เรื่องน่ารู้
วิธีบรรทุกสัมภาระสำหรับรถเอสยูวี
ผู้บริโภคในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย เริ่มเปลี่ยนจากรถเก๋ง มาเป็นรถกิจกรรมกลางแจ้ง หรือเอสยูวี กันอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากพื้นที่ภายในรถมีการออกแบบให้ใช้งานได้หลากหลาย มาพร้อมที่นั่งแบบ 3 แถว ทำให้สามารถบรรทุกได้ทั้งผู้โดยสาร และสัมภาระไม่ว่าจะเป็นการเดินทางท่องเที่ยวในวันหยุด การย้ายบ้านใหม่ หรือชอพพิง สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยในการขับขี่ เมื่อบรรทุกสัมภาระภายในรถเอสยูวี ดังนั้น เชฟโรเลต์ ขอแนะเคล็ดลับในการขนของขึ้นรถเอสยูวีได้อย่างเต็มที่ และปลอดภัย ดังนี้ 1. คำนวณน้ำหนักบรรทุกก่อน แม้รถเอสยูวีจะมีพื้นที่บรรทุกสัมภาระกว้างขวาง แต่ผู้ใช้ก็ไม่ควรขนทุกอย่างใส่จนเต็มรถตั้งแต่พื้นจนถึงเพดาน ควรคำนึงถึงน้ำหนักในการบรรทุก ซึ่งก็คือความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักสูงสุดของรถ ซึ่งรถแต่ละคันนั้นได้รับการออกแบบมาให้รับน้ำหนักสูงสุดได้ไม่เท่ากัน โดยเฉลี่ยเริ่มตั้งแต่ 400 กม. เป็นต้นไป
การคำนวณน้ำหนักบรรทุกของรถยนต์นั้น คำนวณได้จากน้ำหนักรถรวมน้ำหนักบรรทุกสูงสุด (Gross Vehicle Weight) ลบด้วยน้ำหนักของรถยนต์ในขณะว่างเปล่า ตามด้วยน้ำหนักรวมของผู้โดยสารและเชื้อเพลิง ตัวอย่างเช่น ผู้โดยสารเป็นผู้ใหญ่หนัก 60 กก. 2 คน และเด็กน้ำหนัก 40 กก. 2 คน คุณจะต้องลดน้ำหนักการบรรทุกสัมภาระลงไปอีก 200 กก. และอย่าลืมคำนวณน้ำหนักของน้ำมันเชื้อเพลิง ตัวอย่างเช่น ถ้าต้องการเติมน้ำมันดีเซลเต็มถัง น้ำมันดีเซลมีน้ำหนักประมาณ 0.832 กก./ลิตร ดังนั้น ถ้าเติมน้ำมันเต็มถัง 76 ลิตร จะต้องลดน้ำหนักการบรรทุกลงอีก 63 กก.
