ท่องเที่ยว
ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ ฯ นำคาราวานลูกค้า อีซูซุ เดินทางสู่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ในรายการ "คาราวานอีซูซุ ซูเพอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร"
ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ ฯ นำคาราวานลูกค้า อีซูซุ เดินทางสู่เมืองหลวงพระบาง ประเทศลาว ในรายการ "คาราวานอีซูซุ ซูเพอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร"
ปนัดดา เจณณวาสิน กรรมการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด สอางค์ศรี วรรณยิ่ง ผู้ช่วยผู้อำนวยการ การท่องเที่ยวสำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขต 5 และ กวี กิตติสถาพร รองผู้ว่าราชการ จ. อุดรธานี ร่วมเป็นประธานในพิธีตีธงปล่อยรถขบวนคาราวานจำนวน 26 คัน จาก หจก. เฮียบหงวนมิลเลอร์ จ. อุดรธานี สู่ จ. หนองคาย ข้ามเข้าประเทศลาวทางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เพื่อเดินทางสู่นครหลวงเวียงจันทน์ซึ่งห่างจากชายแดนไทย
เพียง 25 กม.
สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศลาววันแรกคือ แวะสักการะ "วัดพระธาตุหลวง" ซึ่งเป็นพระธาตุที่มีขนาดใหญ่ และสูงที่สุดในลาว ถึง 45 เมตร ในช่วงวันเพ็ญเดือนสิบสองของทุกปีจะมีงานบุญใหญ่บูชาพระธาตุ ประชาชนจะหลั่งไหลมาทำบุญตักบาตร เวียนเทียนรอบองค์พระธาตุและถวายพานพุ่มดอกไม้และปราสาทผึ้ง ผนังกำแพงรอบๆ องค์พระธาตุหลวงประดับด้วยศิลปะภาพวาดของ อาจารย์คำสุข ศิลปินที่มีชื่อเสียงของลาว ว่ากันว่าถ้าผู้ที่มานมัสการเดินรอบองค์พระธาตุครบ 1 รอบ อายุจะยืนยาว 30 ปี
จากนั้นเราเดินทางต่อไปยัง "อนุสาวรีย์ประตูชัย" ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเวียงจันทน์ ซึ่งงดงามด้วยสถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างศิลปะล้านช้างกับฝรั่งเศสและอินเดียอย่างน่าทึ่ง ด้านบนของอนุสาวรีย์เมื่อขึ้นไปจะพบกับร้านค้าขายของที่ระลึกมากมาย
เมืองเวียงจันทน์มีฉายาว่า "จำปาล้านช้าง" ซึ่งมีดอกจำปาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองลาว อนุสาวรีย์ประตูชัย เปลี่ยนมาเป็น "ประตูชัย" เมื่อปี คศ. 1996 หมายถึงประตูแห่งชัยชนะ สถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อเปลี่ยนการปกครองเพื่อระลึกถึงนักรบนิรนามต่างๆ ที่สละชีพเพื่อชาติ มีทั้งหมด 7 ชั้น มีบันได 197 ขั้น
ถนนจำปาล้านช้างเป็นถนนที่สวยที่สุดและเป็นที่พักผ่อนของชาวลาว ด้านบนสุดของประตูชัยสามารถมองเห็นเมืองเวียงจันทน์ได้โดยรอบ
