแนนเลือกตั้ง หรือออกเสียง ทำให้ดีที่สุดก็แล้วกัน จะมีการต่อยตีด่าทอกันระหว่างพวกนักการเมืองอย่างไร อย่าไปใส่ใจ ถ้าร่วมวงกับเขาบ้างแค่หอมปากหอมคอ อย่าให้เสียสมาธิในการทำมาหากิน
เปรียบเทียบให้เห็นง่ายๆ ในยามที่ฝนตก ฟ้าร้อง น้ำท่วม ดินถล่ม แม้กระทั่งแผ่นดินไหว คนบนโลกนี้ที่ประสบหากยังไม่ตาย ก็ต้องยอมรับ ผ่านพ้นเหตุด่วนเหตุร้ายไปจนได้ และต้องกินต้องอยู่ของเราอย่างเดิม ฉันใดก็ฉันนั้น เหตุยุ่งเหยิงทางการเมืองก็เหมือนกัน อะไรมันจะเกิดก็ให้มันเกิด แล้วมันก็ผ่านพ้นไป กลับสู่ความสงบราบเรียบจนได้ในที่สุด
เมื่อมองให้ซึ้งเห็นสัจธรรมดังที่ผมแจง แล้วตั้งสติให้มั่นคง ไม่ขี้ตื่น ขี้กลัว ขี้ขลาด ขี้ระแวง ขี้ระวัง เราก็ทำมาหากินของเราต่อไปได้ตามปกติ ผลักดันให้เศรษฐกิจเดินต่อไปตามปกติ ติดขัด หรือสะดุดบ้าง แต่อย่าให้มันทรุดอย่าให้หยุด
สรุป คือ อย่าไปใส่ใจกับการเมือง จนเสียศูนย์ เสียการทำมาหากิน เสียเศรษฐกิจ
ประเด็นสำคัญที่ผมเคยเสวนากับพ่อค้าวาณิชระดับแกนนำของหอการค้าต่างจังหวัด สะกิดบั้นเอวบอกกับเขาไปว่า ในแต่ละจังหวัด มีเจ้าสัวพ่อค้าแม่ค้าผู้ประกอบการ ซึ่งกุมชะตาเศรษฐกิจของบ้านเมืองอยู่มากมายใช่ไหมเฮีย ลองนับนิ้วมือนิ้วเท้าดูก็ได้ ตานี้ไล่เลียงจำนวน สส.นักการเมืองระดับประเทศดูบ้าง ในแต่ละจังหวัดมีอยู่กี่หน่อหรือนาง ที่ผ่านมาประเภทเขตเดียวเบอร์เดียว มีแค่หนึ่งเท่านั้นเอง เทียบกับฝ่ายพ่อค้าแล้วตัวเลขห่างไกลกันสุดกู่
เมื่อเป็นยังงี้แล้ว ทำไมจะต้องไปอยู่ใต้อาณัติ ไปหวั่นไหวกับนักการเมืองเพียงหน่อสองหน่อ เขาหายใจแรงก็สะดุ้ง เขาไอก็ผวา เขาจามก็ประสาทเสีย จนไม่เป็นอันทำมาหากิน มันถูกมันควรเสียที่ไหน จริงไหมเสี่ย
ฟังแล้วเขาแสดงอาการหูตาสว่างจ้า เห็นได้ชัด ร้องออกมาว่า แม่นแต้ก้า แม่นจริงๆ
ผมรีบใส่เกียร์เดินหน้า ปลุกให้เขาฮึกเหิมทันที
ต่อไปนี้เฮียๆ เอ๊ยเสี่ยๆ ไม่ต้องสนใจเรื่องการมงการเมือง ตั้งใจทำธุรกิจของเราให้เต็มที่ เดินหน้าต่อไปตามปกติ มีลีลาการตลาดแบบไหนใส่ลงไป ปลุกปลอบคนในแวดวงการค้า และประชาชนให้เกิดความเข้มแข็ง ถือคติ "การเมืองเรื่องเล็ก การค้าเรื่องใหญ่" ดีไหมเฮีย
ยังมีอีกอย่าง ไอ้ที่เราชอบเรียกร้องให้ "การเมืองนิ่ง" พอการเมืองไม่นิ่ง พากันชักดิ้นชักงอจะเป็นจะตาย หนักๆ เข้าทำให้เศรษฐกิจเจ๊ง มันไม่ถูกนะเฮีย เอาเข้าจริงๆ ไม่มีประเทศไหนที่การเมืองมันนิ่ง ฝรั่งมังค่าอย่างเช่น อิตาลี ฝรั่งเศส หรือญี่ปุ่น ที่เขาเจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจซะไม่มี การเมืองเขาก็ไม่นิ่ง รัฐบาลตั้งขึ้นมาอยู่ได้ไม่ครบปีเปลี่ยนไม่ครบเทอมเปลี่ยน เขายังอยู่กันได้ ทำมาหากินได้นี่หว่า แสดงว่าคนของเขามีหัวคิด รู้จักแยกเศรษฐกิจออกจากการเมือง ไม่เอาการเมืองมาสุมหัวอย่างของเรา ถ้าทำได้อย่างเขามันดีไหมละเสี่ย
ดีสิน้อง ดีแน่ๆ งั้นเฮียขอลาไปลุยโรงงานของเฮียแล้วนะน้อง
แน่ะ...เรียกเราเป็นน้องเฉยเลย เออ ดี ได้ลดอายุลงไปหลายปี
ครับ ขอฝากมายังแฟนนานุแฟนขาประจำ หรือขาจรของผม ขอได้โปรดนำแนวคิด "การเมืองเรื่องเล็ก การค้าเรื่องใหญ่ อย่าให้การเมืองครอบงำชีวิตเรา" ไปเผยแพร่ให้กว้างขวางด้วยนะครับ เราท่านประเทศชาติจะได้มั่นคงดำรงอยู่ได้
ในความเป็นจริง ชีวิตน้อยๆ ของเรา มีสิ่งอื่นเป็นส่วนประกอบอีกมากมายช่วยขับเคลื่อน จึงจะหายใจฟืดฟาดอยู่ได้ ไฉนเราจึงพากันเต้นตามนักการเมือง สติแตกกับเรื่องการเมืองดังเช่นที่ผ่านมา และกำลังเกิดขึ้น รีบปลดแอก ปลดพันธนาการห่วงโซ่การเมืองโดยด่วน ใครมันจะมา ใครมันจะไป ใครจะเป็น หรือไม่เป็นรัฐบาล ไม่ต้องไปตื่นเต้น
ใครทำไม่ดี บ้านเมืองเราก็มีกฎหมาย มีกฎกติกา มีพระสยามเทวาธิราชคอยเชคบิลล์ ที่สำคัญอย่างยิ่ง เรามีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นศูนย์รวมใจ ขณะที่ประเทศอื่นๆ อีกมากมายไม่มีอย่างเรา หากตั้งสติ คิดให้ตกดังที่ว่ามา ประเทศชาติอยู่รอด เราอยู่รอดแน่นอน ขอฟันธง...
ตีพิมพ์ใน ฟอร์มูลา ส่งไป ๕ ก.ย.๒๕๕๐
นิตยสาร Formula ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : ทั่วไป
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/25796