รายงานวิจัยล่าสุดของ Wood Mackenzie บริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูล และการวิเคราะห์เศรษฐกิจชั้นนำ คาดการณ์ว่าความต้องการของแกสในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นกว่า 5.7 % เมื่อพิจารณาตั้งแต่ปัจจุบันไปจนถึงปี 2578 แม้ว่าการผลิตแกสในประเทศและการนำเข้าแกสผ่านท่อส่งจะลดลงจาก 4-5 พันล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน (BCF/D) ในทศวรรษที่ผ่านมา เหลือราว 2 พันล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน (BCF/D) ในช่วง 2 ปีก่อนก็ตาม
กาวิน ทอมป์สัน รองประธานกรรมการ Wood Mackenzie กล่าวกับผู้เข้าร่วมการสัมมนาอุตสาหกรรมซึ่งจัดขึ้นภายใต้หัวข้อ LNG: Fueling Thailand‘s Sustainable Growth ที่กรุงเทพฯ ว่าประเทศ ไทยมีอัตราการใช้แกสสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ Wood Mackenzie ยังไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในเรื่องนี้ แม้ว่าภาคธุรกิจพลังงานหมุนเวียนจะกำลังเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งก็ตาม
“การใช้แกสเพื่อสร้างพลังงานไฟฟ้านับว่าเป็นรูปแบบการใช้งานหลัก และคิดเป็น 56 % ของตวามต้องการทั้งหมดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าประเทศกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้น แต่แกสจะยังคงมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพของโครงข่ายพลังงานไฟฟ้า ไปตลอดช่วงเวลาแห่งการการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานนี้”
การพึ่งพาแกสธรรมชาติเหลวเกินไป ส่งผลให้ราคาก๊าซไทยผันผวน
รายงานของ Wood Mackenzie ชี้ว่าในปี 2567 จะเกิดการขาดแคลนแกสธรรมชาติเหลว (LNG) ของคู่สัญญาในไทยกว่า 5 ล้านตัน/ปี (MMTPA) ซึ่งหมายความว่า 50 % ของการนำเข้า LNG จะต้องพึ่งพาการจัดซื้อซึ่งมีราคาผันผวนมากขึ้น
“การขาดแคลนซัพพลาย LNG ของคู่สัญญาในช่วงเวลาที่ทรัพยากรในประเทศกำลังลดลง ส่งผลให้ประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อราคาแกสที่สูงขึ้น และยังเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดสถานการณ์ไฟฟ้าดับหรือการปันส่วนแกสในอนาคต”
ความต้องการของ LNG ในประเทศไทย VS สัญญาของ LNG
โครงสร้างพื้นฐานใหม่ คือ สิ่งจำเป็น
ทอมป์สัน กล่าวเพิ่มเติมว่า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของแกสขึ้นใหม่ จะช่วยรับมือกับความวิตกกังวลบางประการเกี่ยวกับการขาดแคลนแกสได้
ปัจจุบัน กำลังมีการนำเสนอการพัฒนาท่าขนส่ง LNG แห่งใหม่ที่จะเพิ่มขีดความสามารถการแปรสภาพแกสธรรมชาติให้ถึง 8 ล้านตัน/ปี (MMTPA) ซึ่งจะช่วยให้ไทยมีขีดความสามารถการแปรสภาพแกสรวมเป็น 27 ล้านตัน/ปี (MMTPA) อีกทั้งยังมีโครงการสร้างท่อส่งแกสระยะทางกว่า 300 กม. ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
“การใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานในปัจจุบันให้มากขึ้น จะสามารถช่วยเร่งการเติบโตของตลาดแกสได้เช่นกัน” ทอมป์สัน กล่าว “ส่วนท่อส่งแกสข้ามประเทศจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเล เซีย สามารถเพิ่มโอกาสด้านความร่วมมือได้มากขึ้นด้วย”
