รอบรู้เรื่องรถ
ขับรถสปอร์ทเครื่องแรง ต้องมีทักษะพิเศษหรือไม่ ?
มีคำถามต่อเนื่องมาจากฉบับเดือนพฤษภาคม โดยสมาชิกท่านหนึ่ง ว่า นอกจากไม่เกี่ยงเรื่องสูงวัย ถ้ามีความพร้อมด้านการเงินแล้ว ในด้านอื่นนั้น คุณสมบัติของผู้ที่สมควรใช้รถสปอร์ทคืออะไรบ้าง ? จริงหรือไม่ ? ที่คนไทยเราเชื่อกันว่า ต้องเป็นผู้ที่ชอบขับรถเร็ว หรือต้องมีทักษะเป็นพิเศษ เหนือระดับเฉลี่ย ในการขับรถที่ความเร็วสูง เป็นความสูญเปล่า ความไม่ฉลาด และไร้เหตุผลหรือไม่ ? หากซื้อรถกำลังสูง ความเร็วสูง มาใช้ในประเทศที่มีถนน และการจราจร เช่น ประเทศไทยของเรา เป็นคำถามที่ดีมากครับ และผมเชื่อว่าคำตอบเหล่านี้ ที่แม้จะเป็นเรื่องรถยนต์ล้วนๆ แต่ถ้าเข้าใจแล้ว ก็สามารถนำไปใช้ช่วยตัดสินใจในการซื้อ หรือใช้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้อีกด้วยไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้ หรือความเข้าใจทางเทคนิคเป็นพิเศษเลยนะครับ ในการตอบคำถามแรกนี้ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์อะไรก็ตาม ผู้ซื้อ หรือลูกค้าไม่จำเป็นต้องเอาไปใช้งานให้ครบถ้วนทุกด้าน เพราะผู้ผลิตเขาต้องแข่งขันช่วงชิงลูกค้ากัน จึงอยากตอบสนองความต้องการให้ครอบคลุมรอบด้านไว้ก่อน ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าสิ่งนั้นมันอำนวยความสะดวกให้เราได้ 10 อย่าง ไม่ใช่ความโง่ หรือความผิดเลยนะครับ ถ้าเรามีเงินพอ และพอใจในคุณสมบัติของมันเพียง 1 หรือ 2 อย่างเท่านั้น ในการตัดสินใจซื้อมาใช้ เช่น โทรศัพท์มือถือบแรนด์ และรุ่นที่เป็นที่ต้องการของคนทั่วโลก ราคาในประเทศเราประมาณ 3-4 หมื่นกว่าบาท เชื่อไหมครับว่าหากทำการสอบถาม และบันทึกเป็นสถิติไว้ ผมเชื่อว่าผู้ที่ซื้อมันมาใช้นั้น จำนวนเกินครึ่ง ใช้มันทำหน้าที่เพียงไม่ถึงร้อยละ 10 ของที่ผู้ออกแบบ และผลิตมัน มาให้ และเท่าที่ผมได้เห็น คนที่ใช้มันแค่ไม่ถึงร้อยละ 2 ก็มีอยู่มากพอสมควร คือ ใช้คุยกับเพื่อน หรือคุยธุระ ด้วยเสียง หรือตัวอักษร อ่านข่าวและดูภาพ ทั้งภาพนิ่ง และภาพยนตร์ (เมื่อไรราชบัณฑิตสาขาภาษาไทย จะเอา ร ออกไปจากคำนี้เสียทีครับ ให้เหมือนกับ รถยนต์ หุ่นยนต์ เครื่องยนต์ เพราะที่มา และความหมายก็ไม่ได้ต่างกันเลย ผมสงสารเด็กนักเรียนที่ใฝ่รู้ รักความถูกต้อง และความแม่นยำตามตรรกะครับ) ไม่ได้เป็นความผิด หรือความไม่ฉลาดแต่อย่างใดเลยนะครับ แค่มีเงินเหลือเฟือที่จะซื้อมันมาใช้ เพราะชอบบแรนด์ที่เป็นที่รู้กันว่าสูงทั้งราคา