ตึกที่เรามองเห็นระหว่างประตูชัย เรียกว่า ทำเนียบรัฐบาล หรือ หอคำ บริเวณแห่งนี้ยามค่ำจะมีผู้คนมานั่งเล่นพักผ่อนหย่อนใจ และดูน้ำพุเต้นระบำ หรือเรียกกันเล่นๆ ว่า บุญน้ำพุ
สร้างขึ้นเพื่อต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่มาประชุมเอเชียน ครั้งเมื่อลาวเป็นเจ้าภาพ
หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน ณ ห้องอาหารตำหนักลาว กันเรียบร้อยแล้วก็เดินทางขึ้นไปทางเหนือ (ขับไปตามทางหลวงหมายเลข 13 เหนือ) สู่เมืองวังเวียง ห่างจากเวียงจันทน์ประมาณ 119 กม. เส้นทางค่อนข้างเป็นธรรมชาติ ป่าไม้ยังคงความสมบูรณ์ตลอดทางเหมือนต่างจังหวัดในบ้านเราเมื่อ 30 ปีก่อน
วังเวียงได้ฉายาว่า "กุ้ยหลินแห่งเมืองลาว" ธรรมชาติสวยงาม ได้เห็นวิถีชีวิตของชาววังเวียง ที่ยังคงอาศัยแม่น้ำเป็นหัวใจในการดำเนินกิจวัตรประจำวัน ตัวเมืองตั้งอยู่ริมแม่น้ำซอง ล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูง ซึ่งวังเวียงเป็นจุดชมพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่สวยงามมากแห่งหนึ่งของลาว นักท่องเที่ยวที่นิยมมาพักที่วังเวียงส่วนใหญ่เป็นชาวตะวันตก ที่เราเรียกว่า แบค แพคเคอร์ (Back Packer) หรือกลุ่มนักเที่ยวสะพายเป้ พวกนิยมความอิสระ หรือปัจเจกชนทั้งหลาย เห็นรถไถนาเดินตามที่เปลี่ยนสภาพมีพ่วงท้ายพานักท่องเที่ยวไปยังเชิงเขาที่อยู่ไกลออกไป ซึ่งเป็นภาพที่เจนตาของคนที่นี่ไปซะแล้ว
เช้าวันที่สองของการเดินทาง คณะคาราวานได้สัมผัสกับทะเลหมอกเต็มยอดภู อากาศเย็นสบาย และเมื่อได้เวลานัดหมายเราก็ออกเดินทางจากที่พักเพื่อไปยังหลวงพระบาง
ระยะทางจากวังเวียงสู่หลวงพระบางประมาณ 180 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4-5 ชม. เส้นทางที่ผ่านสองข้างทางมีทัศนียภาพที่สวยงามตระการตายิ่งนัก ทั้งทิวเขา ไร่นาแบบขั้นบันได และหมู่บ้านชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆ ของลาว อาทิ ลาวสูง ลาวเทิง ลาวม้ง ไทลื้อ ตลอดสองข้างทางที่รถขับผ่าน ด้วยเส้นทางอันคดเคี้ยวตลอดการเดินทาง เมื่อถามจำนวนโค้งกับคนขับรถของลาวว่าเส้นทางนี้มีกี่โค้ง คำตอบที่ได้ก็คือ "2 โค้ง ได้แก่ โค้งซ้าย โค้งขวาไง" นับไม่ถูกเพราะเยอะมากนั่นเอง
