นับเป็นความเชื่อกันมานาน ว่าผู้โดยสารที่นั่งโดยสารมาด้านหลัง ไม่มีความจำเป็นต้องรัดเข็มขัดนิรภัย เพราะมีอุบัติเหตุขึ้นมา คนนั่งด้านหน้าก็รับแรงกระแทกไป คนนั่งด้านหลัง ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดๆ กันมานานแต่ในความเป็นจริงแล้ว หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ไม่ว่าจะเกิดจากด้านไหน ก็มักเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ แม้แต่ผู้ขับขี่ แต่หากผู้ขับขี่รัดเข็มขัดนิรภัย ถ้าเป็นการชนด้านหน้า ถุงลมนิรภัยพองตัว ก็ช่วยให้ผู้ขับขี่ไม่กระแทกกับถุงลมนิรภัยจนแรงเกินควร เท่ากับเป็นการป้องกันเอาไว้ชั้นหนึ่งแล้ว ส่วนผู้โดยสารที่นั่งมาในตอนหลังของรถ ที่ไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัย หากเกิดอุบัติเหตุ แรงกระแทกมีโอกาสทำให้ผู้โดยสารหลุดออกจากที่นั่ง ซึ่งอาจรุนแรงจนไปกระแทกกับเบาะนั่งด้านหน้า โอกาสที่จะทำให้ผู้ที่นั่งอยู่ด้านหน้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่ หรือผู้โดยสาร ได้รับแรงกระแทก ทั้งจากแรงด้านหน้า และแรงจากด้านหลัง ที่เกิดจากการชนเบาะนั่งของผู้โดยสาร ย่อมทำให้เกิดบาดเจ็บร้ายแรงได้ แต่หากผู้โดยสารที่นั่งในที่นั่งด้านหลัง รัดเข็มขัดนิรภัย หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เข็มขัดนิรภัยก็จะรั้งตัวผู้โดยสารเอาไว้กับเบาะนั่ง ไม่กระเด็นกระดอนไปกระแทกกับอะไรที่ไหน ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง จากการศึกษาการชนของสถาบันเพื่อความปลอดภัย IIHS พบว่า ผู้โดยสารที่รัดเข็มขัดนิรภัย ไม่ว่าจะที่นั่งใด โอกาสที่จะได้รับอันตรายจากการเกิดอุบัติเหตุมีน้อยมาก ขณะที่ผู้โดยสารที่มีอายุมากกว่า 54 ปี โดยเฉพาะผู้โดยสารที่นั่งที่นั่งด้านหลัง และไม่รัดเข็มขัดนิรภัย มีความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายได้มาก โอกาสของผู้ที่ไม่รัดเข็มขัดนิรภัยจะได้รับบาดเจ็บ มีมากกว่าผู้ที่รัดเข็มขัดนิรภัยถึง 8 เท่า ยิ่งหากเป็นการโดยสารรถสาธารณะ หรือแทกซี ยิ่งมีความจำเป็นที่ผู้โดยสารด้านหลังต้องรัดเข็มขัดนิรภัยมากขึ้น จากการศึกษา สอบถามจากผู้ใหญ่อายุมากกว่า 18 ปี จำนวน 1,172 คน IIHS พบว่า ในการโดยสารในที่นั่งด้านหลังในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา 72 % ของผู้ตอบแบบสอบถามยืนยันว่า รัดเข็มขัดนิรภัย แต่อย่างไรก็ดี มากกว่าครึ่งของผู้ที่เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถชนในสหรัฐอเมริกา ไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัย ซึ่งหมายความว่า จะต้องให้การศึกษากับผู้ที่จำเป็นต้องโดยสารรถยนต์ ถึงอันตรายจากการไม่รัดเข็มขัดนิรภัยให้มากขึ้น