2. รักษาจุดศูนย์ถ่วงให้เหมาะสม
ควรวางสัมภาระที่หนักที่สุดไว้ด้านล่างสุดของพื้นที่เก็บสัมภาระ โดยวางสัมภาระให้กระจายน้ำหนักทั่วทั้งพื้นที่บรรทุก เพื่อช่วยให้ศูนย์ถ่วงต่ำลง ลดโอกาสในการพลิกคว่ำ นอกจากนี้ยังช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการควบคุมรถซึ่งเกิดจากน้ำหนักของรถนั่นเอง การนำสัมภาระที่มีน้ำหนักมากไว้ท้ายรถจะทำให้ล้อหน้าลอย ซึ่งอาจส่งผลต่อสมรรถนะการบังคับเลี้ยวและการเบรค 3. รัดแน่นไว้ปลอดภัยดี เพื่อป้องกันไม่ให้สัมภาระกลายเป็นสิ่งอันตรายเมื่อต้องเบรคกะทันหัน ควรเก็บสัมภาระขนาดเล็กใส่กล่องให้เรียบร้อย ส่วนสัมภาระขนาดใหญ่หน่อยควรทำการรัดไว้ในช่องเก็บของ ทำแบบนี้แล้วสัมภาระในรถจะได้ไม่เป็นอันตรายต่อผู้โดยสารเมื่อต้องเบรคอย่างกะทันหัน4. ปรับกระจกให้มองเห็นชัดเจน
พยายามหลีกเลี่ยงการบรรทุกตั้งแต่พื้นจนถึงเพดานรถ และปรับกระจกให้มองเห็นชัดเจน จำไว้ว่าถ้ากระจกมองหลังไม่ชัดจะทำให้การขับขี่เป็นเรื่องยาก และก่อให้เกิดความเสี่ยงขณะถอยหลัง ถ้ามองเห็นข้างหลังไม่ชัดก็มีโอกาสสูงที่จะถอยชนคน หรือสิ่งของได้ 5. ว่าด้วยการเก็บสัมภาระไว้บนหลังคา ควรหลีกเลี่ยงการบรรทุกสัมภาระบนหลังคารถยนต์ เพราะมีผลเสียตามหลักอากาศพลศาสตร์และศูนย์ถ่วง ซึ่งส่งผลต่อการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และการควบคุมรถแม้ในขณะขับด้วยความเร็วต่ำ นอกจากนี้หากมีสัมภาระหลุดลอยไปขณะที่รถเคลื่อนที่อยู่อาจเป็นอันตรายต่อรถคันอื่น อย่างไรก็ตาม การติดตั้งแรคหลังคาอย่างถูกต้องพร้อมราง จะช่วยเก็บสัมภาระให้ปลอดภัย ควรเลือกกล่องเก็บของบนหลังคาที่ได้รับการออกแบบตามหลักอากาศพลศาสตร์ มีความปลอดภัย กันน้ำ และหลีกเลี่ยงการบรรทุกของหนัก พร้อมทำการรัดสัมภาระให้แน่นไม่โยกเคลื่อน6. เก็บสัมภาระที่จำเป็นต้องใช้ให้หยิบง่ายเสมอ
ตรวจสอบให้แน่ใจทุกครั้งว่าเก็บชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน อันได้แก่ สายเคเบิลสำหรับจัมพ์สตาร์ท โทรศัพท์มือถือ และน้ำดื่ม ไว้ในที่ที่หยิบได้ง่ายเมื่อต้องการใช้ ในรถเอสยูวี ยางอะไหล่อาจถูกเก็บไว้ในพื้นที่เก็บสัมภาระในรถ ดังนั้นรถบางรุ่นอาจไม่สามารถเก็บสัมภาระอื่นได้7. ตรวจสอบลมและสภาพยาง
ก่อนขับขี่ คุณควรตรวจสอบยางของคุณเพื่อให้แน่ใจว่ายางอยู่ในสภาพดี ไม่สึกหรอ ดอกยางอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน มีการเติมลมยางอย่างถูกต้องเหมาะสมตามคำแนะนำที่แสดงไว้บริเวณประตูด้านข้างของคนขับ ด้านในฝาน้ำมัน หรือในคู่มือผู้ใช้งาน ผู้ขับควรเติมลมตามตัวเลขที่แนะนำไว้ ไม่ใช่ตามตัวเลขความดันสูงสุดที่เห็นบนขอบยาง เนื่องจากรถยนต์แต่ละรุ่นอาจต้องเติมลมยางแตกต่างกันเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงหรือขณะบรรทุกสัมภาระหนัก 8. อย่าบรรทุกสัมภาระที่ไม่จำเป็น อย่าบรรทุกสัมภาระเกินน้ำหนักที่รถยนต์สามารถรับไหว ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์รุ่นใดๆ ก็ตาม ถ้ารู้สึกว่ากำลังบรรทุกเกินพิกัด ควรหาวิธีลดสัมภาระ จำไว้ว่าความปลอดภัย คือ สิ่งสำคัญที่สุดABOUT THE AUTHOR
เชฟโรเลต ประเทศไทย
ภาพโดย : เชฟโรเลต ประเทศไทยคอลัมน์ Online : เรื่องน่ารู้