เมื่อเราเข้าที่พักโรงแรมเดอะแกรนด์ หลวงพระบาง เรียบร้อยแล้วก็เตรียมตัวออกเดินทางไปสักการะ "พระธาตูพูสี" ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาสูง 150 เมตร กลางตัวเมืองหลวงพระบาง ด้วยบันได 328 ขั้น เรียกเหงื่อของพวกเราได้เป็นอย่างดี พระธาตุองค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของเมือง ใครก็ตามที่มาเยือนเมืองนี้จะต้องขึ้นไปบูชาพระธาตุ ถ้าไม่ขึ้นไปบูชาก็เหมือนว่ามาไม่ถึงหลวงพระบาง เมื่อขึ้นถึงยอดพูสี จะมองเห็นภาพของเมืองเก่าแก่ มรดกโลกแห่งนี้ตลอดแนวเป็นริมลำน้ำกว้างสุดสายตา ล้อมรอบด้วยทิวเขาสลับซับซ้อน สมกับนามที่ว่า "บ้านผา เมืองภู อู่อารยธรรม ล้านช้าง" จากนั้นก็เดินชอพพิงสินค้าพื้นเมืองนานาชนิดจาก "ถนนข้าวเหนียว" ซึ่งเต็มไปด้วยผ้าไหม ผ้าฝ้าย และผ้าอื่นๆ มากมาย ตลอดจนเครื่องเงินและงานฝีมือของชาวลาว
ยามค่ำของวันนี้อากาศชื่นมื่นและอบอุ่นมาก เพราะคณะเจ้าภาพ อีซูซุ ได้จัดพิธีบายศรีสู่ขวัญโดยผู้เฒ่าผู้แก่ที่นับถือของชาวลาวมาร่วมในพิธีกันอย่างคับคั่ง เริ่มพิธีการบายศรีต้อนรับคณะของเรา จากนั้นร่วมรับประทานอาหาร และจับรางวัลผู้โชคดี พร้อมของที่ระลึกจาก อีซูซุ ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปพักผ่อน
เช้าวันที่สามของการเดินทาง ทุกคนตื่นแต่เช้าเพื่อร่วม "ตักบาตรข้าวเหนียว" ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาแต่โบราณของชาวลาว โดยมีพระสงฆ์ 200 กว่ารูป จากวัดในหลวงพระบางกว่า 40 วัด เดินเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ เริ่มจากเจ้าอาวาสที่อาวุโสสุดในหลวงพระบาง ท้ายสุดจะเป็นเณรน้อยของแต่ละวัด เป็นภาพที่สวยงาม น่าเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่ง เมื่อทุกคนอิ่มเอมกับการตักบาตรข้าวเหนียวแล้วก็เดินชมตลาดเช้าของหลวงพระบาง ซึ่งมีสินค้าหลายชนิดที่ไม่คิดว่าจะมีขายในตลาดนอกจากผักสด อาทิ นกฮูก, กระรอก,
สัตว์เลื้อยคลานบางชนิด และอื่นๆ
ช่วงสายเราเดินทางท่องเที่ยวไปตามวัดและสถานที่สำคัญต่างๆ ของเมืองหลวงพระบาง สถานที่แรกคือ "พระราชวังหลวง" ในอดีตที่นี่เป็นที่ประทับของเจ้ามหาชาติลาว สร้างในปี พศ. 2447 โดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบ ปัจจุบันเปลี่ยนมาเป็นพิพิธภัณฑ์ มีหอประดิษฐานพระบาง พระพุทธรูปปางห้ามสมุทร สูง 1.14 เมตร หนัก 54 กิโลกรัม ทำด้วยทองคำกว่า 90 % เป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของหลวงพระบาง และเป็นที่มาของชื่อเมืองหลวงพระบางตามชื่อพระบางนั่นเอง
