รู้ลึกเรื่องรถ
อีโคคาร์ (ECO CARS)
ชื่อนี้ถ้าแปลให้ตรงความหมายแบบไม่เคร่งครัด ไม่หาเรื่องจับผิดกัน ก็น่าจะหมายถึง รถยนต์ที่ประหยัดเงินค่าเชื้อเพลิง และเป็นรถที่ราคาต่ำด้วยครับ ต้องมีเงื่อนไขที่สอง คือ ราคาต่ำ มาประกอบด้วยเสมอครับ จึงจะน่าเรียกว่าอีโคคาร์ส เพราะมีรถที่มีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำมาก แต่ใช้เทคนิคระดับสูง วัสดุต้นทุนก็สูง จึงต้องตั้งราคาจำหน่ายสูง แต่ก็ยังขายได้ครับ ถ้ามีความหรูหรา สะดวกสบายตอบแทนให้ลูกค้า และที่สำคัญมาก หรืออาจจะสำคัญที่สุด ในการจูงใจลูกค้ากลุ่มนี้ ก็คือ ภาพลักษณ์ ว่ามีฐานะทางการเงินดี แล้วยังมีสำนึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมรักโลก รักษ์โลก หรือจะใช้ด้วยคำหรูกันแบบไหนก็ตามประเภทนี้ ผมไม่ถือว่าเป็นอีโคคาร์ส แต่ควรจะเรียกว่ากรีนคาร์ส (GREEN CARS) หรือ "รถสีเขียว" หรือ รถเพื่อสิ่งแวดล้อมมีหลายวิธีด้วยกันครับ ในการทำให้รถประหยัดเชื้อเพลิง เป็นการประหยัดในแบบสัมพัทธ์นะครับ คือ อยู่ในระดับประหยัดกว่าค่าเฉลี่ย ของรถยนต์ทั่วไป โดยคำนึงถึงขนาด และน้ำหนักของรถด้วย ต่างจากความประหยัดเชื้อเพลิงแบบสมบูรณ์ ที่ดูแต่ตัวเลขความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงล้วนๆ โดยไม่สนใจอย่างอื่น แบบหลังนี้ง่ายครับ คือ เลือกสร้าง โดยไม่คำนึงถึงคุณสมบัติด้านอื่น เช่น เนื้อที่ใช้สอย เสียงรบกวน ฯลฯ เราสนใจ และให้คุณค่า เฉพาะแบบสัมพัทธ์ที่คำนึงถึงข้อดีด้านอื่นๆ ด้วย มีวิธีประหยัดค่าเชื้อเพลิงหลายวิธีครับ ผมขอยกตัวอย่าง โดยไม่เรียงลำดับความสำคัญ พอให้เห็นภาพรวมเท่านั้น แบบแรก คือ รถไฟฟ้า ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าล้วน มีแบทเตอรีสำหรับเก็บพลังงานไฟฟ้าที่ "อัด" หรือประจุโดยใช้กระแสไฟฟ้า ตามบ้าน หรือ สำนักงานนี่แหละครับ ช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้ โดยอาศัยส่วนต่างของราคา คือ อาศัยค่าพลังงานจาก "ไฟบ้าน" ถูกกว่าพลังงานในเชื้อเพลิง เช่น น้ำมันเบนซินไม่มีความได้เปรียบทางเทคนิค ในการประหยัดค่าเชื้อเพลิงครับ ขึ้นอยู่กับราคาของพลังงานไฟฟ้าที่เราต้อง "ซื้อ" ว่าถูกจนประหยัดได้หรือไม่ ข้อเสียบางด้านผมเคยบรรยายไปแล้วนะครับ ที่เป็นอุปสรรคใหญ่ ในการจะเป็น "อีโคคาร์" ให้ได้รับความนิยมของคนไทย อยู่ที่ระยะใช้งานต่อการประจุพลังงาน 1 ครั้ง เช่น อาจจะขับได้ไกลแต่เกือบ 100 กม. เท่านั้น รถประเภทนี้จึงเหมาะสำหรับเป็นรถคันที่ 2 หรือคันที่ 3 ไว้สำหรับใช้งานระยะสั้นในเมืองล้วนๆ เท่านั้น เช่น ขับไปทำงาน และซื้อของกลับบ้าน แต่อีโคคาร์ ของคนไทย ต้องเป็นรถที่ใช้งานได้ทุกสถานการณ์ครับ คือ ไปธุระ หรือไปเที่ยวทางไกล หลายร้อย กม. ได้ด้วยเพราะถึงจะมีที่ "อัดไฟ" เช่น สถานีที่ถูกสร้างไว้รองรับ ก็ต้องใช้ เวลาหลายสิบนาทีเป็นอย่างน้อย ไม่มีใครรอไหวแน่ครับ ต่างจากการประจุเชื้อเพลิงเหลวที่ใช้เวลาไม่มาก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันเบนซิน ดีเซล หรือแกสหุงต้ม (LPG) รถไฟฟ้าจึงขาดความเหมาะสมสำหรับงานนี้ไปอย่างน่าเสียดาย ระบบไฮบริดที่ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า และแบทเตอรี ชุดพิเศษ มาเสริมการทำงานของเครื่องยนต์ ถึงจะช่วยประหยัดค่าเชื้อเพลิงได้มากพอสมควร เมื่อใช้งานในเมือง ที่ต้องมีการเบรค หยุด และเร่งเพิ่มความเร็วสลับกันไป แต่ต้นทุนค่าแบทเตอรี และระบบควบคุมอันซับซ้อน ก็ทำให้ราคาของรถแบบนี้ ไม่เหมาะที่จะเป็น "อีโคคาร์" สำหรับคนไทย การกำหนดคุณสมบัติของอีโคคาร์ โดยหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ โดยจำกัดความจุ หรือ ปริมาตรถ่ายเทแกสของเครื่องยนต์สำหรับอีโคคาร์ ไว้ที่ 1,200 ซีซี สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน และ 1,400 ซีซี สำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จึงเป็นวิธีที่ง่ายสำหรับผู้ผลิต และง่ายสำหรับผู้ตรวจสอบด้วย เนื่องจากกำลังของเครื่องยนต์ที่ไม่มีอุปกรณ์ช่วยประจุอากาศ ขึ้นอยู่กับความจุเพราะฉะนั้นการจำกัดความจุ ก็คือ การจำกัดกำลังของเครื่องยนต์นั่นเองครับ และอัตราเร่ง และความเร็วสูงสุดของรถก็ขึ้นอยู่กับอัตราส่วนกำลังสูงสุดของเครื่องยนต์ต่อน้ำหนักรถ เมื่อความจุถูกจำกัด และอัตราเร่งต้องสูงพอสมควรที่จะยังคงให้รถนั่นน่าขับ ย่อมหมายถึงการจำกัดน้ำหนักรถในทางอ้อม นั่นเอง และน้ำหนักรถก็สัมพันธ์กับขนาดของรถด้วย ด้วยข้อแม้ที่กล่าวมานี้ อีโคคาร์อย่างเป็นทางการของไทย จึงต้องเป็นรถขนาดเล็ก น้ำหนักน้อย ใช้เครื่องยนต์ความจุต่ำ จนถึงขณะที่ผมเขียนต้นฉบับนี้ ยังไม่มีผู้ผลิตรายใด เลือกใช้เครื่องยนต์ดีเซลครับเพราะต้นทุนสูงกว่า และความประหยัดค่าเชื้อเพลิง เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์เบนซินก็ไม่น่าจะทำให้ลูกค้ายอมจ่าย เงินเพิ่มตามส่วนต่างของราคา เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าวัตนธรรมของชาวไทยไม่ให้คุณค่าเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่าย จะจน หรือ รวย พวกเราก็ฟุ่มเฟือยกันสมฐานะเสมอต้นเสมอปลายอยู่แล้ว ที่จริงแล้วควรกำหนดคุณสมบัติของอีโคคาร์ อีกหนึ่งข้อ ซึ่งก็คือ การจำกัดความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย แต่ถ้าทำจริงก็จะมีปัญหาตามมามากมายครับ เช่น จะกำหนดเงื่อนไขในการวัดอย่างไร มีสัดส่วนการเร่ง