แนะนำเพลง
แนะนำหนัง+เพลง
WORLD WAR Z
"ซอมบีเวอร์ชัน SAVING PRIVATE RYAN !"
บอกกล่าวแบบไม่สุภาพได้คำเดียว ว่านี่เป็นหนังที่ต้องทำการขับถ่ายให้เสร็จสรรพก่อนกด PLAY เพราะตั้งแต่ 5 นาทีแรกเป็นต้นไป หนังไม่เสียเวลาสาธยายความซ้ำซาก อันว่าด้วยเรื่องของไวรัส ซอมบี และวิธีการป้องกันให้เมื่อยตุ้ม พลอทแบบนี้มีมาตั้งแต่สมัยฟีล์มยังเป็นขาวดำ เรื่องของ DEAD WALKER และการเอาชีวิตรอดแทบจะสร้างกันปีต่อปี ใครสร้างดีก็โกยเงินกันไป ไอ้ที่สร้างไม่ดีก็กลายเป็น DEAD FILM MAKER ต่อๆ กันมา
แต่อย่างที่บอก WORLD WAR Z มันไม่ใช่หนังซอมบีสั่วๆ อะไรพรรค์นั้น เอาแค่ชื่อหนังก็กระตุ้นความน่าสนใจได้พอควร สงครามโลกครั้งสุดท้าย เออ มันฟังแล้วน่าสนใจ ยิ่งได้ บแรด พิทท์ มาเล่นนำ มันยิ่งน่าดูเข้าไปใหญ่ โดยเฉพาะข่าวก่อนสร้าง เขาว่ากันว่า บแรด พิทท์ กับ เลโอนาร์โด ดิคาปริโอ ดาราดัง ผู้ผันตัวมาเป็นเจ้าของบริษัทผู้สร้างภาพยนตร์ ต่างก็ยื้อแย่งกันซื้อลิขสิทธิ์นิยายชื่อดังเรื่องนี้ อย่างกับซอมบีแย่งเหยื่ออย่างไรอย่างนั้น
จนแล้วจนรอดแฟนนิยายก็ได้รับชมหนังเรื่องนี้เมื่อราวๆ กลางปีที่ผ่านมา สงสารก็แต่คนที่คิดว่านี่เป็นหนังที่ บแรด พิทท์ จะมาขายหน้าตา เดินถือน้ำเข้าไปกินในโรงหนังพร้อมกับปัสสาวะที่กักตุนไว้ แต่พอมาเจอเนื้อหาที่ตัดฉับไวให้คนได้ลุ้นระทึกกันแบบหายใจไม่ทั่วท้อง ยิ่งน่าสงสารเข้าไปใหญ่
ใช่แล้ว เพราะนี่เป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ผู้เขียนรู้สึกลุ้นและหายใจไม่ทั่วท้อง นับตั้งแต่ช่วงวัยที่เลยเลข 3 เป็นต้นมา ถ้าจะบอกว่า SAVING PRIVATE RYAN คือหนังสงครามที่สมจริงและอึดอัดที่สุด โดยเฉพาะช่วงยกพลขึ้นหาด 20 นาทีแรก นี่ก็เป็นการถ่ายทอดภาพจินตนาการถึงซอมบีที่น่าระทึกที่สุด
ซอมบีในเรื่องมันทั้งว่องไว และกระเหี้ยนกระหือรือที่จะแพร่เชื้อ ตัวพระเอกเองก็มีทั้งเมียและลูกต้องดูแล จับพลัดจับผลูลูกชาวบ้านก็เพิ่มมาอีก 1 คน ตัวเองลาออกจากองค์การสหประชาชาติ มาอยู่กับลูกๆ กะจะใช้ชีวิตง่ายๆ ก็ต้องยอมสละตนไปปฏิบัติหน้าที่ตามหาต้นตอแหล่งแพร่เชื้อถึงเกาหลี แต่แล้วก็มาตกม้าตาย สุดท้ายเลยต้องไปถึงอิสราเอล เพื่อสืบเสาะเงื่อนงำที่จะนำมารับมือ
ในส่วนนี้หนังบอกไว้ว่า ธรรมชาตินี่ก็เหมือนฆาตกรโรคจิต มันฆ่าไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง แต่มันก็ทิ้งร่องรอยไว้ให้เราตามได้เสมอ เพราะจะมีประโยชน์อะไรถ้าลงมือไปแล้วไม่มีใครรู้ว่าเป็นมัน กับอีกคำหนึ่งที่น่าสนใจก็คือ จุดอ่อนของธรรมชาติ...ธรรมชาติย่อมทำให้เหมือนจุดแข็ง
สรุปกันเลยว่า นี่คือหนังที่มันมาก ดูแล้วลุ้นตลอด ไม่ถึงกับเส้นกระตุก แต่ก็ละสายตาไม่ได้ ไอ้ที่จะมาเกร็งหุ้นไปด้วยนั่งดูหนังเรื่องนี้ไปด้วย รับรองว่าเจ๊งระเนระนาด เพราะหนังเขาวางจังหวะมาดีสุดๆ บทจะผ่อนก็ผ่อนให้เราแค่หายเหนื่อย พอเริ่มหายใจได้ เขาก็นับจังหวะหนึ่งใหม่แล้วพาเราไปสู่จุดระทึกอีกครั้ง ไม่เสียทีที่ดาราดังเขาแย่งบทกันมาทำ วัตถุดิบตั้งต้นมันมาดี ทำเสียทีก็กระไรอยู่...
ศิลปิน : THE BLACK KEYS
อัลบัม : EL CAMINO
แนวดนตรี : GARAGE ROCK
อินดีสำเนียงบลูส์ใต้ !
