ทดสอบ(formula) 26 Apr 2018
ซูซูกิ สวิฟท์
ตลาดอีโคคาร์ ทวีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เมื่อหนึ่งในรถที่ขายดีในตลาด อย่าง ซูซูกิ สวิฟท์ เปิดตัวรุ่นใหม่แกะกล่อง มาพร้อมเส้นสายที่ปราดเปรียว คงเอกลักษณ์ของรถรุ่นนี้เอาไว้อย่างเหนียวแน่น การยกระดับสู่การเป็นอีโคคาร์ เฟส 2 ที่มีกฎข้อบังคับเข้มงวดกว่าเดิมนั้น เรามาพิสูจน์กันว่าสมรรถนะ และการประหยัดเชื้อเพลิงจะทำได้ดีขนาดไหน !
EXTERIOR ภายนอก
ภายใต้ความปราดเปรียว ทันสมัย สวิฟท์ รุ่นนี้มีมิติตัวถังใกล้เคียงกับรุ่นก่อนหน้านี้ โดยมีความยาวที่ 3,840 มม. ระยะฐานล้อ 2,450 มม. ในขณะที่รุ่นก่อนมีความยาวที่ 3,850 มม. และมีระยะฐานล้อที่ 2,430 มม. รูปทรงที่เน้นความกะทัดรัด และปราดเปรียว อาจทำให้ความยาวลดลงเล็กน้อย แต่กลับมีระยะฐานล้อที่ยาวกว่ารุ่นก่อนหน้านี้
INTERIOR ภายใน
ห้องโดยสารของ สวิฟท์ รุ่นล่าสุด คือ สิ่งบ่งบอกภาพลักษณ์ด้านความสปอร์ทของรถรุ่นนี้ได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่ารูปทรงภายนอก ภายในเล่นโทนสีดำ ส่วนประกอบต่างๆ มีความแน่นหนา แม้เป็นอีโคคาร์ ราคาไม่แพงเกินเอื้อม ปุ่มหมุนสำหรับใช้งานระบบปรับอากาศแลดูทันสมัย มีรูปทรงกลม ตรงกลางแสดงผลแบบดิจิทอล แผงหน้าปัดแยก 2 วง มองเห็นง่าย พวงมาลัยหักมุมด้านล่างเล็กน้อยสไตล์รถแข่งพันธุ์แท้ แต่ตัวพวงมาลัยควรเพิ่มความหนาอีกนิด จะกระชับมือกว่านี้มาก
ENGINE เครื่องยนต์
หนึ่งในจุดเปลี่ยนแปลงของ ซูซูกิ สวิฟท์ หลังจากการยกระดับสู่อีโคคาร์ เฟส 2 คือ การเปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้รหัส K12M มีความจุที่ 1,197 ซีซี ระบบ 2 หัวฉีด/ลูกสูบ (ดูอัลเจท) กำลังสูงสุด 83 แรงม้า (รุ่นก่อนหน้านี้ที่เป็นอีโคคาร์ เฟส 1 ใช้เครื่องยนต์รหัส K12B ความจุ 1,242 ซีซี กำลังสูงสุด 91 แรงม้า) จากสเปคจะพบว่าเครื่องยนต์มีปริมาตรกระบอกสูบลดลงเล็กน้อย พร้อมกับพละกำลังที่แตกต่างกันถึง 8 แรงม้า แต่ สวิฟท์ รุ่นล่าสุด สามารถชดเชยด้วยการลดน้ำหนักของตัวรถ โดยมีน้ำหนักลดลงกว่า 65 กก. (รุ่นก่อนหน้านี้มีน้ำหนักที่ 975 กก.) ได้เสียกันคนละอย่างแบบนี้ จะมีผลต่ออัตราเร่ง และอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง มากน้อยแค่ไหน มาดูกันเลย
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ซูซูกิ สวิฟท์ (รุ่นล่าสุด) ทำเวลาที่ 13.4 วินาที ขณะที่ สวิฟท์ (รุ่นก่อนหน้า) 14.9 วินาที จากอัตราเร่งช่วงตีนต้นก็เริ่มบ่งบอกว่าสมรรถนะของ สวิฟท์ รุ่นล่าสุด มีความฉับไวกว่ารุ่นก่อนหน้านี้
อัตราเร่งระยะ 0-1,000 ม. ซูซูกิ สวิฟท์ (รุ่นล่าสุด) ทำได้ที่ 35.2 วินาที (ที่ความเร็ว 146.9 กม./ชม.) ส่วน สวิฟท์ รุ่นก่อนหน้า คือ 36.0 วินาที (ที่ความเร็ว 144.9 กม./ชม.) สวิฟท์ รุ่นล่าสุด ยังมีอัตราเร่งตีนปลายที่ดีกว่ารุ่นก่อนหน้านี้ แม้ส่วนต่างของเวลาจะใกล้เคียงกันมากขึ้นก็ตาม