จากนั้นเดินทางไป "วัดเชียงทอง" เป็นวัดหลวงที่สวยที่สุดในหลวงพระบาง ได้รับการยกย่องเป็นอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาวจากช่างสกุลล้านช้าง สร้างขึ้นในปี คศ. 1560 มีอายุกว่า 400 ปี วัดนี้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จุดเด่นของวัดนี้อยู่ที่โครงสร้างแบบหลังคาทรงเตี้ยหลายชั้นซ้อนกัน มีช่อฟ้าทั้งหมด 17 ช่อ สังเกตว่าวัดที่หลวงพระบางจะมีพระธาตุตั้งอยู่ด้านหน้าทั้งหมด และต้องมีด้วยกัน 5 อย่าง จึงจะประกอบเป็นวัดได้ คือ ใบเสมา อาราม พระธาตุ พระพุทธรูป พระสงฆ์ สามเณร ใบเสมาของลาวจะเป็นรูปดอกบัวตูม ซึ่งต่างจากไทยที่เป็นรูปธรรมจักร ด้านหลังจะเป็นที่ประดิษฐานของพระม่าน พระพุทธรูปที่อัญเชิญมาจากพม่า พระพุทธรูปองค์นี้เป็นที่เคารพนับถือของชาวหลวงพระบาง เช่นเดียวกับองค์พระบางที่ประดิษฐานในพระราชวังหลวง
ภายในบริเวณวัดแห่งนี้ ประกอบด้วย โบสถ์ และฮูปแต้มเมืองลาว ลวดลายหม้อดอกไม้ หรือที่ทางล้านนาเรียกว่า ศิลปะไร้มายา นอกจากนั้นยังมี "โรงเมี้ยนโกศ" หรือ "โรงราชรถ" ของพระเจ้าศรีสว่างวงศ์ กษัตริย์ของลาว เป็นเรื่องรามเกียรติ์ ตอนนางสีดาลุยไฟ แค่ยืนชมยังรู้สึกถึงความร้อนรอบกาย ฝีมือแกะสลักของช่างเพียตัน แล้วไปยัง "วัดวิชุนราช" หรือ "วัดแตงโม" วัดเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งของหลวงพระบาง สร้างเมื่อปี พศ. 1500 ในรัชสมัยของพระเจ้าวิชุนราช ตัวโบสถ์สร้างขึ้นเป็นแบบศิลปะสิบพันนา หรือ แบบไทลื้อ มีจุดเด่นอยู่ที่องค์พระธาตุ ที่มีลักษณะเป็นรูปแตงโมผ่าครึ่ง มีชื่อว่า "พระธาตุตะกุย" หรือชาวบ้านเรียกว่า "พระธาตุหมากโม" ซึ่งสร้างขึ้นภายหลังการสร้างวัดวิชุนราช 10 ปี เป็นศิลปะผสมแบบสุโขทัย สร้างขึ้นมาครอบวัตถุมีค่าต่างๆ เพื่อป้องกันการปล้นสะดมของโจรฮ้อ แต่หลังจากนั้นเมื่อพระเจ้าอุ่นคำ ขึ้นมาปกครอง มีการบูรณะพระธาตุองค์นี้ ได้ขุดพบพระพุทธรูปทองคำมากมายจึงนำไปเก็บรักษาไว้ที่พระราชวัง
เสน่ห์ของเมืองหลวงพระบางวันนี้ อยู่ที่การได้มาถึงและสัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้านที่นี่ การปรับเปลี่ยนชีวิตของชาวหลวงพระบางแท้ๆ ค่อนข้างจะมองภาพลำบากว่าแต่เดิมนั้นอยู่กันอย่างไร เพราะหลวงพระบางวันนี้ความเจริญหลายๆ ด้านได้แทรกซึมมาพร้อมกับผู้มาเยือน
กว่าที่ องค์การยูเนสโก (UNESCO: UNITED NATIONS EDUCATIONAL, SCIENTIFIC AND CULTURAL ORGANIZATION) จะกำหนดให้หลวงพระบางเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของโลกได้นั้น คาดว่าต้องใช้เวลาศึกษากันนานพอดู อีกอย่างที่ทำให้วัฒนธรรมที่นี่ค่อนข้างจะปรับเปลี่ยนได้ช้าก็น่าจะเป็นเรื่องการคมนาคมติดต่อกับโลกภายนอก ที่ดูเหมือนว่าค่อนข้างจะลำบากสักหน่อย หรืออาจเป็นเพราะศรัทธาอันแรงกล้าในพุทธศาสนา ดุจเดียวกับองค์ไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์ผู้ตั้งมั่นในพุทธศาสนาอย่างมั่นคง จนสืบสานความเชื่อนั้นมาจนถึงลูกหลานชาวหลวงพระบางในวันนี้
