คลิพจากงานเปิดตัว Mazda BT-50 โดยทีมงาน AutoinfoOnline 

  หลังจากรอกันมาเป็นระยะเวลาพอสมควร ในที่สุด ค่าย Mazda (มาซดา) ของบ้านเรา เปิดหัวปีใหม่ 2021 กับกระบะรุ่นใหม่ล่าสุด BT-50 (บีที-50) และเป็นเหมือนการประกาศบุกตลาดกลุ่มนี้อย่างเต็มตัว ด้วยรุ่นย่อยที่หลากหลายถึง 14 รุ่น เพื่อเป้าหมาย คือ ยอดจำหน่ายรายเดือนที่จะแตะระดับหมื่นคัน !? กระบะรุ่นนี้มีจุดเด่นอะไรบ้าง มาดูกันเลย    

• รูปทรงด้านหน้าลงตัว มีเอกลักษณ์

เส้นสายที่ขาดไม่ได้สำหรับ Mazda ยุคปัจจุบัน คือ สไตล์ Kodo Design ที่เห็นในรถยนต์แทบทุกรุ่น แน่นอนว่า BT-50 รุ่นล่าสุดก็ทำได้ดีเกินคาด กับการนำเส้นสายรูปแบบดังกล่าวมาปรับใช้กับรถกระบะ ด้านหน้ามีความโฉบเฉี่ยว กระจังหน้าขนาดใหญ่ คาดด้วยขอบโครเมียมกับไฟท้ายทรงเรียวในแนวนอน มีความลงตัวไม่แพ้ครอสส์โอเวอร์รุ่นใหญ่ของค่ายอย่าง CX-8 (ซีเอกซ์-8) เลยทีเดียว ซึ่งการออกแบบนี้เป็นฝีมือการรังสรรค์ของทีมงานจากประเทศญี่ปุ่น เมื่อพิจารณาตัวรถรอบคัน เราเห็นว่า รายละเอียดของรูปทรงมีความเป็นเอกเทศเกินคาด ไม่ใช่การนำตัวถังของรถที่ใช้โครงสร้างพื้นฐานร่วมกันอย่าง Isuzu D-Max (อีซูซุ ดี-แมกซ์) มาใช้ตรงๆ เช่น รูปทรงของประตูที่มีสันเหลี่ยมด้านล่างแตกต่างกัน หรือแม้แต่รูปทรงของไฟท้ายแนวตั้ง อาจดูคล้ายกันโดยรวม แต่ของ BT-50 จะมีส่วนขอบด้านในที่ตัดตรง     พูดง่ายๆ ว่า หากนำ Mazda BT-50 และ Isuzu D-Max มาจอดเคียงข้างกัน บางคนอาจไม่รู้ว่าเป็นรถที่ใช้พื้นฐานร่วมกัน เนื่องจากมีเส้นสายที่ต่างรูปแบบ BT-50 มีความเรียบหรูมากกว่า ขณะที่ D-Max จะเน้นมาดแกร่ง บึกบึน    