อัตราเร่งยืดหยุ่นที่ 60-100/80-120 กม./ชม. ซูซูกิ สวิฟท์ (รุ่นล่าสุด) ทำเวลาได้ที่ 7.4/10.3 วินาที ส่วน สวิฟท์ (รุ่นก่อนหน้า) ทำได้ที่ 8.3/11.0 วินาที จะเห็นได้ว่าช่วงความเร็วต่ำ สวิฟท์ รุ่นล่าสุด มีการตอบสนองที่ดีมาก และยังได้เปรียบในช่วงความเร็วสูงขึ้น จากระบบดูอัลเจท กับเกียร์อัตโนมัติแปรผันที่ลงตัว
ถัดมา คือ หัวข้อที่สำคัญมากสำหรับรถยนต์เน้นความประหยัดอย่างอีโคคาร์ นั่นคือ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง เราแยกเป็น 2 ช่วงความเร็ว ระหว่าง 60 และ 80 กม./ชม. ในช่วงความเร็วต่ำ และ 100 กับ 120 กม./ชม. สำหรับช่วงความเร็วสูง
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 60/80 กม./ชม. ซูซูกิ สวิฟท์ (รุ่นล่าสุด) 35.7/27.7 กม./ลิตร ทางด้าน สวิฟท์ (รุ่นก่อนหน้า) มีตัวเลขที่ 32.9/24.8 กม./ลิตร ผลการทดสอบในส่วนนี้แสดงให้เห็นว่า ช่วงความเร็วต่ำ สวิฟท์ ทั้ง 2 รุ่น มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่น่าพอใจ ยิ่งกว่านั้น สวิฟท์ รุ่นล่าสุด มีตัวเลขดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สมกับเป็นรถในมาตรฐานอีโคคาร์ เฟส 2 ที่มีเกณฑ์การประหยัดเชื้อเพลิงสูงกว่า (และค่าไอเสียเฉลี่ยต่ำกว่าด้วย)
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 100/120 กม./ชม. ซูซูกิ สวิฟท์ (รุ่นล่าสุด) 21.4/15.4 กม./ลิตร ส่วน สวิฟท์ (รุ่นก่อนหน้า) มีตัวเลขที่ 19.2/14.6 กม./ลิตร เห็นได้ว่าตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจะใกล้เคียงกันมากขึ้นในช่วงความเร็วสูง แต่สวิฟท์ รุ่นล่าสุดยังมีความได้เปรียบอยู่ มีเพียงช่วงความเร็ว 120 กม./ชม. ที่ตัวเลขใกล้เคียงกันในแง่การขับขี่ช่วงความเร็วสูง
สรุปโดยรวมจากตัวเลขที่ได้จากผลการทดสอบ แสดงให้เห็นว่า ซูซูกิ สวิฟท์ รุ่นล่าสุด มีพัฒนาการที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ ทั้งอัตราเร่ง และการประหยัดเชื้อเพลิง แม้ความแตกต่างจะไม่ได้มากมาย แต่พิสูจน์ได้ว่าอีโคคาร์ เฟส 2 คันนี้มีทีเด็ดแฝงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
นอกจากนี้รุ่นก่อนหน้านี้แล้ว ยังมีอีกหนึ่งคู่แข่งอีโคคาร์ เฟส 2 กับพิกัดเครื่องยนต์ และราคาที่ใกล้เคียงกัน นั่นคือ มาซดา 2 ตัวถังแฮทช์แบค เครื่องยนต์เบนซิน สกายแอคทีฟ-จี ขนาด 1.3 ลิตร กำลังสูงสุด 93 แรงม้า เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ มาวัดกันจะๆ ในครั้งนี้
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. มาซดา ทำได้ที่ 14.2 วินาที ตามด้วย อัตราเร่งช่วง 0-1,000 ม. คือ 35.3 วินาที (ที่ความเร็ว 149.2 กม./ชม. สำหรับอัตราเร่งยืดหยุ่น 60-100/80-120 กม./ชม. มีตัวเลขที่ 7.6/10.5 วินาที ผลกลับกลายเป็นว่า ซูซูกิ สวิฟท์ มีอัตราเร่งที่สูสีกับคู่แข่งจาก มาซดา ด้วยซ้ำ ! แม้จะเฉือนกันเพียงเสี้ยววินาที แต่แสดงให้เห็นว่า ตัวเลขแรงม้าที่น้อยกว่า ไม่ได้ทำให้แฮทช์แบคจาก ซูซูกิ รุ่นนี้เป็นรองคู่แข่งแต่อย่างใด