คุณภาพ หรือเพียงเพราะชอบรูปทรง และสีสัน ในกรณีการใช้รถสปอร์ทก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกันเลย เราอาจจะซื้อมันมาขับเพราะชอบชื่อเสียง หรือชอบรูปทรงของมัน ซื้อเพราะมันมีเครื่องยนต์กำลังสูง ทั้งๆ ที่ไม่ได้ชอบใช้ความเร็วสูง อาจจะหวังเพียงให้มีอัตราเร่งที่ถูกใจ แซงรถอื่นได้โดยไม่มีความเครียด เพราะใช้เวลาน้อย บางคนอาจจะชอบเสียงที่ออกมาจากปลายท่อไอเสีย บางคนอาจจะไม่ได้ชอบอะไรเป็นพิเศษเลยก็ได้ ซื้อเพราะหวังความรู้สึกบางอย่างของผู้ที่ได้เห็น หรือวิสาสะด้วย ไม่มีอะไรที่ผิด หรือไม่สมควรเลยนะครับ ถ้ามีเงินเหลือพอ ซื้อมาแล้วถ้าไม่ได้ชอบขับเร็ว ก็ไม่ต้องฝืนทำด้วย ใช้มันเหมือนรถใช้งานทั่วไปก็ได้ เป็นสิทธิ์โดยชอบธรรมของเราครับ เพราะการขับรถให้เร็วนั้น ถ้าไม่คำนึงถึงความปลอดภัยแล้วละก็ ง่ายมากจริงๆ ครับ แค่ขยับข้อเท้าขวาเพื่อเหยียบคันเร่งให้ลึกพอเท่านั้นเอง และไม่ต้องใช้รถราคาสูง หรือรถเครื่องยนต์กำลังสูงด้วยครับ เพราะรถยุคนี้ทำความเร็วได้เกือบ 200 กม./ชม. กันเป็นอย่างน้อย ต่างกันแค่จะใช้เวลามาก หรือน้อยเท่านั้นเอง ในการเพิ่มความเร็ว ถ้าพบพวกที่หาเรื่องติ เท่าที่ผมประสบมามากมาย มีเหตุเดียวเท่านั้นครับ คือ ความริษยา ในเรื่องนี้ต้องชมพวกชาวตะวันตกเขานะครับ ผมอยากให้ลองดูคลิพเกี่ยวกับการใช้รถสปอร์ทบนถนนทั่วไปของพวกเขา ถ้าเป็นรถที่สวย หายาก เสียงเครื่องยนต์เพราะ หรือราคาสูงมาก ผู้คนที่รถเหล่านี้แล่นผ่าน จะมองด้วยความชื่นชม ยกโทรศัพท์ หรือกล้องขึ้นมาถ่ายไว้ดูซ้ำ หรือเพื่อเป็นที่ระลึก บางคนอาจจะทำสัญญาณด้วยมือ ว่ายินดีด้วย เจ้าของรถก็จะยิ้ม หรือส่งสัญญาณด้วยมือกลับไปว่า “ขอบคุณ” ถ้าเป็นคนไทยเราทุกอย่างจะตรงกันข้ามนะครับ ถ้ามีคนมองเพราะเป็นรถที่หายาก เป็นที่รู้กันว่าราคาสูงมาก เจ้าของจะทำท่าเย่อหยิ่ง ใครที่มีประสบการณ์ด้านลบที่ว่านี้ ครั้งต่อไปที่เห็นรถประเภทนี้ ถึงจะอยากมองก็ไม่มองมันอีกต่อไป แต่ก็มีกรณีที่ตรงกันข้ามเหมือนกันนะครับ คือ เจ้าของรถอัธยาศัยดี พฤติกรรมปกติดี แต่กลับเจอฝ่ายคนเดินถนนที่พกความริษยามาเต็มที่ เห็นเมื่อไรจะต้องคิดร้าย หรือไม่ก็ถึงขั้นออกปาก เช่น “ดูหน้าตาแม่งไม่น่าหาเงินมาซื้อได้เองหรอก รับรองต้องโกงเขามา” คงต้องทำใจยอมรับว่ามันกลายเป็นวัฒนธรรมของชนชาติเราไปแล้ว ไม่มีความหวังว่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ ส่วนผู้ที่ซื้อมาแล้วอยากจะขับเร็วให้สมกับที่เขาสร้างมา