ข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า Alpine เคยประกาศไว้เมื่อ 18 เดือนก่อนหน้านี้ ว่าจะผลิตรถทุกรุ่นเป็นรถไฟฟ้าช่วงปลายทศวรรษนี้ รวมถึงข่าวการผลิตรถครอสส์โอเวอร์ และแฮทช์แบค ซึ่งต้องใช้เวลาอีกสักพัก แต่หลังจากการเปิดตัว Alpine A110 ได้ระยะหนึ่ง ก็มีข่าวการเปิดเผยรถต้นแบบในรูปแบบของรถไฟฟ้าในอนาคตของค่าย Alpine เรียกรถไฟฟ้าต้นแบบใหม่ว่า A110 E-ternity โดยติดตั้งแพคแบทเตอรี และมอเตอร์ไฟฟ้าลงไปในรถคูเปเดิม ที่ต้องให้เครดิทกับทีมวิศวกรของ Alpine ที่สามารถติดตั้งโมดูลแบทเตอรีทั้ง 12 ชุดได้อย่างลงตัว โดยติดตั้งแบทเตอรี 4 ชุดที่ด้านหน้า และ 8 ชุดในด้านหลัง ซึ่งเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าน้ำหนักของรถไฟฟ้าค่อนข้างมาก จากน้ำหนักของแบทเตอรี จึงส่งผลให้รถไฟฟ้า A110 E-ternity มีน้ำหนักมากกว่ารุ่นเครื่องยนต์สันดาปถึง 258 กก. มีน้ำหนักโดยรวมที่ 1,378 กก. ซึ่งเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งใจไว้แค่ 1,320 กก. Alpine แชร์หัวใจในการขับเคลื่อนกับรถไฟฟ้า Renault Mégane E-Tech โดย E-ternity มีกำลังสูงสุดที่ 238 แรงม้า (178 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 30.6 กก.-ม. ส่วนรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน ให้กำลังสูงกว่าเล็กน้อยที่ 288 แรงม้า (215 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุด 32.6 กก.-ม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. รุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายในทำได้ 4.4 วินาที ขณะที่ E-ternity ทำได้ 4.5 วินาที นอกเหนือการปรับเปลี่ยนขุมพลังของ Alpine แล้ว รถต้นแบบ E-ternity ยังมีนวัตกรรมใหม่อีกด้วยรูปแบบของรถหลังคาเปิดแบบใหม่ ที่ใช้หลักวิศวกรรมตัวรถยังคงความแข็งแกร่ง หลังคาถอดได้ ผลิตจากคาร์บอนที่มาจากการรีไซเคิล นอกจากนั้นยังมีการผลิตชิ้นส่วนโดยใช้วัตถุดิบจากผ้าลินิน ซึ่งจะนำมาใช้มากขึ้นในอนาคต นวัตกรรมอื่นที่ Alpine นำมาใช้ คือ สามารถปรับเปลี่ยนแผงจอแดชบอร์ดสาระบันเทิงให้เป็นแทบเลทได้ ทั้งภายในห้องโดยสารยังติดตั้งระบบเครื่องเสียงลำโพง 8 ตัว พร้อมซับวูเฟอร์ Alpine A110 E-ternity เปิดตัวครั้งแรกในรายการแข่งขัน Formula 1 Grand Prix ที่ฝรั่งเศส โดยรูปทรงภายนอกที่ไม่ต่างไปจากรุ่นเครื่องยนต์สันดาปภายใน ขณะนี้ทาง Alpine และ Lotus กำลังร่วมกันพัฒนารถสปอร์ท A110 รุ่นใหม่ ซึ่งจะใช้โมดูล Platform ใหม่ของ Lotus