วิถีตลาดรถยนต์
ยังเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขอยู่
เข้ารับตำแหน่งบริหารกิจการบ้านเมืองอย่างเป็นทางการไม่นานนัก รัฐบาลชุดใหม่ที่มีสุภาพสตรีเป็นหัวหน้าคณะก็เดินหน้าทำโครงการต่างๆ ตามนโยบายประชานิยมที่ได้ใช้หาเสียงผูกมัดใจชาวบ้านชาวเมืองครึ่งค่อนประเทศให้เป็นจริงขึ้นมาทันที นโยบายแรกที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้รถยนต์โดยตรง คือ การยกเลิกส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันซึ่งส่งผลให้ราคาจำหน่ายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิดลดลงทันตาเห็นทำให้ผู้ใช้รถมีเงินเหลืออยู่ในกระเป๋ามากขึ้นหลังจากนำรถยนต์
เข้าไปเติมน้ำมันแต่ละครั้ง ถึงแม้ว่าการปรับลดราคาน้ำมันครั้งนี้หลายต่อหลายคนเกิดความสับสนว่าจะเปลี่ยนมาใช้น้ำมันอีกชนิดหนึ่งจากที่เคยใช้อยู่เดิมได้หรือไม่เนื่องจากราคาถูกลง บางคนก็ว่าเอาใจน้ำมันรถคนรวยก็ตามแต่ที่แน่ๆ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ใจคนใช้รถไปอีกมากโขเหมือนกัน อย่างไรก็ตามคงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไรที่พอราคาน้ำมันถูกลงก็ใช้กันอย่างสิ้นเปลืองจนเกินเหตุ เพราะนโยบายนี้เป็นเพียงนโยบายชั่วคราว หากราคาน้ำมันตลาดโลกพุ่งสูงขึ้นจนเกินกำลังจะต้านทานไหว หรือกองทุนน้ำมันกลวงโบ๋คงต้องมีการปรับราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกครั้ง คราวนี้จะมาบ่นโอดโอยกันไม่ได้น่ะ
ส่วนอีกนโยบายประชานิยม ได้แก่ โครงการรถยนต์คันแรกเค้าโครงของผู้มีสิทธิ์เช่าซื้อรถยนต์ในโครงการนี้ เริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เหลือเพียงการขัดเกลาให้เนียน และประกาศเริ่มต้นโครงการเท่านั้น โดยในเบื้องต้นผู้มีสิทธิ์เข้าร่วมโครงการนี้ต้องไม่เคยมีชื่อเป็นเจ้าของรถยนต์มาก่อน เมื่อซื้อแล้วต้องครอบครองใช้งานรถยนต์คันนั้นไม่ต่ำกว่า 5 ปี ซึ่งรัฐจะคืนภาษีสรรพสามิตตามที่เป็นจริง แต่ไม่เกินคันละ 100,000 บาท รถยนต์ที่อยู่ในเกณฑ์เข้ากับนโยบายนี้ต้องเป็นรถยนต์ที่ผลิตในประเทศมีความจุเครื่องยนต์ไม่เกิน 1,500 ซีซี หรือรถพิคอัพซึ่งราคาต้องไม่เกิน 1 ล้านบาท เมื่อโครงการนี้ถูกนำมาใช้อย่างเป็นทางการ คาดว่าจะเพิ่มยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศได้อีกไม่ต่ำกว่า 500,000 คัน ในระยะเวลาการดำเนินการ ขณะที่ผู้ประกอบการรถยนต์ในประเทศ มีทั้งเสียงตอบรับเนื่องจากมีรถยนต์ที่เข้าข่ายเงื่อนไขนี้จำหน่ายอยู่แล้ว หรือกำลังจะออกจำหน่าย ขณะที่รถยนต์บางค่ายเกือบจะเข้ากฎเกณฑ์เหมือนกัน เพียงแต่ขนาดความจุของเครื่องยนต์เกินสเปคที่กำหนดไว้เล็กน้อย หรือเครื่องยนต์ได้ ราคาก็ผ่านเกณฑ์ติดอยู่ที่เป็นรถยนต์นำเข้าจากฐานการผลิตในต่างบ้านต่างเมือง ก็เรียกร้องให้รัฐบาล หรือผู้มีอำนาจในการพิจารณากำหนดกฎเกณฑ์เงื่อนไขต่างๆ ทบทวนให้ถ่องแท้อีกสักครั้ง ก็ต้องรอดูผลการตัดสินใจขั้นสุดท้ายและช่วงเวลาที่จะนำนโยบายมาใช้อย่างเป็นทางการอีกทีหนึ่ง ซึ่งคงไม่นานหลังจากนี้
อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วในเดือนสิงหาคมนี้นั่นคือปัญหาในเรื่องของอุทกภัยที่หลายพื้นที่ทั่วประเทศ ที่น่าจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจการจำหน่ายซื้อขายรถยนต์ใหม่ป้ายแดงบ้าง โดยเฉพาะกำลังซื้อจากพื้นที่ที่ประสบภัย บวกกับความลังเลใจในการตัดสินใจซื้อ โดยมีสาเหตุจากต้องการรอดูความชัดเจนของนโยบายรถยนต์คันแรก ก่อนน่าจะส่งผลให้มีการชะลอตัวของการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศลงไปบ้าง ซึ่งน่าจะเห็นตัวเลขที่ชัดเจนกันบ้างในเดือนต่อๆ ไปและจะกระทบถึงเป้ายอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศรวมทั้งปีนี้หรือไม่ประการใด คำตอบคงมีในอีกไม่ช้านี้ แต่ที่แน่นอนที่สุด คือ ยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศเดือนสิงหาคมยังคงเดินหน้าวิ่งฉิวติดลมบนอยู่ ทั้งนี้เป็นเพราะผู้ผลิตรถยนต์ต่างเปิดกระดานเหยียบคันเร่งส่งสัญญาณให้โรงงานผลิตเดินหน้าทำงานกันอย่างเต็มพิกัด เพื่อเร่งเคลียร์ยอดจองค้างส่ง ให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อรองรับกระแสความนิยมของรถยนต์รุ่นใหม่ที่กำลังจะทยอยเปิดตัวออกจำหน่ายในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2554 นี้
เดือนสิงหาคมตลาดรถยนต์เกือบทุกตลาด มียอดจำหน่ายที่ปรับตัวสูงขึ้นเดือนสิงหาคมปีที่แล้วเกือบทุกตลาด ยกเว้นตลาดรถยนต์ประเภทรถยนต์อเนกประสงค์ที่ติดลบจากเดือนสิงหาคมปีที่แล้วไปเล็กน้อย ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่ยังคงเดินหน้าโกยยอดจำหน่ายเข้าพกเข้าห่ออย่างเป็นล่ำเป็นสัน ยกเว้นแต่ฟากฝั่งของ ฮอนดา ที่ดูเหมือนจะยังเมาโรคสึนามิเมื่อต้นปีอยู่ มียอดจำหน่ายที่ยังสู้ตัวเลขที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วไม่ได้ ยอดรวมทั้งตลาดเดือนสิงหาคมอยู่ที่ 79,043 คันเพิ่มขึ้น 20.3 % เทียบกับเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว รวมตั้งแต่ต้นปีมากดเข้าไปที่ 583,957 คัน สูงกว่าช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว 19.6 % เกือบทุกยี่ห้อมีตัวเลขที่ปรับเพิ่มมากขึ้นทั้งสิ้น จะมีก็เพียงยักษ์ใหญ่อย่าง ฮอนดา กับ เมร์เซเดส-เบนซ์ เท่านั้นที่ตัวเลขยอดจำหน่ายปีนี้ ยังไม่เท่าเทียมกับปีที่แล้ว โดย ฮอนดา จำหน่ายรวมตั้งแต่ต้นปีได้ 60,879 คัน ลดลง -15.5 % ส่วนรถหรูติดยี่ห้อดาวสามแฉกจำหน่ายไป 3,097 คัน ลดลง -2.0 % ว่าไปแล้วหากมองไปที่ยี่ห้อเพียงอย่างเดียวตัวเลขของ เมร์เซเดส-เบนซ์ จะมากกว่านี้อย่างแน่นอน แต่ที่ลดลงไปเป็นผลมาจากส่วนหนึ่งหันไปหาการซื้อรถยนต์หรูบแรนด์นี้จากผู้นำเข้าอิสระ เป็นโจทย์ที่ผู้บริหาร เมร์เซเดส-เบนซ์ ต้องขบคิดแก้ไขกันต่อไป ขณะที่ผู้นำตลาด โตโยตา ยอดรวมตั้งแต่ต้นปีนำห่าง อีซูซุ ที่ตามมาเป็นอันดับสองไปแล้วกว่าหนึ่งเท่าตัว โดย โตโยตา จำหน่ายรถยนต์ทุกรุ่นไปแล้ว 215,975 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 9.2 % คิดเป็น 37.0 % ของยอดจำหน่ายรถยนต์ในตลาดทั้งหมดส่วน อีซูซุจำหน่ายไป 105,144 คัน เพิ่มขึ้น 12.0 % มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 18.0 % อันดับที่สามเป็นของ ฮอนดา อันดับที่สี่และห้ายังเบียดกันสูสีพอสมควรระหว่าง นิสสัน กับ มิตซูบิชิ โดย นิสสัน ยังอยู่ในอันดับที่สี่ด้วยยอดจำหน่ายรวม 48,810 คันเพิ่มขึ้น 47.7 % ส่วนแบ่งตลาด 6.4 % ขณะที่ มิตซูบิชิ 47,523 คัน เพิ่มขึ้น 102.6 % ส่วนแบ่งตลาด 8.1 % โอกาสที่ นิสสัน จะยึดในอันดับที่สี่จนถึงสิ้นปีมีความเป็นไปได้สูงกว่า มิตซูบิชิ เพราะอีกไม่ช้าไม่นาน นิสสัน มีรถยนต์ใหม่ที่คาดว่าจะทำยอดจำหน่ายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำออกจำหน่ายส่วน มิตซูบิชิ ยังไม่มีตัวเดินยอดใหม่สดออกจำหน่ายในช่วงเวลานี้
ในส่วนของรถยนต์พิคอัพ 1 ตัน ประเภทขับเคลื่อน 2 ล้อที่ โตโยตา เพิ่งจะกระตุ้นตลาดให้ตื่นตัวมากขึ้นด้วย โตโยตา ไฮลักซ์ วีโก แชมพ์ใหม่ทำให้กลับมาอยู่ในความนิยมสูงสุดได้อีกครั้งหนึ่ง โตโยตา มียอดจำหน่ายเป็นอันดับหนึ่งอีกครั้งในเดือนสิงหาคมถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งรายอื่นหรือเมื่อเทียบกับตัวเลขยอดจำหน่ายเดือนสิงหาคมปีที่แล้วเปอร์เซนต์การเติบโตอาจไม่สวยหรูเพราะติดลบไป -1.6 % แต่ไม่ใช่ว่านักเลงรถพิคอัพไม่เทใจให้ วีโก แชมพ์ใหม่แต่เป็นเพราะส่งมอบรถไม่ทันกับความต้องการเสียมากกว่า ยอดจำหน่ายในตลาดนี้ของ โตโยตา เดือนสิงหาคมอยู่ที่ 11,528 คัน คิดเป็น 36.4 % ของตลาดรวมทั้งหมดที่มีทั้งสิ้น 31,661 คัน สูงกว่าสิงหาคมปีที่แล้ว 13.9 % ส่วน อีซูซุ กระดูกชิ้นใหญ่ที่จะขัดขวางไม่ให้ โตโยตา คว้าแชมพ์พิคอัพยอดนิยมเป็นปีที่ 6 ติดต่อกันเดือนสิงหาคมนี้แผ่วลงไปบ้างสาเหตุจากส่งมอบรถไม่ทันกับความต้องการอีกเหมือนกันอีกทั้งส่วนหนึ่งยังรอดูท่าทีของ อีซูซุ ดี-แมกซ์ ใหม่ที่กระแสข่าวมาแรงเหลือในช่วงนี้ เดือนสิงหาคมยอดจำหน่ายของ อีซูซุ ทะลุหลักหมื่นคันเหมือนกันมียอดอยู่ที่ 10,956 คัน สูงกว่าสิงหาปีที่แล้ว 11.7 % ได้ส่วนแบ่งการตลาดไป 34.6 % อันดับที่สามของความนิยมสูงสุดเป็นของ มิตซูบิชิ ทำไปได้ทั้งสิ้น 4,025 คัน สูงกว่าปีที่แล้ว 152.8 % ส่วนแบ่งตลาด 12.7 % นิสสัน อยู่ในอันดับที่สี่ 1,633 คัน แย่หน่อยนะเดือนนี้ติดลบไป -28.4 % มีส่วนแบ่งการตลาดที่ 5.2 % อันดับที่ห้าเป็นของ เชฟโรเลต์ ที่อยู่ในกระแสการเปลี่ยนแปลงสู่โมเดลใหม่เช่นกันจำหน่ายไป 993 คัน บวก 39.87 % ส่วนแบ่ง 3.1 %
