เทคนิค
ที่บอกว่าหัวเทียนแฉะนั้น เป็นเพราะน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเบนซิน ถ้าแฉะด้วยน้ำมันเครื่องก็แน่นอนว่า เครื่องยนต์หลวม แต่ถ้าแฉะด้วยน้ำมันเบนซิน อาจเป็นเพราะน้ำมันเชื้อเพลิง
ถูกเผาไหม้ไม่หมด
ที่บอกว่าหัวเทียนแฉะนั้น เป็นเพราะน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเบนซิน ถ้าแฉะด้วยน้ำมันเครื่องก็แน่นอนว่า เครื่องยนต์หลวม แต่ถ้าแฉะด้วยน้ำมันเบนซิน อาจเป็นเพราะน้ำมันเชื้อเพลิง
ถูกเผาไหม้ไม่หมด
การขันนอทล้อควรจำหลักไว้ว่า ให้จับคู่ในลักษณะตรงกันข้าม เช่น นอทล้อ 4 ตัว ให้จับคู่ 1-3 และ 2-4 ห้ามขันในลักษณะเรียงตามกันไปตามแนวเส้นรอบวงเป็นอันขาด
การดูแลรักษาระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ แนะนำให้หมั่นตรวจเชคตามระยะที่กำหนดไว้ในคู่มือการใช้รถ เช่น การตรวจสอบระดับน้ำมันเพาเวอร์ การตรวจสอบสภาพของสายพานเพาเวอร์
หัวเทียนแฉะ
ฉบับแรกจาก ศุภสรรค สิทธิกล/กทม. กังวลใจในสภาพของเครื่องยนต์
ถาม : ผมใช้รถ ซูซูกิ แคริเบียน เป็นรถมือสองที่ซื้อต่อมาอีกที ใช้งานมาประมาณ 1 ปี ส่วนใหญ่ใช้งานอยู่แต่ในเมือง แรกๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมานี้ สังเกตพบว่ารถสตาร์ทติดยาก เครื่องเดินไม่เรียบ และมีควันขาว จึงถอดหัวเทียนออกมาดู พบว่าที่เขี้ยวแฉะไปด้วยน้ำมันเหนียวๆ จะทำอย่างไรดีให้หัวเทียนหายแฉะ ?
ตอบ : ปัญหาเรื่องหัวเทียนแฉะนั้น เป็นตัวบ่งบอกถึงสภาพของเครื่องยนต์รถคุณได้ อย่างแรกมันบอกให้คุณรู้ว่าความฟิทของเครื่องยนต์ไม่ถึง 90 เปอร์เซนต์ พูดง่ายๆ คือ เครื่องยนต์อาจจะหลวม ทำให้มีน้ำมันเครื่องเล็ดลอดเข้ามาในห้องเผาไหม้ได้ แต่ไม่สามารถชี้ชัดไปได้ว่า รถของคุณเข้าข่ายนี้หรือไม่ เพราะที่บอกว่าหัวเทียนแฉะนั้น เป็นเพราะน้ำมันเครื่องหรือน้ำมันเบนซิน ถ้าแฉะด้วยน้ำมันเครื่องก็แน่นอนว่า เครื่องยนต์หลวม แต่ถ้าแฉะด้วยน้ำมันเบนซิน อาจเป็นเพราะน้ำมันเชื้อเพลิงถูกเผาไหม้ไม่หมด
ส่วนหนึ่งก็เป็นไปได้จากที่คุณขับรถอยู่แต่ในเมืองที่การจราจรแออัด ทำให้เครื่องยนต์ไม่มีโอกาสทำงานในรอบเครื่องสูงๆ จึงมีน้ำมันส่วนหนึ่งหลงเหลืออยู่หลังการเผาไหม้ ทางแก้คือ ต้องหาทางนำรถของคุณไปวิ่งทางไกลด้วยความเร็วสูงบ้าง เพื่อไล่น้ำมันและทำความสะอาดห้องเผาไหม้ ส่วนที่ว่าจะใช้หัวเทียนเบอร์อะไร ขอแนะนำให้สอบถามไปยังศูนย์บริการโดยตรงจะดีกว่า
ถ้าเปลี่ยนเบอร์ของหัวเทียนก็แล้ว นำรถไปวิ่งทางไกลด้วยความเร็วสูงก็แล้ว อาการหัวเทียนแฉะยังไม่หาย ขอแนะนำให้นำรถไปโอเวอร์ฮอลเครื่องยนต์ใหม่ น่าจะเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ดีสำหรับคุณ
เรื่องขันนอทล้อ
ฉบับที่สองจาก สมพิศ สว่างแสง/จ. นครราชสีมา สงสัยการขันนอทล้อ จะรู้ได้อย่างไรว่าแน่น
ถาม : ดิฉันขับรถเป็นอย่างเดียว และรถคันที่ใช้อยู่เป็นรถขับเคลื่อน 4 ล้อคันแรก ยังไม่เคยเปลี่ยนยางด้วยตัวเองเลย จึงมีข้อสงสัยว่าการขันนอทล้อ จะรู้ได้อย่างไรว่าขันแน่นแล้ว และเมื่อขับไปแล้วจะไม่เกิดเหตุการณ์ล้อวิ่งนำหน้ารถ ช่วยแนะนำให้ทราบด้วย ?
ตอบ : ปัญหาเรื่องการขันนอทล้อ เป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะนอกจากจะเกี่ยวกับความปลอดภัยในการขับขี่แล้ว ยังอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ นอทล้อเป็นอะไหล่ส่วนหนึ่งของตัวรถ ทำหน้าที่ร่วมกับสตัดหรือโบลท์ นอทที่ใช้ยึดล้อรถถูกออกแบบให้มีลักษณะพิเศษ คือ เมื่อขันนอทเข้าจนสุดระยะของสตัดแล้ว บ่าของนอทล้อจะแนบสนิทกับร่องบ่าของกระทะล้ออย่างพอดี แรงบิด ทอร์ค หรือแรงที่ใช้ขันนอท ขึ้นอยู่กับการคำนวณของวิศวกรว่าต้องขันนอทล้อให้แน่นด้วยแรงบิด หรือทอร์คเท่าใด มีหน่วยเป็นปอนด์ฟุต/ตารางนิ้ว
ที่โรงงานประกอบรถยนต์จะมีเครื่องมือที่เรียกว่า ทอร์คเรนช์ ทำหน้าที่ขันนอทล้อให้แน่นตามค่าที่กำหนดไว้ นอกจากจะมีใช้ที่โรงงานประกอบรถยนต์แล้ว ตามศูนย์บริการรถยนต์ที่ได้มาตรฐานก็มีเครื่องมือนี้เช่นเดียวกัน แต่เท่าที่เห็นเครื่องมือตัวนี้มีใช้กันน้อยมาก แม้กระทั่งร้านรับเปลี่ยนยางเองยังไม่มีใช้ อาจเป็นเพราะราคาแพง เลยต้องอาศัยความรู้สึกมาเป็นมาตรฐานในการขันนอทล้อ ช่างบางคนขึ้นไปยืนขย่มบนด้ามประแจ บางคนนำท่อเหล็กมาสวมต่อด้ามของประแจ หารู้ไม่ว่า เป็นวิธีที่เสี่ยงต่อการหัก ขาด ของสตัดแกนนอทล้อ
อย่างที่บอกนั่นแหละว่า การขันนอทล้อที่ถูกต้องนั้น ต้องอาศัยเครื่องมือที่เรียกว่า ทอร์คเรนช์ แต่ด้วยเหตุผลที่ว่าเครื่องมือนี้มีราคาแพง จึงอยากแนะนำวิธีที่สามารถทำได้ด้วยตนเอง แม้ว่าจะไม่ถูกต้องตามมาตรฐาน แต่ก็ให้ความมั่นใจในความปลอดภัยได้มากพอสมควร
เริ่มตั้งแต่การสวมนอทล้อเข้ากับร่องเกลียวของสตัด ให้สวมด้วยการใช้นิ้วมือค่อยๆ บิดเข้าไป ระวังอย่าให้ปีนเกลียว ขั้นตอนแรกนี้ยังไม่ต้องใช้ประแจใดๆ เข้าช่วย เมื่อขันนอทล้อด้วยมือจนครบทุกตัวแล้ว ขั้นตอนต่อไปจึงค่อยใช้ประแจขันต่อ การขันช่วงนี้ให้จำหลักว่าให้จับคู่ในการขัน โดยจับคู่นอทล้อในลักษณะตรงกันข้าม เช่น นอทล้อ 4 ตัว ให้จับคู่ 1-3 และ 2-4 ห้ามขันในลักษณะเรียงตามกันไปตามแนวเส้นรอบวงเป็นอันขาด
การขันให้กะว่าออกแรงกดด้วยมือจนสุด ไม่สามารถขันต่อไปได้อีก ไม่ต้องถึงขนาดที่ว่าต้องมีเสียงเอี๊ยด เพียงแค่นี้คุณก็มั่นใจได้ว่า ล้อรถจะไม่วิ่งแยกทางกับตัวรถแน่นอน ขอเตือนไว้อย่างหนึ่งว่า หากสตัดล้อใดล้อหนึ่งเกิดขาดหรือหัก อย่าได้ฝืนใช้งานวิ่งต่อ เพราะนอกจากจะทำให้ศูนย์ล้อผิดไป ยังทำให้ล้อเกิดการสั่นกระพือ หากพบว่ามีสตัดตัวหนึ่งตัวใดขาด ควรรีบจัดการเปลี่ยนใหม่โดยทันที
พวงมาลัยเพาเวอร์
ฉบับสุดท้ายจาก พรทิพย์ สวัสดิโสภณ/จ. นครปฐม อยากรู้วิธีดูแลพวงมาลัยเพาเวอร์
ถาม : รถที่ดิฉันใช้อยู่เป็นระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ ใช้มาหลายปีแล้วยังไม่มีปัญหาอะไร อยากทราบวิธีการดูแลรักษาเบื้องต้นว่าควรทำอย่างไร ?