ช่วงบ่ายคณะคาราวานเดินทางสู่ "น้ำตกตาดกวางสี" เป็นน้ำตกที่ขึ้นชื่อในความสวยงามของหลวงพระบาง อยู่ห่างจากเมืองหลวงพระบางประมาณ 35 กม. การเดินทางเริ่มต้นจากถนนที่ตัดผ่านวัดหัวเซียง บริเวณร้านขายข้าวปุ้นน้ำแจ่ว ผ่านถนนพะลานไชย ต่อมายังถนนวัดป่าสามัน สะพานข้ามห้วยโฮป ขับไปเรื่อยๆ ไม่นานนักก็ถึงบริเวณอุทยานตาดกวางสี ก่อนถึงน้ำตกมีร้านค้าของชุมชนชาวบ้านแถบนั้นที่ได้รับสัมปทานในการให้ขายอาหาร แลกกับการอพยพลงมาจากบริเวณยอดดอยซึ่งเป็นที่ตั้งของต้นน้ำ เพื่อป้องกันปัญหาการตัดไม้ทำลายป่าและเพื่อรักษาสภาพป่าต้นน้ำเอาไว้ บริเวณโดยรอบของน้ำตกค่อนข้างสะอาดร่มรื่น ลักษณะเป็นชั้นเดียวที่ดูค่อนข้างสูง มีบันไดไม้ให้เดินลัดเลาะขึ้นไปเที่ยวชมความงามได้ถึงชั้นบนสุด แอ่งน้ำด้านล่างใสสะอาดเป็นสีเขียวมรกตที่อุดมด้วยแร่ธาตุ เราใช้เวลาอยู่ที่น้ำตกกว่า 2 ชั่วโมงเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนาน แล้วก็เดินทางกลับโรงแรมที่พักด้วยความอ่อนล้า เพราะผจญแดดตลอดทั้งวัน อากาศที่หลวงพระบางไม่ต่างจากกรุงเทพ ฯ ของเราเท่าไร ถึงเหนื่อยแต่ก็คุ้มค่าสำหรับการเดินทาง จากนั้นในช่วงเย็นเรายังพอมีเวลาไปชอพพิงที่ถนนข้าวเหนียวกันอีกรอบ คราวนี้ได้ต่อรองราคากันอย่างสนุกสนาน หลังจากอิ่มอร่อยกับอาหารเย็น เราก็เดินทางกลับที่พักเพื่อพักผ่อน
วันรุ่งขึ้นหลังจากอาหารเช้า คณะของเราแวะเยี่ยมเยือน "หมู่บ้านผานม" หมู่บ้านวัฒนธรรมของหลวงพระบางแห่งหนึ่งที่ทางการได้จัดส่งเสริมให้ชาวบ้านผลิตสินค้าหัตถกรรมดั้งเดิม เช่น ผ้าทอมือ ไม้แกะสลักลวดลายตามแบบศิลปะของชาวเมืองหลวงพระบาง ที่หมู่บ้านแห่งนี้จะมี "ศูนย์แสดงสินค้าและหัตถกรรม" ประจำหมู่บ้าน คล้ายกับว่าเป็นตลาดกลาง หรือสหกรณ์หมู่บ้าน มีการแสดงกรรมวิธีการทอผ้า การสาวไหม และการปั่นฝ้าย ให้นักท่องเที่ยวได้ชมกันอีกด้วย เราใช้เวลาจับจ่ายซื้อของฝากกันไม่นานนัก ก็อำลาหลวงพระบาง เดินทางกลับเข้าสู่ประเทศไทย โดยใช้เส้นทางเดียวกันกับเมื่อตอนขามา การเดินทางครั้งนี้คณะของเราได้รับความสนุกสนาน คุ้มค่า
ประทับใจกับมิตรภาพที่คนต่างถิ่นอย่างเราได้รับจากผู้คนเมืองลาว
เรื่องโดย : ถาวร พรมพิทักษ์
นิตยสาร 4wheels ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : ท่องเที่ยว
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://www.autoinfo.co.th/archive/13160