มองไปที่ผลรวมตั้งแต่ต้นปี อีซูซุ ยังเป็นผู้นำในตลาดรถพิคอัพขับเคลื่อน 2 ล้อ อยู่เดือนนี้ของปีที่แล้ว โตโยตา นำหน้า อีซูซุ อยู่เพียงแค่คันเดียวมาถึงปีนี้ อีซูซุ ฉีกนำหน้าขึ้นไปอยู่ที่ 89,159 คันขณะที่ โตโยตา อยู่ที่ 83,870 คัน เลื่อมกันอยู่พอสมควรคงต้องดูกันที่กำลังการผลิตของแต่ละค่ายและกระแสความนิยมในรถใหม่ที่กำลังจะออกสู่ตลาด อีซูซุ ใหม่หมดออกทีหลัง โตโยตา ปรับใหญ่ออกก่อน ใครจะมัดใจนักเลงรถพิคอัพได้มากน้อยกว่ากันซึ่งสุดท้ายต้องวัดกันถึงหยดสุดท้ายแน่นอนสำหรับตำแหน่งแชมพ์ในตลาดนี้ ยอดรวมของทั้งตลาดพิคอัพขับเคลื่อน 2 ล้อ เดือนสิงหาคมอยู่ที่ 31,661 คัน เพิ่มขึ้น 13.9 % ยอดรวมตั้งแต่ต้นปี 242,537 คันเพิ่มขึ้น 19.2 %
พิคอัพขับ 4 ล้อ แน่นอนว่า โตโยตา เป็นเบอร์หนึ่งของตลาดเดือนสิงหาคมกวาดยอดไปได้อีก 1,285 คัน เท่ากับเดือนสิงหาคมปี 2553 มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 70.6 % โดยมี อีซูซุ มิตซูบิชิ นิสสัน และ ฟอร์ด ตามมาอย่างห่างที่ 265, 144, 73 และ 43 คัน ตามลำดับยอดรวมของทั้งตลาดอยู่ที่ 1,821 คัน สูงขึ้น 1.3 % ตลาดนี้มียอดรวมตั้งแต่ต้นปี 11,227 คันติดลบเมื่อเทียบกับผลงานที่มีอยู่ในปีที่แล้ว 494 คัน หรือเท่ากับ -4.2 %
ส่วนรถยนต์แบบกิจกรรมกลางแจ้ง หรือเอสยูวีปีนี้ตกยกให้เป็นปีทองของ มิตซูบิชิ ถึง ปาเจโร สปอร์ทจะเปิดตัวออกมาเป็นทางเลือกในตลาดนี้นานพอสมควรแล้ว แต่การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นยิ่งทำยิ่งโดนใจทำให้ความนิยมมีแต่เพิ่มมากขึ้นจนขึ้นไปนั่งแท่นเบอร์หนึ่งของตลาดได้อย่างภาคภูมิใจเดือนสิงหาคมตลาดนี้มีผลงานรวมอยู่ที่ 5,594 คัน สูงกว่าปีที่แล้ว 22.6 % ในจำนวนนี้เป็นยอดจำหน่ายของ มิตซูบิชิ เสีย 1,804 คัน สูงกว่าที่ทำได้เดือนสิงหาคมปีที่แล้วเกือบเท่าตัวมีส่วนแบ่งการตลาด 32.2 % โตโยตา แชมพ์เก่ามีการปรับเปลี่ยนใหม่ด้วยเช่นกันแต่คงมีปัญหาทางด้านการผลิตอยู่บ้างจึงยังไม่หวือหวาเท่าใดนักทำไปได้ 1,515 คัน ติดลบไป -4.8 % ขณะที่ อีซูซุ จำหน่ายไป 973 คัน อยู่ในอันดับที่สามได้ส่วนแบ่งการตลาดไป 17.4 % เชฟโรเลต์ เปิดตัวรุ่นใหม่ของ แคพิทีวา ไปก่อนใครในตลาดนี้จำหน่ายอยู่ในอันดับที่สี่ 516 คันเพิ่มขึ้น 62.8 % เป็น 9.2 % ของตลาด และ ฮอนดา อดีตเคยเป็นแชมพ์ดิวิชันนี้เหมือนกันแต่ตอนนี้เวลานี้อยู่ในอันดับที่ห้าจำหน่ายได้ 369 คัน ติดลบไป -58.3 % ส่วนแบ่งตลาด 6.6 % รวมตั้งแต่ต้นปีตลาดนี้มียอดรวมที่ 36,895 คันเพิ่มขึ้น 6.6 % มิตซูบิชิ อยู่หัวแถว 12,728 คัน ส่วนแบ่งตลาด 34.5 % ตามด้วย โตโยตา 9,167 คันส่วนแบ่ง 24.8 % และ อีซูซุ 5,149 คัน ส่วนแบ่ง 14.0 % ว่าที่แชมพ์ปี 2554 มิตซูบิชิ เปิดสาเกฉลองล่วงหน้าน่าจะได้แล้ว
