ธุรกิจ
เมร์เซเดส-เบนซ์ จัดงาน “เมร์เซเดส-เบนซ์ อีคิว เทค เดย์ 2018”
เมร์เซเดส-เบนซ์ ตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำอันดับ 1 ด้านยนตรกรรมพลังงานไฟฟ้า จัดงาน "เมร์เซเดส-เบนซ์ อีคิว เทค เดย์ 2018" (Mercedes-Benz EQ Tech Day 2018) พร้อมอวดโฉมรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ "อีคิวเอ" (EQA) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย
โรลันด์ โฟลเกร์ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ยนตรกรรมแห่งอนาคตของ เมร์เซเดส-เบนซ์ จะดำเนินงานตามกลยุทธ์ "CASE" ที่มาจากรากฐานแนวคิดใหม่ 4 ประการ ได้แก่ Connected Autonomous Shared & Service และ Electric Drive ที่ทางบริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเพื่อปรับเปลี่ยนการใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในมาเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวคิดดังกล่าวทำให้ เมร์เซเดส-เบนซ์ กำลังก้าวเข้าสู่การเป็นบแรนด์รถยนต์ที่ไม่ปล่อยไอเสียเลย
ในฐานะผู้ผลิตรถยนต์ วิศวกรของ เมร์เซเดส-เบนซ์ มุ่งมั่นในการคิดค้นนวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ตอบโจทย์ความยั่งยืนแห่งอนาคต โดยในปี 2552 รถยนต์คันแรกของโลกที่มีการขับเคลื่อนแบบไฮบริด พร้อมแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ได้ถือกำเนิดขึ้น ในชื่อว่า S400 Hybrid ซึ่งเป็นยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน และมีประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุดเพียง 7.9 ลิตร/100 กิโลเมตร ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นรถยนต์ซาลูนระดับพรีเมียมที่ลดปริมาณแกสคาร์บอนไดออกไซด์ได้ยอดเยี่ยมที่สุดของโลกอีกด้วย ต่อมาในปี 2555 ระบบส่งกำลังไฮบริด เจเนอเรชันที่ 2 ได้รับพัฒนาขึ้นด้วยการใช้พื้นฐานของระบบส่งกำลังแบบเกียร์อัตโนมัติเดินหน้า 7 จังหวะ 7G-Tronic Plus ซึ่ง E300 BlueTEC Hybrid นับเป็นยนตรกรรมระดับพรีเมียมที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลไฮบริดรุ่นแรก ด้วยการผสานประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ดีเซลเข้ากับการขับเคลื่อนแบบไฮบริด ทำให้ เมร์เซเดส-เบนซ์ เป็นผู้กำหนดเป้าหมายใหม่สำหรับการพัฒนายานยนต์ และบรรลุถึงความก้าวหน้าในการทำให้การสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงในรถยนต์นั่งแบบซาลูนระดับพรีเมียม ต่ำเพียง 4 ลิตร/ระยะทาง 100 กม.