การใช้ความเร็วคงที่เท่าไรเพราะรูปแบบการใช้งานสำหรับการนำมากำหนดเป็นมาตรฐานนั้น มีอยู่นับไม่ถ้วน การเลือกให้เกิดความเป็นธรรม เป็นไปได้ยาก การวัดผลก็ต้องใช้เครื่องมือ และอุปกรณ์ทันสมัย ราคาสูงมาก รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญในการวัด ที่ผ่านการอบรม และมีประสบการณ์สูงพอด้วย นอกจากนี้ ถ้าทำจริงก็คงมีการทุจริตของเจ้าหน้าที่ เพื่อเอื้อให้ผู้จ่ายสินบน ได้ค้ำความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยตามต้องการเพราะฉะนั้นผมว่าการละเว้นมาตรฐานนี้ไว้ จึงเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้วครับ สรุปแล้วอีโคคาร์ แบบฉบับไทย จึงเป็นรถที่ถูกควบคุมขนาด และน้ำหนัก ด้วยความจุของเครื่องยนต์ ตามขั้นตอนทางเทคนิคต่อเนื่องมาเป็นลูกโซ่ โดยมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงต่ำ เสมือนเป็นผลพลอยได้ ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร และไม่มีปัญหาด้วยครับ เป็นการไปถึงเป้าหมายกันทั้ง ภาครัฐ ผู้ผลิต และผู้บริโภค ส่วนคุณสมบัติปลีกย่อย สำหรับการช่วงชิงลูกค้าจากคู่แข่ง ผู้ผลิตมีอิสระอย่างมากครับ ในการเลือกกลยุทธ์ที่เชื่อว่าได้ผล เช่น ถ้าอยากให้สมรรถนะเป็นข้อได้เปรียบ ก็จะต้องเน้นลดน้ำหนัก ความแข็งแรงก็อาจลดลง ถ้าไม่ต้องการให้ลด ก็จะต้องใช้วัสดุต้นทุนสูงขึ้น หรืออาจหันไปเพิ่มกำลังสูงสุดของเครื่องยนต์แทน แต่แรงบิดที่ความเร็วต่ำ อาจลดลงจนขับไม่สบายกลายเป็นจุดอ่อนไหม และความสิ้นเปลืองก็อาจเพิ่มขึ้นด้วย แม้จะไม่มีการรายละเอียดสำหรับให้ลูกค้าเปรียบเทียบกับคู่แข่งได้ แต่ถ้า "กินน้ำมัน" มากกว่าบรรดาคู่แข่งอย่างรู้สึกได้ชัด ก็อาจเสียชื่อ จากวิธี "ปากต่อปาก" ได้เหมือนกันเรื่องความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และกำลังสูงสุด และแรงบิดนี่ แต่ละรายก็เลือกวิธีต่างกันไปครับ ทั้งความจุ จำนวนสูบ ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแล้วยังมีการทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติ รวมทั้งประเภทของเกียร์ มาผสมโรงเข้าไปอีก สำหรับผู้บริโภค อย่าไปใส่ใจกับรายละเอียดครับ ลองขับดูว่าถูกใจหรือไม่ ดูตัวความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง จากการทดสอบของสื่อรวมทั้งสอบถามจากผู้ที่ใช้อยู่ และอย่าลืมข้อที่สำคัญอย่างยิ่งยวดนั่นคือ บริการหลังการขายครับ ตรวจสอบให้มั่นใจ โดยเฉพาะจากผู้ที่ใช้ตรานั้นอยู่ รถดีแต่ศูนย์บริการห่วย ก็จะกลายเป็นรถห่วยภายในเวลาไม่นานครับ
ABOUT THE AUTHOR
เ
เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2555
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