รู้ทันเทคนิค
เบาะเด็ก
วันนี้โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่ง ได้แนะนำพ่อแม่และครอบครัวเด็กแรกเกิดว่า ต้องนำ "เบาะเด็ก" (CAR SEAT) มารับสมาชิกใหม่ในบ้าน บางแห่งยังไม่เข้มงวดมาก ถ้าหากบ้านไหนไม่นำมาอาจติเตียนบ้าง แต่บางแห่งก็ไม่ยอมให้เด็กกลับบ้านถ้าไม่มีเบาะเด็ก ซึ่งก่อนคลอดนับย้อนกลับไปตั้งแต่วันฝากครรภ์ก็ได้มีการแจ้งไว้แล้ว ว่าเบาะเด็กมีความสำคัญเพียงใด ปัจจุบันเทคโนโลยีในการผลิตเบาะนั่งสำหรับเด็กนั้นพัฒนาไปมาก ทำให้การเดินทางสำหรับเด็กมีความปลอดภัยมากขึ้น พ่อแม่หัวเก่าที่มองว่าเบาะเด็กเป็นของฟุ่มเฟือยไม่จำเป็น ตนเองเกิดมาก็ไม่มีเบาะเด็กก็โตมาได้ ซึ่งเป็นความคิดที่ค่อนข้างล้าหลัง เพราะเทคโนโลยีใหม่ๆ มันย่อมเปลี่ยนไปตามกาลเวลา
เบาะสำหรับเด็ก มีประโยชน์มหาศาล
หลายคนรักลูกรักหลานแบบเสียได้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พอพูดถึงเรื่องเบาะเด็ก กลายเป็นว่าฟุ่มเฟือย อย่าลืมนะครับว่าเบาะเด็กมันไม่ใช่ของเล่น แต่มันคือ อุปกรณ์ความปลอดภัยที่ทำให้ลูกหลานคุณเติบโตมาอย่างสมบูรณ์ หลายคนปล่อยให้ลูกหลานวิ่งซนอยู่ในรถ ปล่อยให้เด็กยืนเล่นบนเบาะหน้ารถยนต์ โดยผู้ขับคอยเอามือซ้ายประคองไว้เวลาเบรค หรือเร่งแซง คุณคิดว่ากำลังแขนของคุณมีความปลอดภัยแล้วหรือ ? น้ำหนักเด็กเมื่อคูณด้วยความเร็วรถที่วิ่งอยู่ เมื่อมีการปะทะ ตัวเด็กจะกระแทกเข้ากับคอนโซลหน้ารถ ไม่ก็พุ่งทะลุกระจกออกไป มันรุนแรงขนาดนั้นนะครับ
ถ้านึกภาพไม่ออกว่าเด็ก 2-4 ปี จะเป็นอย่างไร ถ้าขับรถด้วยความเร็ว 60 กม./ชม. เมื่อเกิดการปะทะกับรถคันที่สวนมา หรือชนท้ายรถที่จอดอยู่ แรงปะทะจะมีขนาดหลายร้อยกิโลกรัม ถ้าเด็กหนักมาก และรถวิ่งเร็วมาก แรงปะทะที่เกิดขึ้นกับตัวเด็กมีหน่วยเป็น "ตัน" หรือ 1,000 กิโลกรัมเลยทีเดียว
และถ้ายังไม่เห็นภาพ ให้ลองขึ้นรถสองแถวแล้วยืนโดยไม่ต้องจับราว ยืนกอดอกแน่นๆ เวลารถเบรคแรงๆ แล้วคุณจะรู้ว่าเจ็บแค่ไหน แต่นั่นยังไม่เท่าที่ลูกหลานคุณเจ็บ เพราะผู้ใหญ่ยังรู้จักที่จะยั้งตัวเอง หรือผ่อนตัวเองตามสถานการณ์ แต่เด็กไม่สามารถทำได้ เพราะเขาไม่รู้เรื่อง หลายปีก่อนมีข่าวเด็กวัยต่ำกว่าขวบกระเด็นทะลุกระจกหน้าออกมานอกรถ พ่อแม่ก็มัวแต่โทษรถว่าไม่ปลอดภัย ทั้งๆ ที่อุ้มลูกอยู่บนตักแท้ๆ
