โค้งอันตราย
โค้งอันตราย: รักษาตัวให้รอด
ผ่านเข้ามาถึงเดือนที่ 8 ของปี สถานการณ์การขายของตลาดรถยนต์ไทย ก็ค่อยๆ กระเตื้องขึ้นบ้างเล็กน้อย ยังสามารถขายได้ 59,335 คัน ลดลง 24.8 % แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนมิถุนายน 2.28 % ทั้งนี้ก็เพราะรัฐบาลผ่อนคลายลอคดาวน์เพิ่มขึ้น รวมทั้งให้การช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 และจากการจัดงานแสดงรถยนต์เมื่อตอนกลางเดือนกรกฎาคมแต่กระนั้น ก็ทำให้ยอดรวมของ 8 เดือน คือ มกราคม-กรกฎาคม ปีนี้ ขายได้ 379,123 คัน ลดลง 35.65 % ก็เป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจโลก ที่ยอดการส่งออกทำได้เพียง 49,564 คัน ลดลง 39.67 % โดยส่งออกลดลงทุกตลาด เนื่องจากยอดขายรถยนต์ในประเทศคู่ค้าลดลงจากการระบาดของ COVID-19 เช่น 6 เดือนแรกปีนี้ ยุโรปลดลง 39.5 % สหรัฐอเมริกาลดลง 23.8 % ญี่ปุ่นลดลง 20.1 % บราซิลลดลง 38.9 % แต่ที่น่าเป็นห่วง คือการที่ “ตลาดรถยนต์โลก” กำลังหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน และอาจถึงจุดอิ่มตัวแล้ว หลังจากเริ่มมีสัญญาณหดตัวนับตั้งแต่ปี 2561 ต่อเนื่องเป็นต้นมา “ยอดขายรถยนต์ที่มีแนวโน้มหดตัว 3 ปีติดต่อกัน บ่งชี้ว่าตลาดรถยนต์โลกกำลังถึงจุดอิ่มตัว และในอนาคตอาจไม่กลับมาเติบโตได้ดีดังเดิม แม้ว่าสถานการณ์ COVID-19 จะคลี่คลายลงไป” นักวิเคราะห์ประเมินจากแนวโน้มใหญ่ ทั้งในด้านเทคโนโลยี และพฤติกรรมการใช้รถยนต์ที่เปลี่ยนไป ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไทยที่ปัจจุบันมีการผลิตเป็นอันดับที่ 11 ของโลก จ้างงานกว่า 7.5 แสนคน และพึ่งพาการส่งออกถึงกว่าครึ่งหนึ่งของยอดการผลิตทั้งหมด แต่ท่ามกลางกระแสของการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีไปยังรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV (Electric Vehicles) ในตลาดหลักอย่างจีน และยุโรป ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมยานยนต์ของเรา ก็เริ่มหันมาให้ความสนใจในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ที่ได้รับการส่งเสริมจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน โดยปัจจุบันมีค่ายรถยนต์ให้ความสนใจยื่นขอส่งเสริมการลงทุนผลิตรถไฟฟ้า หรือ EV จำนวน 13 โครงการ มีกำลังการผลิต 1.25 แสนคัน/ปี มูลค่าลงทุน 1.56 หมื่นล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้กระทรวงอุตสาหกรรมได้เสนอมาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้าไปแล้วสำหรับผู้ผลิต ทั้งการลดภาษีสรรพสามิต 0 % เป็นระยะเวลา 3 ปี ส่วนมาตรการจูงใจผู้ใช้รถยนต์นั้นอยู่ระหว่างการพิจารณา เช่น การชาร์จไฟ ฟรี หรือหักลดหย่อนภาษีนิติบุคคล หรือภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยจะเสนอให้ ครม. ใหม่พิจารณา และล่าสุด รมต. อุตสาหกรรม ก็ออกมาบอกแล้ว ว่ามีการก่อตั้งคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ ซึ่งให้ความเห็นชอบโรดแมพการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า หรือแผน 30@30 ซึ่งความหมายของแผนนี้ คือ ในปี 2030 (2573) วางเป้าหมายให้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 30 % ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมด แบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1. ระยะสั้น จะให้ผลิตรถราชการ รถบัสสาธารณะ และรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารับจ้างสาธารณะ และยานยนต์ส่วนบุคคลอื่นๆ โดยมีเป้าหมาย 60,000-110,000 คัน 2. ระยะกลาง เร่งให้มีการผลิต ECO EV และ Smart City Bus ประมาณ 300,000 คัน และ 3. ระยะยาว ให้มีการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า 750,000 คัน นั่นคืออีก 10 ปีจากนี้เป็นต้นไป ซึ่งความไม่แน่นอนทางการเมือง จะเป็นตัวตัดสินว่า โครงการของคณะกรรมการชุดนี้จะสามารถดำเนินไปได้อย่างสะดวกโยธินหรือไม่ ขณะเดียวกัน การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ก็มีแผนจะติดตั้ง สถานีอัดประจุไฟฟ้า อีก 62 แห่ง จากเดิม 11 แห่ง ภายใต้ความร่วมมือกับ บางจาก ครอบคลุม 42 จังหวัด ในทุกพื้นที่ระยะทาง 100 กิโลเมตร ในสถานีบริการน้ำมันบางจากฯ ซึ่งเดิมจะติดตั้งแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 3 ปีนี้ แต่เนื่องจากติดปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 และระบบการประมูลจัดซื้อจัดจ้างที่ล่าช้า ทำให้คาดว่าจะติดตั้งเสร็จตามแผนได้ในไตรมาส 2 ปี 2564 โดยภายในปี 2565 จะมีสถานีอัดประจุไฟฟ้าทั้งหมด 137 แห่ง เพื่อให้บริการผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า โดยคาดว่า อัตราค่าไฟที่ กฟภ. จำหน่ายให้สถานีของเอกชน ในกรณี Low Priority คาดว่า 2.63 บาท/หน่วย อัตราค่าบริการสถานีของ กฟภ. สำหรับการใช้งานประเภท DC Charger และประเภท AC Charger ในช่วงเวลา Peak จะอยู่ที่ 7.5798 บาท/หน่วย ช่วง off-Peak จะอยู่ที่ 4.7972 บาท/หน่วย เป็นอัตราที่แข่งขันได้กับรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน และแกส โดยเงินลงทุนต่อสถานีชาร์จ 2 หัวจ่ายอยู่ที่ 2.5 ล้านบาท รักจะรักษ์โลกด้วยการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ก็ต้องรอหน่อยนะครับ ทั้งรอสถานีอัดประจุไฟฟ้า กับรอผลพวงจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ที่จะทำให้ค่ายรถยนต์ผลิตรถออกมาให้ได้ใช้กัน ดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจาก COVID-19 เพื่อจะได้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันให้ได้นะครับ
ABOUT THE AUTHOR
ม
มือบ๊วย
คอลัมน์ Online : โค้งอันตราย (บก. ออนไลน์)