เทคนิคตีนโต
ทริคการข้ามพื้นที่ต่างระดับ
ภูมิประเทศที่เป็นหลุม หรือเป็นเนินต่างระดับ เป็นภาพที่พบเห็นได้บ่อยๆ บนเส้นทางวิบากที่เรานำรถขับเคลื่อนสี่ล้อขับเคลื่อนไป ถ้าเป็นหลุมเล็กๆ ก็ไม่น่าเป็นห่วง แต่ถ้าท้องร่องนั้น โดนฝนที่ตกลงมาหนักจนเป็นแอ่งใหญ่จนถึงขนาดที่ยางรถของเราจมได้แล้วละก็...หรือถ้าต้องขับผ่านพื้นที่ๆ ต่างระดับ ที่มีความสูงมากกว่าครึ่งหนึ่งของความสูงยาง คุณจะทำอย่างไร ?
จังหวะและน้ำหนัก
เป็นเรื่องสำคัญ
ทันทีที่คุณพบเห็นทางต่างระดับอยู่ด้านหน้า ให้พยายามมองหาเส้นทางอื่นก่อนว่ามีเส้นทางเลี่ยงได้หรือไม่ ถ้าไม่มีทางเลือก จำเป็นต้องขับผ่าน ให้จำไว้ว่า นำรถวิ่งเข้าหาทางต่างระดับนั้นในแนวเฉียง แล้วค่อยๆ หย่อนล้อหน้าลงทางต่างระดับข้างหน้าทีละล้อ ห้ามขับลงพร้อมกันทีเดียวสองล้อ เพราะนอกจากจะทำให้ช่วงล่างด้านหน้าเสียหายแล้ว ยังอาจทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำได้ การหย่อนล้อคู่หน้าทีละล้อควรเป็นไปอย่างนุ่มนวลโดยอาศัยเบรคและคันเร่ง
ในขณะที่หย่อนล้อลงทางต่างระดับ พยายามอย่าให้ล้อหลังฝั่งทแยงมุมกับล้อที่ตกสัมผัสกับพื้นพร้อมกัน เพราะจะทำให้รถไม่สามารถเคลื่อนที่ต่อได้
สำหรับล้อคู่หลังก็ใช้หลักการเดียวกับการบังคับควบคุมล้อคู่หน้า โดยให้หย่อนลงไปทีละล้อ อาศัยการบังคับควบคุมเบรคและคันเร่งอย่างนุ่มนวล
ทางต่างระดับ
ให้วิ่งข้ามทีละล้อ
การวิ่งเข้าหาทางต่างระดับในแนวเฉียง จะช่วยลดความเสียหายที่เกิดขึ้นกับกันชนและชิ้นส่วนช่วงล่างได้เป็นอย่างมาก จำไว้ว่าเมื่อใดที่รู้สึกว่า ล้อหลังในแนวทแยงมุมกับล้อหน้าลอยอยู่กลางอากาศ ให้พยายามถ่ายน้ำหนักกลับไปยังล้อที่ลอยอยู่ โดยก่อนที่จะรู้สึกว่าล้อหลังที่อยู่ในแนวทแยงมุมลอยตัว ให้หักพวงมาลัยไปทางฝั่งที่ล้อหน้าลอยอยู่ จะทำให้จุดศูนย์ถ่วงของตัวรถเปลี่ยนไป น้ำหนักจะถูกส่งถ่ายไปยังล้อหลังที่กำลังจะลอยตัวอยู่ทันที ส่งผลให้รถมีกำลังและมีแรงยึดเกาะพื้นผิวที่จะตะกายต่อไปได้
เนินชันระวังให้ดี
สำหรับเนินชันที่มีความลาดเอียงสูง แม้ว่าจะวิ่งเข้าหาในแนวเฉียงก็ยังมีโอกาสที่กันชนหรือชิ้นส่วนช่วงล่างไปค้างบนเนินได้ เพื่อไม่ให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้น ขอแนะนำให้ลงจากรถไปเดินสำรวจด้วยเท้าก่อน
