ผมยังยืนยันคำเดิมครับว่า โครงการคืนภาษีรถคันแรก ซึ่งเอาเปรียบคนเสียภาษีทั่วประเทศ แถมไม่ประสบความสำเร็จตามวัตถุประสงค์ ไม่สมควร ไปต่อแต่ไม่ได้ใจร้ายถึงขนาดให้ดับเครื่องกลางอากาศ แล้วดิ่งพสุธาลงมาหรอกครับ เพราะถ้าเปรียบโครงการนี้เป็นเครื่องบิน ก็มีผู้โดยสารร่วมชะตากรรมอยู่ด้วยจำนวนไม่น้อย หากหาวิธีร่อนลงจอดอย่างนุ่มนวล หรือ SOFT LANDING ได้ ผมก็พร้อมจะ ปรองดอง ไม่ขัดศรัทธาแต่ประการใด ปมปัญหาของโครงการนี้ ที่บรรดาบริษัทรถยนต์เขาเห็นกันมาแต่แรกเริ่ม และในที่สุดก็กลายเป็นประเด็นขึ้นมาจริงๆ คือ การไประบุว่า ผู้ใช้สิทธิ์จะต้องรับรถและจดทะเบียนรถภายในปี 2555 การกำหนดที่ไม่เผื่อเหลือเผื่อขาดแบบนี้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ร่างโครงการไม่เข้าใจสภาพตลาดรถยนต์บ้านเรา ซ้ำยังไม่ปรึกษาหารือกับผู้ผลิตเขาก่อนที่จะประกาศนโยบายออกมา ยิ่งมาเจอผลกระทบจากน้ำท่วมซ้ำเข้าไป ข้อกำหนดดังกล่าวยิ่งมีปัญหา เพราะรถรุ่นฮอทๆ ที่มีสิทธิ์ได้คืนภาษีนั้น จองวันนี้กว่าจะได้ รับรถและจดทะเบียน ก็ต้องเลยสิ้นปีไปแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเดือนธันวาคม จะมียอดจองรถที่ได้สิทธิ์คืนภาษีเพิ่มขึ้นอีกนับหมื่นคันจากงาน มหกรรมยานยนต์ ซึ่งหากผู้จองจะต้องเสียสิทธิ์ เพราะผู้ผลิตส่งมอบรถให้ไม่ทันสิ้นปี ก็ดูจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไร จริงไหมครับ ?! กระทรวงการคลัง ท่านจะเล็งเห็นถึงปัญหานี้หรือเปล่า ผมไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ คือ คงพะอืดพะอมกับโครงการนี้เต็มที่ ล่าสุดจึงได้แย้มออกมาแล้วว่า กำลังพิจารณาหาทางออกโดยแบ่งเป็น 2 แนวทาง ได้แก่ 1. ขยายเวลาสิ้นสุดโครงการออกไปอีก 3-4 เดือน เพื่อชดเชยช่วงเวลาที่ประสบปัญหาน้ำท่วม จนบริษัทรถยนต์ต้องหยุดการผลิต หรือ 2. ไม่ขยายเวลา แต่ผ่อนปรนให้คนที่จองรถภายในสิ้นปีนี้ได้สิทธิ์คืนเงิน ทั้ง 2 แนวทาง ผมเห็นว่าเป็นการ SOFT LANDING ที่ยอมรับได้ โดยหากเลือกแนวทางแรก ก็ระบุให้ชัดเจนไปเลยว่า ผู้ได้รับสิทธิ์ คือผู้จองรถภายในเวลาที่กำหนด จะได้ไม่ต้องมานั่งตีความกันทีหลัง ไม่ว่าจะเลือกแนวทางไหน ผมก็ถือว่าโครงการนี้จบลงด้วยดี และเป็นบทเรียนสำคัญของภาครัฐว่า สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์และอุตสาหกรรมใดๆ ก็ตาม ที่ภาคเอกชนเขาเก่งอยู่แล้ว การส่งเสริมจากภาครัฐที่ดีที่สุด คือการอยู่เฉยๆ ครับ
บทความแนะนำ