รายงานข่าวจากสหรัฐอเมริกา ระบุว่า ในเดือนเมษายน ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศ ที่สามารถจำหน่ายรถกระบะ ได้มากกว่า รถยนต์นั่ง ซึ่งหมายรวมถึง ซีดาน, คูเป, ครอสส์โอเวอร์ และเอสยูวี ถึง 17,000 คัน แม้ว่าจะมีปัญหาในสภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำจากโรคระบาดร้ายแรง COVID-19 นี้ก็ตามสำนักข่าว Bloomburg อ้างอิงจากข้อมูลของ Autodata Corporation ระบุว่า ยอดการขายรถกระบะขนาดใหญ่ ในดีทรอยท์ ของค่ายรถกระบะยักษ์ใหญ่ 3 ค่าย Fiat Chrysler (เฟียต ไครสเลอร์), Ford (ฟอร์ด) และ General Motors (เจเนอรัล มอเตอร์ส) ครองตลาดรวมกัน มากกว่า 40 % ของยอดขายรถกระบะโดยรวม แม้ว่าจะมีโรคระบาดร้ายแรง แต่ความกว้างใหญ่ของประเทศสหรัฐอเมริกา ยังทำให้มียอดการขายรถกระบะ ในมลรัฐที่อยู่ตอนกลาง ที่ได้รับผลกระทบจากโรคระบาดไม่มากเท่าใดนัก ทำให้เกิดปรากฏการณ์รถกระบะ ขายดีกว่ารถเก๋ง ในครั้งนี้ นอกจากนี้ ยอดขายยังได้โอกาสจากการสนับสนุนของไฟแนนศ์ ที่ผู้ซื้อมากกว่า 25 % สามารถได้อัตราดอกเบี้ยเพียง 0 % ในเดือนเมษายน รวมทั้งสามารถผ่อนชำระถึง 84 เดือน เนื่องจากในมลรัฐอื่น ไม่สามารถจำหน่ายรถได้เลย ทำให้ไฟแนนศ์เองก็ต้องขวนขวายด้วยเช่นกัน ซึ่งข้อเสนอนี้ น่าจะช่วยให้ยอดการขายรถยนต์ในเดือนพฤษภาคม ขายได้เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริโภค ว่าจะนิยมใช้รถกระบะ หรือรถเก๋ง เช่นกัน การหยุดสายการผลิตของโรงงาน ทำให้สตอคของบรรดารถกระบะเริ่มเหลือน้อยลง ทำให้ตัวเลือกของผู้บริโภคมีน้อยลงเช่นกัน อันเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ค่ายรถยนต์ต้องการกลับมาเปิดสายการผลิตใหม่อีกครั้ง ให้ได้เร็วที่สุด แม้ว่า บรรดา สหภาพแรงงานของแต่ละโรงงาน จะพยายามขัดขวาง อันเนื่องจากยังเกรงผลกระทบจากโรคระบาดอยู่ ทำให้มีข่าวการปะทะคารมระหว่างสหภาพ และผู้บริหารค่ายรถยนต์ ออกมาอย่างสม่ำเสมอ