แต่ไม่มีประสบการณ์มาก่อน ห้ามลองเองนะครับ อันตรายมาก เพราะรถยุคนี้ยิ่งราคาสูง กำลังก็มักจะสูงตาม มีหลายรุ่นที่ให้กำลังระดับ 500-700 แรงม้า ต้องหาผู้ที่มีประสบการณ์มาสอนให้ ในสนามปิดที่ไม่ใช่ถนนสาธารณะ ถ้าพร้อมแล้ว กลับไปอ่านตอนแรกอีกสักรอบให้มั่นใจ หมดข้อกังขา สลัดอคติอันไม่สร้างสรรค์ ที่ถูกกรอกใส่หู และสมองเรามาหลาย 10 ปี ก็ดำเนินการไปสั่งซื้อได้เลยครับ ไหนๆ งานนี้ก็เป็นการใช้เงินที่มีอยู่เกินพอ เพื่อสนองความต้องการส่วนตัวของเรา และหากยังไม่เคยปฏิบัติมาก่อน ผมขอแนะนำให้ลองเจียดเงินส่วนน้อยเมื่อเทียบกับราคารถ เช่น เพียงร้อยละ 3-5 เพื่อบริจาคให้เพื่อนมนุษย์ หรือสัตว์ที่ยากไร้หน่อยนะครับ นอกจากจะเป็นบุญกุศลติดตัวไปสำหรับภพหน้าแล้ว ส่วนที่เราจะสัมผัสได้ทันทีก็คือ ความสุขที่ได้จากการแบ่งปันครับ และผมเชื่อว่าสำหรับบางคน หลังจากได้รถสปอร์ทคันใหม่มาขับแล้ว อาจจะรู้สึกได้เลยว่า ความสุขจากการได้ช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของผู้ที่ยากไร้ขัดสนนั้น มันกลับมากกว่าเสียอีก ผมกำลังจะขึ้นหัวข้อใหม่ ก็พอดีได้เห็นประกาศมาตรการหนึ่งของรัฐออกมาพอดี มีอยู่ข้อหนึ่งที่น่าจะสร้างความสงสัยให้แก่ผู้ใช้รถจำนวนมาก เพราะเพียงแค่เวลาผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง บรรดาเพื่อน และผู้ที่คุ้นเคยกับผม ต่างพร้อมใจกันทั้งบ่น ด่า และที่สุภาพหน่อยก็สอบถามว่า ที่ออกกฎมาว่าหากมีผู้อยู่ในห้องโดยสารของรถยนต์เกินกว่า 1 คน แม้จะเป็นรถส่วนตัวก็ตาม ทุกคนในรถจะต้องสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา มิฉะนั้นจะมีความผิดตามกฎหมาย เจ้าหน้าที่สามารถลงโทษด้วยการเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน สูงสุดจำนวนเท่าใดผมก็ยังไม่ทราบแน่ ที่ข้องใจกันมากและโวยวายกันก่อนที่จะคิดให้รอบด้านก็คือ ถ้าคนที่อยู่ด้วยกันในรถ เป็นคนที่อยู่ด้วยกันในบ้านก่อนที่จะขึ้นรถมาด้วยกันล่ะ ยังบังคับด้วยหรือ แน่นอนครับ ขณะที่ท่านกำลังอ่านบทความนี้อยู่ เวลาก็คงผ่านไปอีกเกินหนึ่งเดือนแล้ว ถ้าให้คาดเดา ผมเชื่อว่าคงจะเหมือนกับเรื่องอื่นๆ ส่วนใหญ่ ที่ผู้ที่รับผิดชอบซึ่งอยู่ในระบบราชการ ไม่ใส่ใจที่จะชี้แจงเหตุผลอย่างละเอียดเพียงพอ เพื่อให้ประชาชนเข้าใจ และหมดความรู้สึกต่อต้าน มาตรการนี้ถูกใจผมมาก อ่านแล้วรู้ได้ทันทีว่า มาจากความรู้และความเข้าใจของแพทย์ด้านระบาดวิทยา เพราะผู้ที่อยู่อาศัยในบ้านเดียวกันนั้น