• ห้องโดยสารถูกออกแบบผสมเอกลักษณ์เฉพาะตัว

อีกจุดหนึ่งที่ทำได้ดีเกินคาด คือ ห้องโดยสารของ BT-50 ที่ถูกออกแบบได้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คอนโซลหน้ามีความหรูหรา เรียบง่าย ด้วยรูปแบบของช่องแอร์ และแผงคอนโซลหน้าส่วนบนที่ลงตัว นอกจากนี้ พวงมาลัยยังมีรูปทรงในแบบฉบับของ Mazda แผงหน้าปัดอาจยกชุดมาจาก D-Max แต่มีการปรับปรุงให้มีความเรียบเนียนมากกว่า ถอดกรอบรอบมาตรวัดออกไป จะยกเว้นเพียงปุ่มใช้งานสำหรับระบบปรับอากาศยังคงรูปแบบปุ่มสลักทรงแบน จัดวางเรียงในแนวขวาง เหมือนกับกระบะของทาง Isuzu ขณะที่ส่วนอื่นๆ เช่น เบาะนั่ง มีรูปทรงโอบกระชับสรีระ ให้ความรู้สึกสปอร์ทได้ดีไม่น้อย     จุดที่มีข้อยกเว้นสำหรับห้องโดยสาร คือ รุ่นพื้นฐาน STD 1.9 E นั่นคือ กระบะแบบตอนเดียว ไร้ Cab เราพบว่าคอนโซลหน้าของรุ่นพื้นฐานดังกล่าว มีรูปแบบที่แทบจะถอดมาจาก D-Max ก็ว่าได้ เห็นได้จากช่องแอร์ทรงสามเหลี่ยม และรูปทรงของคอนโซลหน้าโดยรวม อย่างไรก็ตาม พวงมาลัยยังคงใช้ของ Mazda BT-50    

• เครื่องยนต์ที่ใช้ร่วมกัน มั่นใจได้เรื่องความทนทาน และการบำรุงรักษา

Mazda BT-50 เน้นเครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบ ขนาด 1.9 ลิตร กำลังสูงสุด 150 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 35.7 กก.-ม. มาพร้อมระบบควบคุมการฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงที่ทำงานได้อย่างแม่นยำ ให้แรงบิดสูงตั้งแต่รอบเครื่องยนต์ต่ำ อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ 16.1 กม./ลิตร จะถูกใช้งานในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ รองรับน้ำมันน้ำมัน B20 แน่นอนว่า สเปคเครื่องยนต์เหมือนกับทาง Isuzu ทุกประการ รวมถึงเครื่องยนต์บลอคใหญ่ ขนาด 3.0 ลิตร กำลังสูงสุด 190 แรงม้า จะถูกใช้งานในรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาเท่านั้น (ไม่มีทางเลือกนี้ในรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อ) กับอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยที่ผู้ผลิตระบุมาที่ 14.1 กม./ลิตร กับทางเลือกเกียร์ธรรมดา และอัตโนมัติ 6 จังหวะ     ในแง่ของขุมพลังของ BT-50 ที่หันมาใช้กับหนึ่งใน “เจ้าตลาด” อย่าง Isuzu เป็นจุดที่น่าสนใจ คือ เครื่องยนต์ที่มีความทนทาน และการบำรุงรักษาที่สะดวก รวมถึงในแง่ความแพร่หลายของอะไหล่ และชิ้นส่วน มีประสิทธิภาพโดยรวมที่ทำได้ดีเสมอมา โดยเฉพาะในแง่ของการประหยัดเชื้อเพลิง หรือแม้แต่ในแง่ของการปรับแต่งสมรรถนะที่บรรดาสำนักแต่งต่างก็ “คุ้นมือ” กับเครื่องยนต์บลอคนี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม ใครที่คาดหวังความแปลกใหม่ หรือล้ำสมัยจากเครื่องยนต์ดีเซล อาจไม่สมหวังกับรถรุ่นนี้ นอกจากนี้แรงม้าสูงสุดยังน้อยกว่าคู่แข่งบางรายที่เล่นกำลังสูงสุดที่มากกว่า 200 แรงม้ากันแล้ว    