อันตรายที่เกิดกับเด็ก นอกจากตัวเด็กแล้ว หลายเหตุการณ์ผู้ใหญ่ก็เป็นคนที่ทำให้เด็กเกิดอันตราย กรณีที่คุณอุ้มลูกในอ้อมแขน และนั่งในตำแหน่งเบาะนั่งหน้าซ้าย เมื่อเกิดแรงปะทะ นอกจากโมเมนทัมของตัวเด็กเอง ยังมีน้ำหนักตัวของผู้ใหญ่มาเสริม เด็กจะถูกอัดเข้ากับคอนโซลหน้า ด้วยน้ำหนักของผู้ใหญ่อีกทางหนึ่ง ลองใช้โจทย์เดียวกับข้างบน แล้วเปลี่ยนเป็นน้ำหนักผู้ใหญ่ดูนะครับ ลองนึกถึงภาพเวทีมวยปล้ำดูเหมือนคุณเอาลูกวางไว้บนพื้นเวที แล้วคุณปีนขึ้นไปบนหัวเสาแล้วกระโดดลงมาทับลูกตัวเอง คุณว่าน่ากลัวหรือไม่ ? บอกได้เลยว่าน้ำหนักที่ทิ้งลงมาสู่ตัวลูกคุณนั้น ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของแรงปะทะเมื่อเกิดอุบัติเหตุเลยด้วยซ้ำ
เข็มขัดนิรภัย ใช้ไม่ได้กับเด็กเล็ก
เข็มขัดนิรภัยในรถ ไม่เหมาะกับเด็กด้วยประการทั้งปวง จนกว่าสายเข็มขัดจะพาดผ่านร่องไหล่ของเด็กพอดี โดยเฉลี่ยแล้วต้องเป็นเด็กที่สูงกว่า 120 ซม. ขึ้นไป จึงจะสามารถใช้เข็มขัดนิรภัยประจำรถได้ หลายครั้งที่เห็นผู้ใหญ่นำเด็กนั่งบนตัก แล้วคาดเข็มขัดนิรภัยพาดทั้ง 2 คน เห็นแล้วน่าสลดใจยิ่งนัก เมื่อเกิดการชน น้ำหนักตัวของผู้ใหญ่จะอัดเด็กเข้ากับสายเข็มขัดนิรภัย อาจทำให้เด็กคอหัก หรือซี่โครงหักได้ เพราะน้ำหนักตัวของผู้ใหญ่
ลองดูง่ายๆ ให้ใครก็ได้ขับรถที่ความเร็วสัก 90 กม./ชม. โดยคุณนั่งปิดตาไว้แล้วให้เค้ากระทืบเบรคเต็มแรง ลำพังแรงเบรคแค่นี้ อาจจะทำให้ร่องไหล่แดง หรือแสบ เพราะแรงกระชาก แต่กรณีชนประสานงา แรงปะทะจะมากกว่า มันไม่เหมือนกับการเบรค เพราะความเร็วรถจะค่อยๆ ช้าลงจนหยุดนิ่ง แรงปะทะมันลดไปเยอะทีเดียว ซ้ำร้ายรถที่มีถุงลมนิรภัยนั้นยิ่งเป็นอันตรายสำหรับเด็กมากๆ เพราะการระเบิดของถุงลมนิรภัยนั้น รุนแรงมากพอที่จะทำให้เด็กบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิตในทันที
เบาะสำหรับเด็ก แบ่งระดับได้ดังต่อไปนี้
- เด็กแรกเกิดถึงอายุประมาณ 1 ปี เสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์มากที่สุด เนื่องจากกระดูกต้นคอยังอ่อนมากๆ และน้ำหนักของศีรษะก็มีมากถึง 1 ใน 4 ของน้ำหนักตัว ผู้ใหญ่จะมีน้ำหนักของศีรษะเพียง 6 % ของน้ำหนักตัว หมายความว่า เมื่อเกิดแรงปะทะ โอกาสที่เด็กจะคอหักมีมากกว่าหลายเท่าตัว
