NEW MG HS PHEV (เอมจี เอชเอส พีเอชอีวี ใหม่) เป็นรถเอสยูวีที่ผสานเครื่องยนต์เข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า ในรูปแบบของพลัก-อิน ไฮบริด ซึ่งกำลังเป็นทเรนด์ของรถในยุคสมัยนี้
จุดขายหลักของ NEW MG HS PHEV กำหนดไว้ 3 ฟังค์ชัน ได้แก่ FASHION, IMPRESSIVE DRIVING TECHNOLOGY และ FUTURISTIC LIFESTYLE ถ้าเราพิจารณาเรื่องแรก เรื่องแฟชันรถยนต์ MG ในปัจจุบันนี้ มีความโดดเด่นในเรื่องการออกแบบที่อิงกับสไตล์รถยุโรปอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะ NEW MG HS PHEV ที่มี CURVE DESIGN ตั้งแต่ซุ้มล้อหน้า ตัวถังด้านข้าง และซุ้มล้อหลัง มีความโค้งมน ในสัดส่วนที่สวยลงตัว ส่วนกระจังหน้านั้นดูแวววาวตามแบบฉบับของ STELLA MAGNETIC FIELD ที่ช่วยให้ด้านหน้ารถดูหรูหรา มีเสน่ห์ ไฟหน้าดูโฉบเฉี่ยวแบบ LED PROJECTOR ส่วนไฟท้ายแบบ LED SEQUENTIAL เสริมความหล่อด้วยล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว แบบ THUNDER WIND BRADE
สำหรับภายในห้องโดยสาร บอกเลยว่าดูดีตามสไตล์รถยุโรป NEW MG HS PHEV มีสีตัวถังให้เลือก 3 เฉดสี ได้แก่ ขาว ARC WHITE ที่มาพร้อมเบาะนั่ง และภายในห้องโดยสาร ทูโทน MONACO BLUE ส่วนแดง SCARLET RED และดำ BLACK KNIGHT จะมาพร้อมเบาะนั่ง และภายในห้องโดยสารดำขลิบแดง ดูสปอร์ทเคร่งขรึม นอกจากนี้ ยังมี AMBIENT LIGHT 64 เฉดแสงสี จุดเด่นของห้องโดยสารที่เราต้องพูดถึง คือ หน้าจอแสดงผลการขับขี่ขนาด 12 นิ้ว แบบ FULL VIRTUAL DASHBOARD ส่วนจอเอนเตอร์เทนเมนท์ขนาด 10 นิ้ว แบบทัชสกรีน มาพร้อมระบบเสียงรอบทิศทาง 8.1 SURROUND ของ BOSE ให้คุณภาพเสียงที่รื่นรมย์
จุดขายที่ 2 คือ IMPRESSIVE DRIVING ข้อมูลจำเพาะของ NEW MG HS PHEV ระบุว่า กำลังสูงสุดรวม 284 แรงม้า โดยแบ่งเป็นกำลังจากเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 16 วาล์ว DOHC เทอร์โบ TGI ความจุ 1.5 ลิตร 162 แรงม้า ที่ 5,500 รตน. แรงบิด 25.0 กก.-ม. ที่ 1,700-4,300 รตน. ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าให้กำลัง 122 แรงม้า แรงบิด 23.0 กก.