ถ้าระดับความลาดเอียงไม่ชันเกินไปนัก หรือกราวน์ดเคลียแรนศ์ของตัวรถมีความสูงมากพอ ก็สามารถนำรถวิ่งเข้าหาในแนวตรงได้โดยไม่มีการกระแทกกับช่วงล่าง แต่การวิ่งเข้าหาในแนวเฉียงจะมีความปลอดภัยมากกว่า
การวิเคราะห์และเลือกแนววิ่งให้ดีจะช่วยให้นำรถข้ามเนินชันได้อย่างปลอดภัยนอกจากนั้นการเลือกใช้เกียร์ต่ำในช่วงโลว์เรนจ์ และค่อยๆ บังคับควบคุมคันเร่งอย่างนุ่มนวล จะช่วยให้ขับผ่านไปอย่างราบรื่น
เข้าใจในระบบขับเคลื่อน
ในรถที่มีดิฟเฟอเรนเชียล หรือดิฟฟ์ จะช่วยป้องกันอาการหมุนฟรีของล้อฝั่งตรงข้ามได้ในระบบขับเคลื่อนสี่ล้อพาร์ทไทม์ จะมีดิฟฟ์ที่เพลาหน้าและหลัง แต่สำหรับระบบฟูลล์ไทม์ จะมีดิฟฟ์ 3 จุด คือ ดิฟฟ์ที่เพลาหน้า เพลาหลัง และดิฟฟ์กลาง หน้าที่หลักๆ ของดิฟฟ์ที่เพลาขับก็คือ ทำหน้าที่ปรับทดรอบการหมุนของล้อซ้าย/ขวาในขณะขับรถเลี้ยวโค้ง เมื่อดิฟฟ์ทำงานถ้าล้อข้างหนึ่งหมุนฟรีจะมีการส่งแรงบิดสำหรับการขับเคลื่อนไปยังล้อฝั่งตรงข้ามของเพลาขับทันที กลไกที่เข้ามาควบคุมการทำงานของการหมุนด้วยรอบที่แตกต่างบนเพลาขับนี้ก็คือ ดิฟเฟอเรนเชียลลอค หรือเรียกสั้นๆ ว่าดิฟฟ์ลอค สำหรับดิฟฟ์กลางหรือเซนเตอร์ดิฟฟ์ จะทำหน้าที่แบ่งแรงบิดระหว่างเพลาหน้าและเพลาหลังอีกที เป็นผลให้รอบการหมุนของล้อทั้งสี่มีความแตกต่างอย่างอิสระในขณะที่ขับเข้าโค้ง ช่วยให้การยึดเกาะพื้นผิวทางเป็นไปอย่างมั่นใจ และมีประสิทธิภาพ
ด้วยกลไกการทำงานของดิฟเฟอเรนเชียล ทำให้แม้จะมีล้อสัมผัสพื้นแค่ 3 ล้อ คุณก็สามารถควบคุมรถเคลื่อนที่ต่อไปได้ เทคนิคการขับผ่านทางวิบากโดยให้ล้อสัมผัสกับพื้นอย่างน้อย 3 ล้อจึงเป็นเรื่องสำคัญ !
ตราบใดที่ยังมีล้อสัมผัสพื้นถึง 3 ล้อ รถก็ยังมีโอกาสที่ขับเคลื่อนต่อไปได้ แต่ถ้าเมื่อใดมีล้อถึง 2 ล้อลอยอยู่กลางอากาศ นั่นหมายถึงการเคลื่อนที่ต่อไปข้างหน้าของรถจะหยุดลงทันทีให้แก้ไขโดยการถ่ายน้ำหนักไปยังล้อใดล้อหนึ่งที่กำลังจะลอยขึ้น โดยอาศัยการหักเลี้ยวพวงมาลัยช่วยในการถ่ายเทน้ำหนัก เพื่อเปลี่ยนจุดศูนย์ถ่วงของรถ
ทักษะการบังคับควบคุมเบรค และคันเร่งอย่างนุ่มนวล นอกจากจะช่วยให้การขับเคลื่อนผ่านพื้นที่ต่างระดับได้ด้วยดีแล้ว ยังช่วยลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับตัวรถได้ด้วย
ABOUT THE AUTHOR
ว
วิโชค ควรรักษ์เจริญ
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2548