• หลากหลายตัวถัง ตอบสนองการใช้งานที่แตกต่าง

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า Mazda BT-50 รุ่นนี้มีทางเลือกถึง 14 รุ่นย่อย จาก 3 ตัวถังหลักๆ แต่ละแบบมีจุดเด่นดังนี้ ในรุ่น Standard Cab (STD) หรือกระบะตอนเดียว เน้นการบรรทุกของหนัก ราคาเหมาะสม ขณะที่รุ่น Freestyle Cab (FSC) หรือกระบะตอนครึ่ง แคบเปิดได้ ตอบสนองการใช้งานที่รองรับได้ทั้งการบรรทุกสิ่งของ และการโดยสาร และรุ่น Double Cab (DBL) หรือรุ่น 4 ประตู ที่ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ได้หลากหลาย มีทำตลาดถึง 7 รุ่นย่อย มาพร้อมกับออพชันที่เทียบชั้นรถยนต์นั่ง ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรค ABS ระบบกระจายแรงเบรค EBD และระบบช่วยเบรค BA รวมถึงถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในทุกรุ่นย่อย ทำให้ Mazda BT-50 รุ่นใหม่มีระดับความปลอดภัยสูงตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น     ขยับมาที่รุ่นยอดนิยม และได้รับการคาดหวังให้เป็นรุ่นที่สร้างยอดจำหน่าย นั่นคือ  Hi-Racer ตัวถังยกสูง มีมาดลุยในตัว กับระบบขับเคลื่อน 2 ล้อ มาพร้อมระบบควบคุมเสถียรภาพ และการทรงตัวของรถ DSC ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล TCS ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเตือนอัตโนมัติเมื่อเบรคกะทันหัน ESS ระบบช่วยการออกตัวของรถขณะอยู่บนทางลาดชัน HLA ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน HDC และติดตั้งถุงลมนิรภัยสูงสุดถึง 6 ตำแหน่ง (ในรุ่นย่อยระดับบน) เพิ่มความมั่นใจในการเข้าจอดด้วยระบบเซนเซอร์กะระยะด้านหน้า และด้านหลังรวมสูงสุด 8 ตำแหน่ง พร้อมกล้องมองหลัง     สำหรับรุ่น DBL Hi-Racer และรุ่น DBL ขับเคลื่อน 4 ล้อ ใส่เทคโนโลยีความปลอดภัยขั้นสูงของ Mazda กับระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน (ABSM) และระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง (RCTA) ถือว่ามีความทันสมัยไม่น้อย    

• ราคาที่ใกล้เคียงกับคู่แข่งระดับเดียวกัน

หนึ่งในจุดแข็งที่ Mazda BT-50 หมายมั่นปั้นมือกับการชิงส่วนแบ่งของตลาดรถกระบะให้มากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน คือ ราคาของแต่ละรุ่นย่อยที่เคาะออกมาได้ใกล้เคียงกับคู่แข่งระดับเดียวกัน โดยมีราคาตามนี้  

ลำดับ	รุ่น และราคา
1	STD 1.9 E ราคา 553,000 บาท
2	FSC 1.9 C ราคา 679,000 บาท
3	FSC 1.9 C Hi-Racer ราคา 714,000 บาท
4	FSC 1.9 C Hi-Racer 6 AT ราคา 768,000 บาท
5	FSC 1.9 S Hi-Racer ราคา 787,000 บาท
6	FSC 1.9 S Hi-Racer  6AT ราคา 832,000 บาท
7	DBL 1.9 C ราคา 771,000 บาท
8	DBL 1.9 S ราคา 847,000 บาท
9	DBL 1.9 S Hi-Racer ราคา 891,000 บาท
10	DBL 1.9 S Hi-Racer 6AT ราคา 936,000 บาท
11	DBL 1.9 SP Hi-Racer ราคา 1,012,000 บาท
12	DBL 1.9 SP Hi-Racer 6AT ราคา 1,070,000 บาท
13	DBL 4x4 3.0 SP  ราคา 1,118,000 บาท
14	DBL 4x4 3.0 SP 6 AT  ราคา 1,153,000 บาท

  นอกจากราคาแล้ว ในช่วงเปิดตัวมีพโรโมชันส่งเสริมการขายอีกแรง กับดอกเบี้ยต่ำสุด 1.99 % ฟรีประกันภัยชั้นหนึ่ง Mazda Premium Insurance 1 ปี ฟรีค่าแรงเชคระยะ 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (เงื่อนไขตามข้อกำหนดของผู้ผลิต) โดย Mazda BT-50 พร้อมให้ทดลองขับ และเปิดรับจองแล้ววันนี้ที่โชว์รูม Mazda ทั่วประเทศ