-ม. ถ่ายทอดกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 10 จังหวะ EDU ควบคุมด้วยไฟฟ้า ในโหมดขับขี่สามารถเลือกปรับได้หลายโหมด เช่น EV, ECO, NORMAL, SPORT และ SUPER SPORT จุดเด่นของมอเตอร์ไฟฟ้าใน NEW MG HS PHEV เป็นแบบ HAIRPIN WINDING MOTOR ให้สมรรถนะสูงทั้งแรงม้า และแรงบิด ระบายความร้อนได้ดี อีกทั้งยังมีขนาดเล็ก จึงสามารถเลือกติดตั้งได้ในหลากหลายขนาดพื้นที่ ส่วนแบทเตอรีสำหรับเก็บกระแสไฟฟ้า เป็นแบบลิเธียม-ไอออน จำนวน 6 โมดูล ความจุ 16.6 กิโลวัตต์ชั่วโมง มีจุดเด่นตรงที่มีระบบควบคุมการทำงานแยกแต่ละโมดูล ระบายความร้อนด้วยน้ำ ข้อดีของแบทเตอรีชนิดนี้ คือ ง่ายต่อการบำรุงรักษา สามารถซ่อม และเปลี่ยนได้ โดยแยกแต่ละโมดูล ส่วนระยะเวลาในการชาร์จแบบ AC ถ้าใช้ชุดชาร์จ MG HOME CHARGER ใช้เวลาเพียง 4 ชม. ถ้าชาร์จด้วย MG CHARGING CABLE ใช้เวลา 5 ชม. สำหรับความปลอดภัยนั้น ต้องบอกว่าเป็นนิยามใหม่ของรถ PHEV เพราะติดตั้งระบบความปลอดภัยต่างๆ รอบคันมากถึง 25 ระบบ จุดขายที่ 3 คือ FUTURISTIC LIFESTYLE เช่น โหมด EV สามารถวิ่งได้ระยะทาง 67 กม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ทำได้ 7.5 วินาที และคายไอเสียต่ำแค่ 36 กรัม/กม. มีความมั่นใจในการขับขี่ เพราะมีการวางแบทเตอรีตรงกลางรถ ช่วยลดอาการโคลงขณะเข้าโค้ง ยังมีการเชื่อมต่อการใช้งาน MG HOME CHARGER ผ่าน I-SMART MOBILE APPLICATION ช่วยควบคุมการทำงานเปิด/ปิด ตั้งค่าโหมดการชาร์จแบทเตอรี รวมถึงแสดงสถานะแบทเตอรี ระยะเวลาในการชาร์จ และสถานการณ์ชาร์จ เป็นต้น จากการทดลองขับกับระยะทางรวม 63 กม. ช่วงแรกวิ่งเบาๆ 30 กม. ฝ่ารถติดจาก CDC เลียบทางด่วนรามอินทราฯ-พุทธมณฑล สาย 1 ช่วงที่ 2 ระยะทาง 16 กม. จากพุทธมณฑล สาย 1-สาทร และช่วงสุดท้าย ระยะทาง 18 กม. จากสาทร-CDC เลียบทางด่วนรามอินทราฯ...ความเร็วเฉลี่ยช่วงเช้า ประมาณ 24.88 กม./ชม. เราใช้โหมด EV ยังมีพลังงานไฟฟ้าเหลือๆ ส่วนความเร็วเฉลี่ยช่วงที่ขับในเมือง ประมาณ 24.13 กม./ชม. ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงของรถในโหมด EV 58-100 กม./ลิตร ใช้งานโหมด EV ตลอด มีพลังงานไฟฟ้าเหลือพอซึ่งสอดคล้องกับสภาพการใช้งานจริงถ้าเราต้องขับรถจากบ้านมาออฟฟิศ เดินทางไปทำธุระ เรายังมีพลังงานไฟฟ้าเหลือขับกลับได้แบบสบายๆ แต่ถ้าต้องเดินทางไกลกว่านี้ ยังอุ่นใจได้ด้วยพลังงานจากเครื่องยนต์สันดาป
หน้าตาหล่อล่ำ สไตล์ยูโรเพียนคาร์ ระบบความปลอดภัยใส่มาเต็มพิกัด อุ่นใจมากขึ้นกับพลัก-อิน ไฮบริด ใช้น้ำมันก็ได้ ใช้ไฟฟ้าก็ประหยัด ที่สำคัญราคาถูกสุดในกลุ่ม PHEV แต่วิ่งได้ระยะทางไกลสุด !
บทความแนะนำ คอลัมน์ ทดลองขับ(4wheels)