ตอบ : ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ เป็นการทำงานของระบบไฮดรอลิค ที่อาศัยน้ำมันไฮดรอลิค หรือน้ำมันเพาเวอร์เป็นตัวขับเคลื่อนระบบ โดยมีปั๊มเพาเวอร์เป็นตัวสร้างแรงดันให้กับระบบ
และมีสายพานเป็นตัวขับเคลื่อนปั๊มเพาเวอร์ ในขณะที่พวงมาลัยตั้งตรงเวลาจอดรถอยู่กับที่ หรือวิ่งในทางตรง แรงดันในระบบจะเป็นปกติ แต่เมื่อใดที่พวงลัยถูกหมุนเพื่อเปลี่ยนทิศทาง
วาล์วปรับเปลี่ยนแรงดันของระบบ จะเพิ่มแรงดันในล้อด้านหนึ่งและลดแรงดันในล้ออีกด้านหนึ่ง แรงดันนี้จะเพิ่มมากขึ้นตามองศาหักเลี้ยวของล้อ ยิ่งหักเลี้ยวมากเท่าไร ปั๊มเพาเวอร์ก็ต้องส่งแรงดันมากขึ้นตาม
อย่างเช่นในกรณีหักเลี้ยวพวงมาลัยไปทางขวา วาล์วปรับแรงดันจะเปิดให้แรงดันส่งผ่านไปยังล้อฝั่งซ้ายมากขึ้น ในขณะที่แรงดันที่ส่งไปยังล้อฝั่งขวาจะถูกลดลง และวาล์วปรับแรงดันจะทำงานตรงกันข้ามเมื่อหักเลี้ยวพวงมาลัยไปทางซ้าย การหักพวงมาลัยไปด้านใดด้านหนึ่งจนสุดและค้างไว้เป็นเวลานาน จะทำให้เกิดแรงดันสูงต่อเนื่องในระบบ อาจจะทำให้ชิ้นส่วนใดชิ้นส่วนหนึ่งของระบบเกิดความเสียหาย
ดังนั้นเมื่อต้องการเลี้ยวยูเทิร์นอ้อมเกาะกลาง ไม่ควรหักพวงมาลัยจนสุดค้างรอไว้นานๆ เพื่อเป็นการช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบ
การดูแลรักษาระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ เป็นไปตามระยะที่ระบุไว้ในคู่มือการใช้รถ เช่น การตรวจสอบระดับน้ำมันเพาเวอร์ การตรวจสอบสภาพของสายพานเพาเวอร์ การที่ปล่อยให้น้ำมัน
เพาเวอร์พร่องไป จะทำให้เกิดอาการพวงมาลัยหนักบ้างเบาบ้างในบางจังหวะ หรือหากสายพานเกิดหย่อนขึ้นมา ก็อาจทำให้พวงมาลัยหนักขึ้นในบางจังหวะได้เช่นกัน ขอแนะนำให้หมั่นตรวจเชคตามระยะที่กำหนดไว้ในคู่มือ เชื่อได้เลยว่าคุณจะใช้งานพวงมาลัยเพาเวอร์ได้อย่างไร้ปัญหา
ABOUT THE AUTHOR
อ
อีซี แมน
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : เทคนิค