เมร์เซเดส-เบนซ์ ได้มีบทบาทต่อการขับเคลื่อนสู่อนาคตมากยิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนายนตรกรรมแบบ Plug-in Hybrid ที่จะมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกรูปแบบการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบเมื่อขับขี่ภายในเมือง หรือการขับขี่แบบไฮบริด ที่ผสมผสานการทำงานระหว่างเครื่องยนต์กับมอเตอร์ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน เพื่อให้ได้ทั้งความประหยัดและการตอบสนองที่รวดเร็ว พร้อมมอบสุนทรียะทุกครั้งที่ขับขี่
โรลันด์ กล่าวเพิ่มเติมว่า รถยนต์ภายใต้บแรนด์ EQ ของเราเป็นมากกว่าแค่รถยนต์ไฟฟ้า แต่เป็นระบบนิเวศไฟฟ้าที่ครอบคลุมทั้งด้านการบริการ เทคโนโลยี และนวัตกรรม โดยภายในปี 2565 บริษัทฯ จะผสานระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าเข้ากับรถยนต์ของ เมร์เซเดส-เบนซ์ อย่างทั่วถึง เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกที่เป็นรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า อย่างน้อย 1 รุ่นในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่รถยนต์จากบแรนด์สมาร์ท ไปจนถึงรถยนต์อเนกประสงค์ขนาดใหญ่ รวมถึงบริษัทฯ กำลังวางแผนจะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 50 รุ่นย่อยอีกด้วย
“วันนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญสู่ยุคใหม่ กับการนำรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ อีคิวเอ มาอวดโฉมที่เมืองไทย โดยรถยนต์รุ่นนี้จะแสดงให้เห็นถึง กลยุทธ์ อีคิว ที่จะถูกนำมาใช้ในรถยนต์กลุ่มคอมแพคท์ ที่โดดเด่นด้วยการผสานความคล่องตัวอันน่าประทับใจเข้ากับระยะทางในการขับขี่ที่ยาวไกล ซึ่งเหมาะเป็นอย่างยิ่งกับการขับขี่ในชีวิตประจำวัน ที่ใช้สถาปัตยกรรมซึ่งพัฒนาขึ้นเพื่อรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบทเตอรี”
การดีไซจ์นรถยนต์ไฟฟ้า เมร์เซเดส-เบนซ์ คอนเซพท์ อีคิวเอ รุ่นนี้เป็นผลจากการนำปรัชญาการออกแบบ Sensual Purity ของเรามาตีความใหม่ โดยลดองค์ประกอบที่เป็นสัน และเส้นออกไป เพื่อเผยสัดส่วนที่น่าตื่นตารวมถึงพื้นผิวที่ราบรื่นไร้รอยต่อ เมื่อผสานกับกราฟิคเร้าอารมณ์ที่เกิดจากการใช้แผงด้านหลังแบบไฮเทคสีดำ บ่งบอกถึงความเป็นที่สุดของการออกแบบที่โดดเด่น ทำให้รถยนต์คันนี้ดูมีเสน่ห์อย่างแท้จริง ซึ่งรถยนต์คันนี้ได้เพิ่มความสวยงามภายนอก ด้วยเทคโนโลยีไฟส่องสว่างที่โดดเด่นด้วยเลเซอร์ ไฟเบอร์ โดยที่ตัวกลางซึ่งถูกกระตุ้นด้วยแสงเลเซอร์ได้ถูกฝังไว้ในแกนกลางของเคเบิลใยแก้วไฟรูปทรงขดเกลียวเล็กๆ สวยสะดุดตาช่วยเน้นย้ำแนวคิดของรถยนต์ไฟฟ้า ทั้งด้วยการออกแบบที่ชวนให้นึกถึงขดลวดทองแดงในมอเตอร์ไฟฟ้า และภาพการเคลื่อนไหวที่ให้มโนภาพถึงการเคลื่อนที่ของกระแสไฟฟ้า และด้วยโหมดการทำงานแบบอัจฉริยะของ เมร์เซเดส-เบนซ์ รถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบ คอนเซพท์ อีคิวเอ สามารถวิ่งได้เป็นระยะทางประมาณ 400 กม. ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความจุของแบทเตอรีที่ติดตั้งเอาไว้ด้วย ซึ่งแบทเตอรีลิเธียม-ไอออนประสิทธิภาพสูงนี้ เป็นแบบเซลล์กระเป๋า (Pouch Cell) ที่ผลิตขึ้นโดยบริษัทย่อยของ ไดมเลร์
สำหรับประเทศไทย เมร์เซเดส-เบนซ์ ทำตลาดรถยนต์ไฮบริดเมื่อปี 2559 และได้ลงทุนสร้างโรงงานผลิตแบทเตอรีใช้เงินลงทุน 1,180 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในประเทศไทย โดยโรงงานจะเริ่มเดินสายการผลิตในปี 2562
ABOUT THE AUTHOR
นุสรา เงินเจริญ
ภาพโดย : เกรียงศักดิ์ ปันสมคอลัมน์ Online : ธุรกิจ (บก. ออนไลน์)