ไม่จำเป็นต้องใกล้ชิดหรือคลุกคลีกันเสมอไปนะครับ อาจจะอยู่ร่วมกันมาหลายวันแล้ว โดยที่คนหนึ่ง (หรือหลายคน) ติดเชื้ออยู่ แต่อีกคน (หรือหลายคน) ยังปลอดเชื้อ จากการรักษาระยะห่าง ไม่ว่าจะโดยความตั้งใจหรือบังเอิญก็ตาม เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรเพิ่มโอกาสแพร่เชื้อให้แก่ผู้ที่ยังปลอดเชื้อ ด้วยการเข้าไปอยู่ใกล้ชิดกันในที่คับแคบเช่นในห้องโดยสารของรถ ไม่ว่าจะแบบส่วนตัวหรือสาธารณะก็ตาม โดยไม่สวมหน้ากากอนามัยเพื่อช่วยป้องกัน จากประสบการณ์ของผม เกือบทุกครอบครัวจะมีความเห็นต่างกันแบบคนละขั้วของสมาชิก เช่น ฝ่ายหนึ่งรักการประหยัด แต่อีกฝ่ายชอบความฟุ่มเฟือย ในเรื่องโรคระบาดร้ายแรงนี้ก็เช่นกันครับ รับรองว่าแทบทุกบ้านจะต้องมีทั้งคนที่รอบคอบ กลัวภัยของโรคร้ายนี้ และคนที่ไม่ใส่ใจใดๆ ทั้งสิ้น จากความโง่ตามธรรมชาติ หรือจากการขาดความรู้ก็ตาม ทำนองว่า “เมื่อความรู้ไม่มี ความกลัวก็ไม่มา” ผู้ที่ต้องทนทุกข์ก็คือฝ่ายแรกครับ ที่จะต้องคอยหลบหลีกโอกาสที่จะรับเชื้อ ซึ่งเป็นไปได้ครับ ถ้าไม่ต้องใกล้ชิดกันระดับนอนในห้องเดียวกัน ลูกอาจจะคอยอยู่ให้ห่างแม่ หรือพ่อต้องคอยถอยห่างจากลูก (ที่ชุ่ย) แบบไม่ให้รู้ตัว เพราะฉะนั้นมาตรการที่ว่านี้ มีประโยชน์อย่างยิ่งครับ และที่สำคัญกว่าอีก คือเมื่อต้องร่วมอยู่ในห้องโดยสารของรถ กับผู้ที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดกับเราตามปกติ เช่น ต้องร่วมเดินทางไปทำธุระด้วยกัน ตรงนี้แหละครับ ที่กฎหมายจะช่วยคุ้มครองเราได้มากจริงๆ เราไม่ต้องการฟังคำอ้างของพวกที่ชุ่ยหรือเห็นแก่ตัว และมาร่วมเดินทางกับเราโดยไม่สวมหน้ากาก พร้อมกับข้ออ้าง เช่น “อ๋อ ไม่ต้องห่วงครับ ผมระวังตัวอยู่ตลอดเวลา” ก่อนที่จะแพร่เชื้อร้ายมาฆ่าเรา เรื่องชุ่ย ประมาท มักง่าย ของคนไทยเรานั้น ก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่า “ไม่แพ้ชนชาติใดในโลก” คำถามสุดท้ายที่ผมได้รับก็คือ แล้วถ้าเป็นคนตั้งแต่ 2 คน ที่คลุกคลีใกล้ชิดกันระดับสัมผัสกายกันมาเป็นเดือนล่ะ ยังจะต้องสวมหน้ากากในรถด้วยหรือเปล่า ไม่ต้องมีความรู้ก็ตอบได้ ว่าต้องสวมครับ เพราะกฎหมาย และเจ้าหน้าที่เขา “เอื้อมไม่ถึง” ไม่สามารถตรวจตราได้ เอาเป็นว่า ถ้าอึดอัดก็ต้องยอมเสี่ยงต่อการถูกจับ และปรับครับ เพราะปัญหาเรื่องแพร่หรือรับเชื้อกันในรถ มันไม่ได้มีอยู่แล้ว
ABOUT THE AUTHOR
เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2564
คอลัมน์ Online : รอบรู้เรื่องรถ