ประเภทเอมพีวีเดือนนี้ยังติดลบอยู่โดยติดลบไป -3.8 % ทำได้ 1,154 คัน โตโยตา จำหน่ายได้ 806 คัน นำหน้าต่อไปส่วนแบ่งตลาด 69.8 % ปโรตอน จากเพื่อนบ้านทางใต้จำหน่ายได้ 179 คัน ส่วนแบ่งตลาด 15.5 % อยู่ในอันดับสองส่วน มิตซูบิชิ จำหน่ายได้ 65 คัน ส่วนแบ่งตลาด 5.6 % เป็นอันดับที่สาม รวมตั้งแต่ต้นปีตลาดนี้มียอดที่ 8,846 คัน ต่างจากปีที่แล้วเล็กน้อยติดลบอยู่เพียง -0.5 % เท่านั้น โตโยตา กินพื้นที่ตลาดไป 62.9 % เกินครึ่งหนึ่ง ปโรตอน อยู่ในตำแหน่งที่สอง 1,393 คัน ส่วนแบ่ง 15.74 % อันดับที่สามเป็น ฮอนดา 712 คัน ส่วนแบ่ง 8.0 % มิตซูบิชิ อยู่ที่สี่ 669 คัน ส่วนแบ่ง 7.6 % ซังยง จากเมืองกิมจิเป็นอันดับที่ห้า 111 คัน 1.3 %
สำหรับตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลเดือนสิงหาคมจำหน่ายรวมกัน 34,383 คัน เพิ่มขึ้น 27.8 % รวมตั้งแต่ต้นปี 252,456 คัน ปรับตัวเพิ่มมากขึ้น 25.4 % ไม่มีปัญหาสำหรับ โตโยตา ถึงจะไม่มีวี่แววว่าจะมีโมเดลอะไรออกมาในปีนี้แต่ก็ยังนอนตีขิมได้กับตำแหน่งแชมพ์ เดือนสิงหาคมจำหน่ายไป 14,935 คัน ส่วนแบ่งตลาด 43.4 % ส่วนผลรวมมกราคมถึงสิงหาคม 99,110 คัน ส่วนแบ่งตลาด 39.3 % เดือนหน้าทะลุแสนคันแน่นอน ฮอนดา ยังซมพิษไข้เดือนสิงหาคมติดลบไป -21.8 % จำหน่ายได้ 6,961 คัน ส่วนแบ่ง 20.2 % รวม 9 เดือน 56,066 คัน ติดลบอยู่ -11.9 % ส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 22.2 % อันดับสามได้แก่ นิสสัน 4,254 คัน ส่วนแบ่ง 12.4 % รวม 32,265 คัน ได้ไป 12.8 % อันดับสี่ มาซดา แน่นอนจริงๆ ค่ายนี้สำหรับตลาดรถเล็กจำหน่ายไป 2,949 คัน ส่วนแบ่ง 8.6 % รวม 21,213 คัน 8.4 % ฟอร์ด ทำได้ในอันดับที่ห้า 1,817 คัน ส่วนแบ่ง 5.3 % รวม14,470 คัน 5.7 %
ตามดูกันต่อไปว่าเมื่อโครงการรถยนต์คันแรกกดปุ่มออกสตาร์ทตลาดรถยนต์ในบ้านเรา จะพุ่งพรวดขนาดไหน โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และรถพิคอัพ ที่โค้งสุดท้ายสู้กันมันหยดแน่สำหรับการช่วงชิงพื้นที่ตลาดแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องวัดกันด้วยว่าน้ำท่วมครั้งใหญ่ครั้งนี้จะส่งผลต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยมากน้อยเพียงไร และจะส่งผลให้ยอดจำหน่ายรถยนต์ในประเทศชะลอตัวบ้างหรือไม่ ถ้ายังท่วมไม่เลิกราในเดือนต่อไป
ABOUT THE AUTHOR
ข
ขุนสัญจร
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2553
คอลัมน์ Online : วิถีตลาดรถยนต์