การใช้สายตามองระหว่างขับขี่ มีจุดสำคัญ เช่น รถที่มาจากด้านหน้า, รถที่อยู่ด้านหลัง, รถที่เรากำลังจะแซง, รถที่กำลังจะขับแซง, รถที่มาจากด้านข้าง และรถที่วิ่งสวนทางมา ดังนั้น การใช้สายตาให้รอบคอบอย่างถูกวิธี จะเป็นการเพิ่มความระมัดระวัง และป้องกันการเกิดอุบัติเหตุได้มองกระจกมองหลังบ่อยๆ ระหว่างขับรถ หากผู้ขับขี่มองไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน จะไม่มีเวลาแก้ไขสถานการณ์ได้ทัน และอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น ต้องมองที่กระจกมองหลังทุก 5 - 10 วินาที เพื่อให้ทราบสถานการณ์รอบด้านตลอดเวลา โดยต้องปรับกระจกมองหลังให้มองเห็นในมุมกว้างที่สุด ปรับมุมกระจกมองข้าง กระจกมองข้างก็สำคัญไม่แพ้กระจกมองหลัง ต้องปรับให้กระจกกางออก และตั้งฉากกับตัวรถ จนเห็นด้านข้างของตัวรถน้อยที่สุด ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขับขี่เห็นทัศนวิสัยด้านข้าง และด้านหลังครอบคลุมได้กว้างยิ่งขึ้น รู้จักประเมินสถานการณ์ การขับรถบนท้องถนน ต้องดูจังหวะของรถคันอื่น และคาดการณ์ล่วงหน้าตลอดเวลา เช่น ถ้าผู้ขับขี่ขับอยู่เลนซ้าย แล้วเห็นรถที่กำลังจะออกจากซอยด้านหน้าถัดไปอีก 50 เมตร ผู้ขับขี่ต้องอ่านเกมให้ออกว่า คันข้างหน้าของคุณมีโอกาสที่จะเปลี่ยนเลน หรืออาจจะเบรคเพื่อให้รถออกจากซอยก่อน หรือเมื่อกำลังขับรถตามคันหน้าอยู่ ต้องมองข้ามคันหน้าไปยังคันที่อยู่ถัดไปด้วย เพราะถ้าคันถัดไปข้างหน้าเบรค คันที่อยู่ข้างหน้าเราย่อมต้องเบรคตาม ดังนั้น ต้องรู้จักเตรียมพร้อม และอ่านเกมเสมอ จะได้ไม่ต้องเบรครถกะทันหัน เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน อย่าแค่เหลือบมอง สำหรับกรณีที่ต้องขับถอยหลัง หรือเลี้ยวเข้า/ออกซอย ผู้ขับขี่ต้องหันหน้ามมองทาง เเละสภาพแวดล้อมทุกครั้ง ไม่ใช่แค่เหลือบมอง แม้รถยนต์ปัจจุบันจะนำเทคโนโลยีต่างๆ มาใช้ เช่น กล้องมองหลัง หรือเซนเซอร์ เพื่อเป็นตัวช่วยในการขับรถ แต่พื้นฐานการขับรถที่สำคัญ คือ ผู้ขับขี่ต้องหันหน้าไปมอง เพราะสายตาจะช่วยในการตัดสินใจได้ดีที่สุด *ความเร็วของรถมีผลต่อการมองเห็น* ยิ่งขับรถเร็วแค่ไหน มุมมองการมองเห็นสิ่งรอบตัวยิ่งลดลง -ที่ระดับความเร็ว 40 กม./ชม. มีมุมมองที่เห็นชัด 100 องศา -ที่ระดับความเร็ว 75 กม./ชม. มีมุมมองที่เห็นชัด 60 องศา -ที่ระดับความเร็ว 100 กม./ชม. มีมุมมองที่เห็นชัด 40 องศา -ที่ระดับความเร็ว 150 กม./ชม. มีมุมมองที่เห็นชัด 10 องศา ยิ่งขับรถเร็วมากเท่าใด โอกาสในการมองเห็น ทาง รถ คน สัตว์ ฯลฯ ก็ย่อมจะน้อยลงไปเรื่อยๆ