รู้ไว้ใช่ว่า
"สู้คดีน่าเกลียด"
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ "นางเพชรล้วน" นักธุรกิจเอเยนต์จำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อหนึ่ง ซึ่งมีตำแหน่งใหญ่โตเป็นรองประธานกรรมการ ให้ลูกน้องขับรถเก๋งของบริษัทพาเธอไปธุระ ขณะที่วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ตามปกติโชเฟอร์ คือ "นายประธาน" ชื่อโก้ไม่แพ้เจ้านาย เขาหยุดงาน
รถไปถึงที่เกิดเหตุ นายประธาน ขับ "ซิ่ง" ขับแซงด้วยความประมาท ไปเฉี่ยวชนรถบรรทุก 6 ล้อของบริษัทส่งหนังสือพิมพ์ ที่พยายามหักหลบ แต่ไม่พ้น ไปชนเสาข้างถนนอีกด้วย รถเขาเสียหาย มีคนได้รับบาดเจ็บสาหัส เรื่องถึงศาล เพราะฝ่าย นางเพชรล้วน ค่อนข้างหัวหมอ ไม่ยอมรับผิด
บริษัทเจ้าของรถ 6 ล้อ จึงยื่นฟ้อง บริษัทขายรถยนต์เป็นจำเลยที่ 1 นายประธาน โชเฟอร์รถเก๋งเป็นจำเลยที่ 2 บังคับให้จ่ายเงินค่าเสียหาย 6 แสนกว่าบาท จำเลยที่โดนฟ้องขอให้ศาลเรียกบริษัทประกันที่รับประกันภัยรถเก๋งเอาไว้ในวงเงินตั้ง 1 ล้านบาท มาเป็นจำเลยร่วม
นายประธาน ไม่ได้คิดอะไรมากเมื่อโดนฟ้อง แต่นายจ้างดุนหลังให้สู้คดี เพื่อหวังผลให้บริษัทพ้นความรับผิดทางแพ่ง ขณะที่บริษัทเจ้าของรถเก๋งซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 ก็สู้คดี ขอให้ยกฟ้อง สู้แบบน่าเกลียด สู้ยังไงเดี๋ยวก็รู้
สำหรับบริษัทประกันไม่ได้ยื่นคำให้การ เมื่อศาลสั่งให้เป็นจำเลยร่วม กลายเป็นไม่สู้คดี
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ตัดสินให้บริษัทขายรถ และนายประธานผู้เป็นโชเฟอร์ คือ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันรับผิด จ่ายเงิน 2 แสนกว่าบาทพร้อมดอกเบี้ย เท่ากับยกฟ้องบริษัทประกัน
จำเลย คือ บริษัทขายรถยนต์ไม่ยอมจ่ายง่ายๆ ให้ทนายทำอุทธรณ์ในนามของจำเลยที่ 1 และที่ 2ยื่นขึ้นไป โต้ไว้ว่า วันเกิดเหตุเป็นวันอาทิตย์ นายประธาน หยุดงาน การทำหน้าที่ขับรถของนายประธาน จึงนอกเวลาทำงานของบริษัท ไม่ถือว่าทำงานในฐานะลูกจ้าง และเถียงว่าไม่ได้เป็นฝ่ายประมาท ทั้งๆ ที่ นายประธาน คนเป็นโชเฟอร์รับสารภาพผิดในคดีอาญาที่โดนฟ้องข้อหาขับรถประมาท ทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส คดียุติไปแล้ว
อ้อ จำเลยที่โดนฟ้องได้อุทธรณ์เกี่ยงงอนให้บริษัทประกันร่วมรับผิดด้วย
เห็นหรือยังว่าบริษัทขายรถ ใช้ลีลาศรีธนญชัย น่าเกลียดขนาดไหน ใช้งานลูกน้องอยู่แท้ๆ รองประธานกรรมการก็นั่งในรถนั้นด้วย เพื่อไปธุระของตน แต่อ้างวันอาทิตย์เพื่อจะไม่รับผิด
ศาลอุทธรณ์ไม่ฟังเสียง พิจารณาแล้วพิพากษายืนให้จ่ายตามที่ศาลชั้นต้นว่าไว้ ไม่ยักตัดสินให้บริษัทประกันร่วมรับผิดด้วย ศาลคงมองว่าฝ่ายโจทก์เขาไม่ได้เรียกร้องถึงบริษัทประกัน
บริษัทขายรถจำเลยที่ 1 ลากยาวไปถึงศาลฎีกา อ้างอย่างเดิมว่าไม่ต้องรับผิด เพราะวันเกิดเหตุเป็นวันอาทิตย์ วันหยุดของโชเฟอร์ ไม่ถือว่าโชเฟอร์ทำการงานในทางที่จ้างของบริษัท และยังฎีกาให้บริษัทประกันร่วมรับผิดด้วย เนื่องจากศาลล่างปล่อยให้บริษัทประกันลอยนวลอีแบบนี้จะซื้อประกันให้เสียเงินทำไม
ศาลฎีกา เหล่ดูสำนวนคดีนี้แล้วชี้ขาดออกมาว่า
เรื่องที่ศาลล่างตัดสินไว้ว่า นายประธาน ขับรถประมาทนั้น นายประธาน เลิกเถียงว่าไม่ประมาทเลิกอ้างว่ารับสารภาพโดยไม่สมัครใจ เพราะอ้างลอยๆ ฟังไม่ขึ้น สำหรับบริษัทขายรถซึ่งเป็นนายจ้างก็อ้างลอยๆ ว่าฝ่ายตนไม่ประมาท พยานหลักฐานด้อยกว่าฝ่ายโจทก์ที่เขานำสืบ
ข้อที่จำเลยพากันเถียงว่า วันเกิดเหตุเป็นวันอาทิตย์ เป็นวันหยุดงานของนายประธานคนขับรถแม้ นางเพชรล้วน รองประธานบริษัทนั่งไปด้วย ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นการทำงานในทางการที่จ้างนั้น ศาลฎีกาฟันธงว่า นายประธาน เป็นลูกจ้างของบริษัท รถที่ขับก็เป็นของบริษัท จะไม่ใช่วันทำงานปกติของ นายประธาน ก็ตาม บริษัทซึ่งเป็นจำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดร่วมด้วยชิ่งหนีไม่พ้นหรอก
ในส่วนของค่าเสียหาย ได้ความว่าเป็นรถส่งหนังสือพิมพ์ ต้องเอารถเข้าอู่ซ่อม 173 วัน เขาส่งหนังสือพิมพ์ไม่ได้ ขาดรายได้จริง คนผิดต้องจ่ายให้เขาตามที่ศาลล่างว่าไว้ รวมทั้งบริษัทประกันต้องรับผิดด้วย ตามที่จำเลยพากันเกี่ยงไว้ในฎีกา
ศาลฎีกาจึงพิพากษาแก้ ให้บริษัทประกันร่วมรับผิดกับบริษัทขายรถจำเลยที่ 1 และนายประธานโชเฟอร์รถเก๋ง จำเลยที่ 2 ตามที่ศาลล่างว่าไว้
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4997/2549
ABOUT THE AUTHOR
ณ
ณรงค์ นิติจันทร์
ภาพโดย : -นิตยสาร 417 ฉบับเดือน พฤษภาคม ปี 2550
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า