ด้วยกำลังการผลิต LNG ใหม่มากกว่า 200 ล้านตัน/ปีที่กำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้างโครงการทั่วโลก เราควรมีซัพพลายที่เพียงพอเพื่อสร้างความมั่นใจว่าประเทศไทยจะสามารถทำสัญญาต่อเนื่องและการันตีการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานโดยประสบความสำเร็จได้
“ตลาด LNG ทั่วโลกกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง และด้วยทรัพยากรที่กำลังจะมีมากขึ้น ประเทศไทยจึงควรสร้างเงื่อนไขที่น่าดึงดูดใจมากขึ้นได้ในการทำสัญญาใหม่ครั้งต่อๆ ไป” ทอมป์สัน กล่าว “ด้วยโครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่ประเทศไทยจะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากตลาดพลังงานใหม่ได้”
เนื่องจากประเทศไทยมุ่งสร้างความเชื่อมั่นถึงแหล่งพลังงานที่มีเสถียรภาพ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้กลยุทธ์การจัดซื้อระยะยาวที่มีหลักประกันเสถียรภาพด้านราคา และความมั่นคงด้านพลังงานในอนาคตอันใกล้นี้
การวิเคราะห์ของ Wood Mackenzie ยังชี้ว่าไทยควรแสวงหาความร่วมมือกับผู้ให้บริการโซลูชันที่สามารถตอบสนองหลักเกณฑ์เหล่านี้ได้ โดยผู้ให้บริการรายหนึ่งที่ควรพิจารณา คือ Petronas ซึ่งเป็นผู้นำด้านพลังงานระดับโลกที่มีชื่อเสียงด้านความน่าเชื่อถือ และการให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นหลัก
ในฐานะหนึ่งในผู้ผลิต LNG แบบครบวงจรรายใหญ่ที่สุดของโลก Petronas สามารถผลิต LNG ได้มากกว่า 36 ล้านตัน/ปีทั้งจากโรงงานในบินตูลู ออสเตรเลีย อียิปต์ และในเร็วๆ นี้ ที่แคนาดา เครือข่ายขนาดใหญ่นี้ ทำให้มั่นใจได้ว่า Petronas จะสามารถจัดหา LNG ให้แก่ประเทศไทยได้
Petronas ก่อตั้งขึ้นในช่วงแรกเพื่อเป็นซัพพลายเออร์ด้านพลังงานสำหรับตลาดมาเลเซีย และต่อมาได้ขยายธุรกิจการไปยังประเทศหลักอื่นๆ ในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี การขยายธุรกิจได้เช่นนี้ตอกย้ำถึงความเข้าใจต่อการเคลื่อนไหวในตลาดเอเชียอย่างถ่องแท้ของ Petronas รวมถึงความสามารถของบริษัทในการนำเสนอโซลูชันการจัดส่งสินค้าที่เหมาะสม รวมถึงเงื่อนไขทางการค้าและสัญญาที่ยืดหยุ่น
Petronas ดำเนินการผลิต LNG ด้วยความรับผิดชอบ และมีโครงการต่างๆ เพื่อลดการปล่อยคาร์บอน เช่น การใช้พลังงานไฟฟ้า ระบบปลอดการเผา และการระบายควันในการปฏิบัติงานประจำวัน การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และนวัตกรรม รวมถึงการดัก และกักเก็บคาร์บอนเพื่อลดการปล่อยแกสเรือนกระจก ซึ่งสิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์การสร้างอนาคตสีเขียวของประเทศไทย
นอกจากนี้ Petronas ยังมีความรู้ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับความต้องการด้านพลังงานของไทย ซึ่งเกิดจากการร่วมมือเป็นพันธมิตรกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มายาวนานเกือบ 3 ทศวรรษ ความร่วมมือครั้งนี้ยังได้รับการส่งเสริมอย่างมีนัยสำคัญจากความร่วมมือในภาคธุรกิจต่างๆ ของห่วงโซ่มูลค่าพลังงาน โดยเฉพาะในภาคธุรกิจ LNG ความร่วมมือนี้ยังประสบความสำเร็จอย่างสูง ซึ่งเห็นได้จากการขนส่งสินค้า LNG มายังท่าอุตสาหกรรมมาบตาพุดของไทยมากกว่า 100 รายการ นับตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน