รู้ลึกเรื่องรถ
หมุนพวงมาลัยรถ อย่า "ล้วง" ด้านใน
ปัญหานี้ผมเห็นมานานแล้วครับ ที่ไม่ได้เขียนถึงเพราะไม่ค่อยมีผลด้านความปลอดภัยนักและจำนวนรวม ทั้งสัดส่วนของผู้ที่ปฎิบัติไม่ถูกต้องก็ยังไม่มากด้วย พอมาถึงช่วงเศรษฐกิจไทยเฟื่องฟู พร้อมกับราคารถลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับรายได้ของชาวเมืองผู้ใช้รถ (ก่อนการลดค่าเงินบาทครั้งล่าสุด) พฤติกรรมนี้จึงค่อยเด่นชัดขึ้นมาเรื่อยๆ
ผมต้องขับรถผ่านซอย 26 ถนนสุขุมวิทวันละหลายครั้ง รถที่ผ่านช่วงกลางซอยจะต้องเลี้ยวซ้ายและเลี้ยวขวาเป็นมุมฉากสองครั้ง วันหนึ่งของสัปดาห์ที่เพิ่งผ่านมา ทิศทางที่ผมขับอยู่นั้นรถติดสาหัสมาก รถผมจึงหยุดอยู่ตรงช่วงที่เลี้ยวซ้ายเป็นมุมฉากพอดี ไม่มีอะไรให้ผมมองฆ่าเวลา นอกเสียจากลีลาการหมุนพวงมาลัยของผู้ที่ขับรถสวนมา ผมเริ่มแปลกใจเมื่อเห็นผู้ขับรถเกือบทุกคัน หมุนพวงมาลัยโดยการ "ล้วง" มือซ้ายเข้าไปจับด้านในของพวงมาลัย (เพื่อเลี้ยวขวา) คราวนี้ผมเริ่มต้นสังเกตอย่างจริงจัง โดยนับรถเป็นจำนวน 10 คัน โดย 9 ใน 10 ราย หมุนพวงมาลัยเช่นที่ว่า ผมตั้งต้นนับใหม่อีก 10 คัน คราวนี้ยิ่งต้องตะลึง เพราะผู้ขับทั้ง 10 ราย ใช้วิธีล้วงเข้าไปจับด้านในของพวงมาลัยกันทุกคน อีกสิ่งหนึ่งที่สร้างความแปลกใจให้แก่ผมก็คือ ผู้หญิงทุกคนในช่วงที่ผมสังเกต หมุนพวงมาลัยด้วยวิธีนี้
ผมขับรถมาถึงที่ทำงานด้วยคำถามเบื้องต้นว่า "ทำไม ?" คำตอบก็คือ ไม่มีใครเป็นฝ่ายผิด ในเมื่อทุกคนไม่ได้ผ่านการเรียนขับรถจากโรงเรียนสอนขับรถยนต์มาตรฐานมา (เพราะยังไม่เคยมีในประเทศนี้จนถึงบัดนี้) ญาติ มิตร หรือคนรู้จักที่สอนขับรถมา ก็ไม่รู้ว่าต้องจับพวงมาลัยอย่างไรเหมือนกัน และก็เป็นเช่นนี้ต่อเนื่องมาเป็นลูกโซ่ โดยจะเน้นเพียงให้จับพวงมาลัยให้นิ่งขณะขับทางตรงและต้องเปลี่ยนเกียร์ (ธรรมดา) เวลาเลี้ยวต้องคืนพวงมาลัยให้ทันและถูกจังหวะเท่านี้เองครับ
เมื่อหลายสิบปีก่อนนี้ วิธีหมุนพวงมาลัยแบบจับด้านใน ยังไม่แพร่ระบาดไปทั่วเหมือนยุคนี้ ส่วนใหญ่เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ที่รับจ้างขับรถทั้งหลาย เช่น รถบรรทุก รถเมล์ รถแทกซี และผู้รับจ้างขับ "รถบ้าน" ต่อมาคงเป็นการ "เอาอย่าง" ของพวกเรา เพราะจิตใต้สำนึกยกย่องนักขับรถอาชีพเหล่านี้ ว่าสิ่งที่พวกเขานิยมปฏิบัติในการขับรถ ต้องเป็นวิธีที่ดีและถูกต้องเป็นแน่แท้ ประการที่สอง ท่าเอื้อมมือไปจับพวงมาลัยด้านในฝั่งตรงกันข้ามของแขนเราแล้วดึงเพื่อให้พวงมาลัยหมุนนั้น มองอย่างผิวเผิน โดยไม่คำนึงถึงหลักทางกลศาสตร์ และสรีรศาสตร์แล้ว น่าจะเป็นท่าที่ผ่อนแรงผู้ขับได้ดีที่สุด
ซึ่งไม่เป็นความจริงครับ ที่จริงแล้วตรงกันข้าม การหมุนพวงมาลัยแบบนี้ต้องใช้แรงมากกว่าหมุนแบบถูกต้องเสมอและเป็นในทุกกรณีด้วย ไม่ว่าผู้ขับจะเป็นหญิงหรือชาย รถนั้นจะมีระบบผ่อนแรงพวงมาลัยหรือไม่ จะเป็นรถเก๋งหรือรถบรรทุก พวงมาลัยจะค่อนข้างตั้งในแนวดิ่ง หรือเอนในแนวราบ จะเป็นการเลี้ยวธรรมดา หรือการต้องหมุนพวงมาลัยมากขณะรถหยุด เช่น การเข้าจอด ไม่มีกรณีใดเลยที่การจับพวงมาลัยด้านในให้ผลดีกว่า ยังไม่รวมถึงผลเสียด้านความปลอดภัยอีกส่วนหนึ่งด้วย
มาดูข้อเสียข้อแรก คือ เรื่อง "แรง" กันก่อนครับ การหมุนพวงมาลัยโดยการจับด้านใน สามารถใช้แรงจากแขนได้ทีละข้างเท่านั้น เช่น เมื่อต้องการหมุนพวงมาลัยเลี้ยวซ้าย เราจะต้องเอื้อมมือขวาไปจับด้านในส่วนบนของพวงมาลัย แล้วดึงลงด้านล่างทางซ้าย จากนั้นจึงใช้มือซ้ายจับพวงมาลัยด้านนอกส่วนบนดึงลงมาด้านล่างทางซ้ายเช่นกัน ผมขอใช้ตำแหน่งตัวเลขของหน้าปัดนาฬิกากับตำแหน่งที่มือของเราจับพวงมาลัยเพื่อให้เข้าใจง่ายนะครับ
ย้อนกลับไปช่วงที่เราจะเริ่มหมุนพวงมาลัยเลี้ยวซ้ายใหม่ มือซ้ายเราอยู่ที่เลข 9 เราจะเอื้อมมือขวาไปจับ (ด้านใน) ที่เลข 11 (หรือเลข 12 ถ้ายอมเมื่อยเพื่อบิดข้อมือ) จากนั้นจึงออกแรงหมุนพวงมาลัย ลอง "หยุด" ดูแนวแขนของเราขณะนี้ จะเห็นว่าต้องเหยียดแขนเกือบสุด และการดึงลงด้านล่าง เราไม่มีโอกาสใช้แรงโดยการงอข้อศอก แต่กลับต้องใช้กล้ามเนื้อที่หัวไหล่แทน วิธีนี้กล้ามเนื้อหัวไหล่ต้องทำงานหนักมาก แต่ได้แรงที่มือซึ่งดึงวงพวงมาลัยลงด้านล่างนิดเดียว ขณะที่เริ่มดึงมือขวาลงด้านล่าง มือซ้ายของเราก็จะปล่อยจากพวงมาลัยตรงเลข 9 พอมือขวาดึงมาถึงเลข 6 เราก็จะใช้มือซ้ายจับพวงมาลัย (ด้านนอก) ที่เลข 11 ดึงพวงมาลัยลงด้านล่างต่อ พร้อมกันกับปล่อยมือขวาที่เลข 6 เพื่อเตรียมไปจับด้านในที่เลข 11 อีกครั้ง ทันทีที่มือซ้ายดึงถึงเลข 6 ช่วงที่ใช้มือซ้ายดึงนี้ เป็นช่วงที่ถูกต้องของการหมุนพวงมาลัยแบบไม่ถูกต้อง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ถูกครึ่งและผิดครึ่ง การใช้มือซ้ายดึงพวงมาลัยฝั่งซ้ายถูกต้องตามหลักกลศาสตร์ เพราะไม่ต้องยื่นแขนทแยงเฉียง ขณะที่มือซ้ายกำพวงมาลัยที่เลข 11 แขนของเราจะยืดเกือบสุดการดึงจากเลข 11 มายังเลข 6 ทำได้ง่ายและเบาแรงโดยการงอแขน ซึ่งใช้กล้ามเนื้อหน้าแขน ส่วนที่อยู่ระหว่างไหล่และข้อศอกการหมุนพวงมาลัยช่วงนี้ จึงเหมือนหรือซ้ำกับการหมุนพวงมาลัยแบบถูกต้อง ซึ่งผมขอกล่าวทีหลัง
คราวนี้มาดูว่า ถ้ารถของเราไม่มีระบบผ่อนแรงพวงมาลัย ไม่ว่าจะเป็นรถเก๋ง หรือรถ 10 ล้อ แล้วเราต้องเข้าจอดในที่แคบ โดยหมุนพวงมาลัยด้วยมือทั้งสองพร้อมกันเลย แน่นอนครับ แรงจากแขนทั้งสองช่วยเสริมกันได้ แต่แรงจากแขนขวา (ในตัวอย่างของการเลี้ยวซ้าย) ก็มีอยู่ไม่มาก ดังที่ได้อธิบายมาแล้ว ไม่มีทางสู้การหมุนแบบถูกต้อง โดยจับด้านนอกของพวงมาลัยทั้งสองมือได้เลย
ผมเคยกล้ามเนื้อหัวไหล่อักเสบ ทุกครั้งที่หมุนพวงมาลัยจะมีอาการปวดเพราะถึงจะหมุนพวงมาลัยแบบถูกต้อง กล้ามเนื้อหัวไหล่ก็ยังต้องทำงานด้วยอยู่ดี จึงถือโอกาสลองหมุนพวงมาลัยแบบจับด้านในแล้ว "สาว" ดู ความปวดเพิ่มขึ้นอย่างมากทันทีครับเพราะกล้ามเนื้อหัวไหล่ต้องทำงานเพิ่มขึ้น มาดูด้านความรวดเร็วว่องไวกันบ้างการหมุนโดยจับพวงมาลัยด้านใน ช้ากว่าการหมุนแบบถูกต้องอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะเมื่อต้องเลี้ยวด้านใดด้านหนึ่งแล้วต้องเลี้ยวกลับอีกด้านกะทันหัน
ปัญหาต่อมาอีกข้อของการหมุนพวงมาลัยโดยจับด้านใน คือ จังหวะครับ ผู้ที่หมุนพวงมาลัยวิธีนี้มาตลอด จะนึกออกทันทีว่าพบสถานการณ์นี้อยู่เป็นประจำเช่นต้องเลี้ยววงแคบปานกลาง คือไม่น้อยขนาดขับตามถนนโค้งในเมือง และก็ไม่มากขนาดหักข้อศอก บางทีเอื้อมมือขวาไปกำวงพวงมาลัยด้านซ้ายที่ตำแหน่ง 11 หรือ 10 ไว้แล้ว (จากการเลี้ยวซ้ายตามตัวอย่างของเรา) พบว่าที่จริงแล้วแค่จับพวงมาลัยแบบตอนขับทางตรงแล้วหมุนโดยไม่ต้องปล่อยมือจากพวงมาลัยก็พอ เลย เก้ๆ กังๆ บางทีต้องชักมือขวากลับมาที่เดิมก็มี สมมติว่าความโค้งของถนนมากพอ ขณะกำลังเลี้ยวโค้งด้วยมุมคงที่ตอนมือขวาอยู่แถวๆ เลข 6 แล้วมีเหตุฉุกเฉินให้ต้องหมุนพวงมาลัยกลับให้ล้อเลี้ยวขวาแทน ผู้ที่จับพวงมาลัยวิธีนี้จะไม่สามารถบังคับล้อให้เลี้ยวไปทางขวาได้ทันเลย ที่ทำได้อย่างเร็วพอใช้ได้ ก็เพียงให้ล้อกลับมาแนวตรงเท่านั้น คือ "คืน" พวงมาลัยโดยมือขวา จากเลข 6 มายังเลข 12 (ล้อตรง) ไม่มีทางหมุนต่อไปยังเลข 2 หรือ 3 ได้ เพราะแขนของเราบิดตัวได้เพียงเท่านี้ แต่ถ้าเลี้ยวแบบจับพวงมาลัยด้านนอก เราสามารถเลี้ยวรถกลับทิศกะทันหันได้ครับ
คราวนี้มาดูวิธีหมุนพวงมาลัยแบบถูกต้องกันบ้าง เริ่มต้นตั้งแต่ขับทางตรงอยู่มือซ้ายของเราจะอยู่ที่เลข 9 ส่วนมือขวาอยู่ที่เลข 3 เมื่อต้องการเลี้ยวซ้ายให้คลายมือซ้ายที่กำวงพวงมาลัยอยู่ ไม่ต้องยกมือออกจากพวงมาลัยนะครับ แค่คลายให้หลวมแล้วเลี่อนหรือ "รูด" มือซ้ายจากเลข 9 ไปยังเลข 12 กำมือซ้ายให้กระชับพร้อมกับคลายมือขวาที่เลข 3 ใช้แขนซ้ายดึงวงพวงมาลัยจากเลข 12 มายังเลข 6 พร้อมกันนี้ให้เลื่อนมือขวาซึ่งกำอย่างหลวมๆ อยู่ ลงด้านล่างจากเลข 3 มายังเลข 6 ทันทีที่ทั้งสองมือชนกันที่เลข 6 ให้คลายมือซ้ายแล้วกำมือขวาให้แน่น ใช้แขนขวาดันวงพวงมาลัยขึ้นด้านบน จากเลข 6 ไปยังเลข 12 ทำเช่นนี้สลับกันไป "ฝรั่ง" เรียกว่าวิธีเลี้ยวแบบ "ดันและดึง"
ถ้าเลี้ยวเพียงเล็กน้อย ยังไม่จำเป็นต้องใช้วิธีนี้ก็ได้ เช่นขับเข้าโค้งความเร็วค่อนข้างสูง ที่ต้องการหมุนพวงมาลัยเพียงประมาณ 60 องศา ให้หมุนพวงมาลัยโดยไม่ต้องขยับมือทั้งสองข้าง เช่น มือซ้ายจากเลข 9 มาเลข 7 มือขวาจากเลข 3 มาเลข 1 (โค้งซ้ายตามตัวอย่าง) หรือสมมติว่าโค้งนี้เป็นทางยาว เราไม่อยากยกแขนขวาอยู่สูงเป็นเวลานาน ก็สามารถประยุกต์ใช้วิธี "ดันและดึง" ได้ คือ เมื่อเกือบจะถึงโค้ง คลายมือซ้ายแล้วเลื่อนจากเลข 9 ไปยังเลข 11 แล้วกำแน่นพร้อมกับคลายมือขวาที่เลข 3 ดึงวงพวงมาลัยด้วยแขนซ้ายจากเลข 11 มายัง เลข 9 ให้วงพวงมาลัย "รูด" ผ่านมือขวาซึ่งคลายไว้แต่อยู่นิ่ง พอมือซ้ายดึงพวงมาลัยมาถึงเลข 9 ให้กำมือขวาเสริมด้วย รถจะกำลังเลี้ยวโดยที่แขนของเราอยู่ในท่าเสมือนขับทางตรง วิธีนี้ช่วยให้สบายขึ้นและรู้สึกต่อการทรงตัวของรถโดยการสัมผัสพวงมาลัยได้ดีขึ้นเล็กน้อย ระหว่างที่จับพวงมาลัยในทางโค้ง (ซ้าย) ให้ใช้แรงของแขนซ้ายและมือซ้ายเป็นหลักในการตรึงพวงมาลัย เพราะการควบคุมแรงดึงของแขนและมือของเรา ทำได้ละเอียดอ่อนกว่าการดัน เมื่อจะพ้นโค้งเข้าสู่ทางตรง ให้คลายมือขวาแต่อยู่ที่เดิม มือซ้ายกำแน่นแล้วหมุน(ที่จริงไม่ต้องหมุนเพราะพวงมาลัยจะมีแรงดึงกลับให้รถแล่นตรงตลอดเวลา) จากเลข 9 ไปเลข 11 กำมือขวาที่เลข 9 แล้วคลายมือซ้ายให้หลวม "รูด" มือซ้ายจากเลข 11 มายังเลข 9 แล้วกำเพื่อขับทางตรงต่อไป
คราวนี้มาดูว่าทำไมการเลี้ยวกลับทางกะทันหัน จึงสามารถทำได้อย่างรวดเร็วเช่นเมื่อเริ่มเลี้ยวซ้าย ขณะกำมือซ้ายที่เลข 12 แล้วดึงมาที่เลข 6 แต่มาได้แค่เลข 9 ก็มีเด็กหรือสุนัขโผล่มาจากข้างทางเราสามารถใช้มือซ้ายคืนพวงมาลัย จากเลข 9 มายังเลข 12 (คือตำแหน่งล้อตรง) แล้วหมุนเลยไปทางขวาต่อด้วยมือซ้ายได้เลยจนถึงเลข 4 ก็ยังไหวครับ
วิธีหมุนพวงมาลัยแบบ "ดันและดึง" นี้ต้องฝึกจังหวะการกำแน่นและคลายมือทั้งสองข้างสลับกันให้คล่อง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่ต้องใช้เวลาฝึกฝน ต้องฝึกให้สำเร็จก่อนครับ จึงจะเห็นข้อดีของมันมากมาย อย่าลองขยับแค่ 2-3 ที พองงหรือเบื่อแล้วเหมาว่า "ล้วง" แบบเดิมก็สบายดีแล้วนะครับ
คราวนี้มาดูว่า ถึงที่สุดแล้วหากต้องการเน้นเฉพาะเรื่องทุ่นแรงหรือ "ได้แรง" กันแล้ว ทำไมวิธี "ดันและดึง" ก็ยังดีกว่าอยู่นั่นเอง
เอาเป็นว่าเราต้องหมุนพวงมาลัยรถตู้ หรือรถบรรทุกที่ไม่มีระบบผ่อนแรงพวงมาลัย และรถก็จอดอยู่นิ่งด้วยวิธีจับด้านในซึ่งไม่ช่วยให้ทุ่นแรงเรา หรือ "ได้แรง" หมุนล้อหน้าให้เลี้ยวนั้น ผมอธิบายไปแล้วตอนต้น
ในกรณีเช่นนี้เราจะมีวิธีแตกต่างจากการเลี้ยวแบบปกติเล็กน้อย เมื่อต้องการให้ล้อรถเลี้ยวไปทางซ้ายเช่นเคยตามตัวอย่าง ให้คลายมือซ้ายแล้วเลื่อนจากเลข 9 ไปประมาณ เลข 10 หรือเลข 11 เท่านั้นครับ แล้วกำมือซ้ายให้แน่น คลายมือขวาที่เลข 3 แล้ว "รูด" มือมาที่เลข 5 หรือแค่เกือบๆ ถึงก็พอ กำมือขวาแน่นออกแรงแขนพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง ข้างซ้ายเป็นแรงดึง ข้างขวาเป็นแรงดัน จะได้แรงเต็มเม็ดเต็มหน่วยทั้ง 2 แขนครับ ด้านซ้ายใช้กล้ามเนื้อต้นแขนด้านหน้า ส่วนด้านขวาใช้กล้ามเนื้อต้นแขนด้านหลัง ไม่ต้องใช้กล้ามเนื้อหัวไหล่ขวาซึ่งไม่ได้ให้แรงอะไรนัก ตัวเราก็ไม่ต้องการการยึดเหนี่ยวเป็นพิเศษ ดึงพวงมาลัยด้วยแขนซ้ายจากเลข 11 มายังเลข 7 หรือ 8 พร้อม ๆ กับดันมือขวาจากเลข 5 ไปยังเลข 2 หรือ 1 จากนั้นรูดมือซ้ายจากเลข 7 ไปยังเลข 11 อีกครั้ง มือขวาก็ทำทำนองเดียวกันจนกว่าจะเลี้ยวได้พอ
แต่ใครที่ถนัดแบบไขว้แขนแล้วใช้วิธีนี้มานานจนคล่องแล้ว ก็ใช้วิธีเดิมต่อไปได้ครับ ขออย่างเดียว คือ อย่าล้วงมือเข้าไปกำพวงมาลัยจากด้านในเป็นอันขาด แต่สุดท้ายแล้วก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก ตราบใดที่คนไทยยังหัดขับรถกันเอง และถือว่าการขับรถ "ได้" คือ ขั้นตอนสูงสุดของการขับรถ
ABOUT THE AUTHOR
เ
เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