หันมาเทียบเคียงด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อ-เพลิงบ้าง ที่ความเร็ว 60/80 กม./ชม. มาซดา 2 ทำได้ที่ 29.9/25.7 กม./ลิตร ส่วนช่วงความเร็วสูงที่ 100/120 กม./ชม. มีตัวเลขที่ 20.7/15.0 กม./ลิตร หัวข้อการประหยัดเชื้อเพลิง สวิฟท์ รุ่นล่าสุด ยังคงมีความได้เปรียบในทุกช่วงความเร็ว โดยทาง มาซดา 2 แม้ตัวเลขขณะแล่นที่ความเร็วคงที่จะด้อยกว่าบ้าง แต่ขณะใช้งานจริงระบบช่วยเรื่องการประหยัดเชื้อเพลิงของ มาซดา 2 นั่นคือ ระบบ ไอ-อีลูพ มีส่วนช่วยไม่น้อย
SUSPENSION ระบบรองรับ
บุคลิกความสปอร์ทของ สวิฟท์ รุ่นล่าสุด สัมผัสได้จากการปรับแต่งระบบรองรับ เน้นความนุ่มนวลในแบบฉบับอีโคคาร์ แต่เพิ่มเติมเรื่องความหนึบที่พอเหมาะ ได้อารมณ์ขับสนุกไปในตัว การตอบสนองของช่วงล่างโดยรวมให้ความมั่นใจมากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้เล็กน้อย ส่วนพวงมาลัยตอบสนองได้ดี แต่มีน้ำหนักเบาไปเล็กน้อย เมื่อเทียบกับอารมณ์ขับสนุกของระบบรองรับ แม้จะมีผลดีสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่น การเข้าจอด หรือหักเลี้ยวที่ความเร็วต่ำ แต่เรามีความรู้สึกว่า บุคลิกความสปอร์ทจากรูปทรงภายนอก ห้องโดยสาร สมรรถนะ และระบบรองรับของรถรุ่นนี้ หากพวงมาลัยมีความหนักแน่นมากกว่านี้ จะเพิ่มความสมดุลให้กับตัวรถอีกไม่น้อย
ระบบความปลอดภัยถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่ง ทั้งระบบควบคุมเสถียรภาพตัวรถ ระบบป้องกันการลื่นไถล และระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น แต่ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านนิรภัย มีติดตั้งเฉพาะ 2 รุ่นย่อยระดับบน (จีแอลเอกซ์ และ จีแอลเอกซ์-เนวี) แต่คู่แข่งในระดับอีโคคาร์ เฟส 1 บางราย เช่น โตโยตา ยารีส (รุ่นปรับโฉม) มีถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่งทุกรุ่นย่อย ขณะที่มาซดา 2 ล่าสุดปรับเพิ่มระบบความปลอดภัย ทั้งระบบเตือนจุดอับสายตาด้านข้าง และระบบเตือนเมื่อมีรถแล่นมาจากด้านหลังขณะถอยจอด เรียกได้ว่าเซกเมนท์นี้มีการแข่งขันเรื่องระบบความปลอดภัยอย่างเข้มข้น ไม่น้อยหน้ารถยนต์ที่มีราคาแพงกว่า
ตลาดกลุ่มอีโคคาร์ ไม่ว่าจะเป็น เฟส 1 หรือ 2 ถือเป็นเซกเมนท์ที่มีการแข่งขันกันอย่างดุเดือด การเข้ามาทำตลาดจากหลากหลายค่ายรถมีการเพิ่มเติมความทันสมัยทั้งในแง่ของรูปทรง ห้องโดยสาร และอุปกรณ์ใช้สอย รวมถึงระบบความปลอดภัย แทบจะเกินราคาค่าตัวด้วยซ้ำบ่งบอกว่าใครที่จะก้าวเข้ามาลุยตลาดกลุ่มนี้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ลำพังแค่สมรรถนะ และความประหยัดเชื้อเพลิง (ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้) อาจไม่เพียงพอเสียทั้งหมด แต่การมาถึงของ ซูซูกิ สวิฟท์ รุ่นล่าสุด พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าแฮทช์แบครุ่นนี้ไม่เป็นสองรองใคร ด้วยพัฒนาการที่ดีขึ้นแทบทุกด้านเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะบุคลิกสปอร์ท ขับสนุก ภายใต้การประหยัดเชื้อเพลิงที่ยอดเยี่ยม แม้การต่อสู้ของกลุ่มอีโคคาร์ จะดำเนินต่อไป แต่เชื่อได้ว่าหนึ่งในรถยนต์ที่ยืนอยู่หัวแถว คือ ซูซูกิ สวิฟท์ รุ่นนี้อย่างแน่นอน !