หวังว่านี่จะไม่เป็นการแนะนำวงดนตรีที่ออกมาล่าช้าเกินไปหน่อย เนื่องจากวงและอัลบัมที่กำลังจะกล่าวถึงนี้ออกวางแผงมาตั้งแต่เมื่อปี 2011 แต่ดันมาดังระเบิดเถิดเทิงก็ตอนประกาศผล GRAMMY AWARD เมื่อช่วงต้นปี 2013 โดยพวกเขากินรวบทั้งรางวัลเพลงรอคยอดเยี่ยม และอัลบัมรอคยอดเยี่ยม กลายเป็นอีก 1 วง ที่ขยับขึ้นมาเป็นแถวหน้าของวงการรอคอเมริกัน
ย้อนกลับไปเมื่อฉบับที่แล้ว ผู้เขียนเพิ่งเอ่ยแนะนำวง ARTIC MONKEY ลิงขั้วโลกที่จุติ ณ ประเทศอังกฤษก่อนไปโลดแล่นที่สหรัฐอเมริกาไปหมาดๆ มาฉบับนี้ก็ได้มาพบกับยอดวงดนตรีรอคสมัยใหม่ของฝั่งสหรัฐอเมริกาบ้าง ซึ่งจะว่าไปแล้วพวกเขาทั้ง 2 คนก็ล้วนมีเนื้อหาสาระของแก่นดนตรีไม่หนีกันเท่าไร โดยเฉพาะการริฟฟ์กีตาร์ หรือเมโลดีช่วงอินทโร ที่ยียวนกวนใจคนฟังให้ต้องโยกหัวตามอย่างอดไม่ได้
THE BLACK KEYS คือ วงบลูส์รอคที่เรากำลังจะเอ่ยถึง เรื่องราวเริ่มจาก 2 หนุ่มเมืองโอไฮโอ ที่จุดตำนานของตนอย่างง่ายๆ ไม่โลดโผน DAN AUERBACH นักร้องและมือกีตาร์ ต้องการจะอัดเดโมของตนส่งไปให้บรรดาผับต่างเมืองรับตนเข้าเป็นนักร้องประจำ จึงไหว้วาน PATRICK CARNEY มาช่วยเล่นกลองให้ แต่กลับกลายเป็นว่าวันนั้นมีแต่พวกเขา 2 คนที่กระหน่ำเล่นเพลงบลูส์อย่างเมามัน เนื่องจากนักดนตรีคนอื่นๆ ผิดนัดกันไปหมด
หนึ่งเสียงร้อง หนึ่งเสียงกีตาร์ และหนึ่งเสียงกลอง จึงหลอมรวมกันเป็นหนึ่งวงดนตรีที่มุ่งมั่นจะผลิตเพลงในแนวทางของตนเอง โดยมีเพลงบลูส์รอค ฮาร์ดรอค พังค์ และการาจรอค เป็นแนวทางให้พวกเขาแกะรอยตามหาเส้นเสียงของตนเอง ไม่นานหลังจากนั้น 6 เดโมซิงเกิลก็คลอดออกมา แล้วมีค่ายเพลงแนวอินดีที่ชื่อ ALIVE รับเพลงของพวกเขาไปปลุกปั้นจนกระทั่งมันกลายเป็นผลงานสตูดิโออัลบัมเต็มชุดแรกชื่อ THE BIG COME UP ในปี 2002 และต่อมาก็มีผลงานออกมาอีก 6 อัลบัม ในชุดสุดท้ายนั้นมีชื่อว่า EL CAMINO วางจำหน่ายเมื่อปี 2011
ผลงานของพวกเขาในยุคแรกแม้จะไม่ดังเปรี้ยงปร้าง แต่ก็มีคนพูดถึงกันอยู่บ้าง โดยเฉพาะการดึงเอาสำเนียงเพลงบลูส์มาปูทางให้กับเพลงรอคของตนเอง ช่วง 3-4 อัลบัมแรกจึงเป็นการกรุยทางที่ค่อนข้างไม่เหมือนใคร แม้พวกเขาจะฟังคล้ายการาจ หรือพังค์ในยุคเดียวกัน แต่เมื่อพิจารณาไปไม่นานก็จะพบความแตกต่าง และนี่เองที่เป็นเสน่ห์ของวง ที่ทำให้ 2 หนุ่มเริ่มมีแฟนเพลงติดตามมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงอัลบัมสุดท้าย พวกเขาก็ทำเพลงออกมาได้โดนใจคนกลุ่มใหญ่มากขึ้น กลายเป็นอัลบัมที่ร้อนแรงติดหูคนฟังในทันทีที่ได้ยิน
ทั้งหมด 11 บทเพลง ในจังหวะเร่งเร้าเอาใจคอรอค มีเพลงเอกอย่าง GOLD ON THE CEILING ที่สิงห์ 2 ล้อรุ่นใหญ่สไตล์ชอพเพอร์ ชอบนำไปเปิดคลอพาร์ที และเพลง LONELY BOY ที่เปิดตัวด้วยการริฟฟ์กีตาร์หนาหู และเร้าอารมณ์ กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ทิ้งลายเดิม ด้วยเพลงช้าไต่จังหวะ LITTLE BLACK SUBMARINES เฉพาะเพลงนี้เพลงเดียวก็ได้ใจคอเซาเธิร์นรอค บลูส์ และฮาร์ดรอคจ๋าๆ จนสมควรแล้วที่ได้รางวัลอัลบัมรอคยอดเยี่ยม มาครอง !
ABOUT THE AUTHOR
ก
กองบรรณาธิการ
นิตยสาร 409 ฉบับเดือน พฤศจิกายน ปี 2556
คอลัมน์ Online : แนะนำเพลง