เด็กในวัยนี้ต้องใช้เบาะสำหรับเด็ก ที่มีลักษณะเป็นแบบตะกร้า และต้องนั่งหันหลังไปทางหน้ารถ ตำแหน่งที่ดีที่สุด คือ นั่งหันหลังชนกับคนขับจะดีที่สุด กรณีที่เกิดอุบัติเหตุแผ่นหลังของเด็กจะช่วยรับแรงกระแทกส่วนหนึ่ง โอกาสที่จะเกิดคอหัก หรือการบาดเจ็บที่ต้นคอจะน้อยลงมา เมื่อเด็กมีความสูงใกล้ขอบเบาะ ต้องเปลี่ยนใหม่ให้เหมาะสมกับขนาดและน้ำหนักตัวของเด็ก หลายยี่ห้อทำเบาะเด็กอ่อนให้สามารถใช้ร่วมกับรถเข็นเด็กได้ด้วย เมื่อเดินทางก็ถอดเบาะนั่งออกจากรถเข็น แล้วพับรถเข็นเก็บท้ายรถ เมื่อถึงที่หมายก็ยกรถเข็นออกมากาง แล้วยกตะกร้าประกอบเข้าไป ใช้เวลาเพียง 1-2 นาทีก็เรียบร้อย แบบนี้ลดการซื้อของซ้ำซ้อนได้ และใช้งานได้ประโยชน์สูงสุด
- สำหรับเด็กอายุ 1-3 ปี ยังต้องนั่งหันหลังพิงกับคนขับเช่นเดิม เพราะร่างกายของเด็กยังอยู่ในช่วงพัฒนา ทั้งเรื่องของโครงสร้างกระดูกกำลังเปลี่ยนแปลง และยังอ่อนแอมาก ต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก เบาะนั่งแบบนี้สามารถใช้ร่วมกับรถเข็นได้เช่นเดียวกัน การเลือกซื้อนั้นต้องพิจารณาให้ดี เพราะเด็ก 1-3 ปีนั้น รถเข็นยังจำเป็นอยู่ ถ้าสามารถใช้งานร่วมกับเบาะเด็กได้ ก็จะเพิ่มความคุ้มค่าได้มากขึ้น
- เมื่อเด็กมีอายุมากกว่า 3 ปี หรือความสูงถึงพนักพิงเบาะ ต้องเปลี่ยนเบาะใหม่อีกครั้ง และสามารถปรับเปลี่ยนท่านั่งให้หันหน้าไปทางหน้ารถได้ปกติ เพราะร่างกายมีความแข็งแรงเพียงพอ ซึ่งเบาะสำหรับเด็กโตนี้สามารถใช้งานได้นานกว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กจะพร้อมเดินทางได้แบบปกติ นั่นก็ต่อเมื่อ เด็กมีความสูงของร่างกายมากกว่า 120 ซม. ขึ้นไป หรือให้ลองนั่งในตำแหน่งปกติแล้วคาดเข็มขัดนิรภัยดู ถ้าสายเข็มขัดนิรภัยพาดผ่านไหล่พอดีๆ ไม่ได้พาดผ่านลำคอ ก็ถือว่าสามารถเลิกใช้เบาะเด็กได้
ปัจจุบันเทคโนโลยีการผลิต และออกแบบเบาะนั่งสำหรับเด็ก ก้าวหน้าไปมาก มีความสามารถหลากหลายในการใช้งาน เบาะเด็กบางตัวสามารถใช้ได้ตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงประมาณ 3 ปี และประกอบกับรถเข็นเด็กได้ บางยี่ห้อก็ออกแบบมาสำหรับใช้งานได้จนกว่าเด็กจะสูงถึง 120 ซม. เพียงแค่เปลี่ยนชิ้นส่วนตัวเบาะรองนั่งไม่กี่ชิ้น ส่วนโครงสร้างนั้นยังคงสามารถใช้ของเดิมได้ ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้มากทีเดียว ลองศึกษาดูแล้วจะรู้ว่า เบาะเด็ก คือ ความจำเป็น ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย
ABOUT THE AUTHOR
พ
พหลฯ 30
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2555
คอลัมน์ Online : รู้ทันเทคนิค