โลกใต้ทะเล
"คอมมานโด" ฟื้นฟูปะการัง
คลื่นยักษ์ใต้น้ำ "สึนามิ" (TSUNAMI) นอกจากจะสร้างความเสียหายแก่ชีวิตมนุษย์นับหมื่นตามชายฝั่งทะเลแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตสัตว์ใต้น้ำ ปะการัง ที่อยู่ใกล้ชายฝั่ง และเกาะแก่งต่างๆ
พวกเราซึ่งเป็นนักดำน้ำจากกรุงเทพ ฯ และภูเก็ต ได้ร่วมมือร่วมใจกันจัดทีมลงไปสำรวจความเสียหายของแนวปะการังต่างๆ ของหมู่เกาะสิมิลัน คลื่นยักษ์ใต้น้ำซัดผ่านก่อนถึงชายฝั่งภูเก็ต และพังงา เนื่องจากหมู่เกาะสิมิลัน อยู่ทางทิศตะวันตกที่ใกล้ฝั่งมากที่สุดของทะเลอันดามัน
วันที่ 4-9 มกราคม 2548 นักดำน้ำมืออาชีพรวมตัวกันราว 80 คน ด้วยความสนับสนุนจากกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้นั่งเครื่องบิน C-130 ที่กองทัพอากาศ เอื้อเฟื้อไปยังจังหวัดภูเก็ตเพื่อลงเรืออันดามัน พรินเซสส์ ออกไปสำรวจความเสียหายของแนวปะการังหมู่เกาะสิมิลัน โดยไทยออยล์ ได้สนับสนุนน้ำมันเรือให้ 30,000 ลิตร เพื่อการเดินทาง และค่าอาหารทั้งหมด สำหรับการเดินทางครั้งนี้ มีนักวิชาการด้านปะการังในทะเลอันดามัน และนักวิชาการจากกระบุรีมาร่วมให้ความรู้เกี่ยวกับการสำรวจแนวปะการังให้แก่พวกเราด้วย
เป็นครั้งแรกที่เราสามารถรวบรวมนักดำน้ำมืออาชีพมาทำงานร่วมกันมากขนาดนี้ พวกเราแบ่งออกเป็น 11 ทีม แต่ละทีมมีนักดำน้ำ 6-7 คน มีกล้องวีดีโอใต้น้ำหนึ่งเครื่อง และกล้องดิจิทอลถ่ายภาพนิ่ง อย่างน้อยสองตัว ส่วนที่เหลือต้องนำกระดานเขียนใต้น้ำลงไปจดบันทึกสภาพความเสียหายของปะการัง ภาพนิ่งนั้น เมื่อถ่ายขึ้นมาแล้วจะถูกนำไปโหลดใส่คอมพิวเตอร์เก็บบันทึกภาพสถานที่ต่างๆ แต่ละทีมถูกแบ่งหน้าที่ตามทิศทั้งสี่ แต่ละทิศมี 3 ทีมสำรวจ
ภาพวีดีโอจะส่งให้แก่นักวิชาการ นำไปศึกษาสภาพแนวปะการังต่อไป เมื่อขึ้นจากการสำรวจแต่ละครั้ง พวกเราในแต่ละทีมจะต้องเขียนรายงานว่า สถานที่ที่ลงไปสำรวจนั้นเป็นอย่างไรในหนึ่งวันเมื่อเสร็จภารกิจตอนค่ำ รายงานของแต่ละทีม ทางนักวิชาการจะร่วมประชุมพร้อมกัน ซักถามรายละเอียด พร้อมกับเปิดภาพนิ่งที่ถ่ายมาประกอบการสรุปผลของแต่ละวัน
พวกเราลงสำรวจเป็นเวลา 4 วันเต็ม ซึ่งผลสรุปออกมาบางแห่งได้รับผลกระทบมากบางแห่งกระทบน้อย บางแห่งไม่โดนผลกระทบจากคลื่นยักษ์ใต้น้ำเลย ส่วนใหญ่ผลเสียหายของปะการัง จะอยู่ในแนวระดับน้ำตื้นจากชายฝั่งจนถึงระดับความลึกสิบกว่าเมตร และมักจะเป็นด้านทิศตะวันออกแทนที่จะเป็นด้านทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศทางที่มาของคลื่นยักษ์ใต้น้ำ
เมื่อผลสำรวจออกมา งานต่อไปของเราคือ การกู้ปะการังให้ฟื้นคืนชีวิต ด้วยการพลิกปะการังที่หักคว่ำอยู่ เช่น ปะการังโต๊ะ และปะการังโขด ให้หงายขึ้นมา ส่วนพวกปะการังเขากวางที่หักกระจัดกระจายตามพื้นทรายใต้น้ำให้นำมารวมกันเป็นกอง เพื่อเป็นที่อยู่ของปลาตัวเล็กๆ ต่อไป
และในวันที่ 14-17 มกราคม 2548 ผมกับนักดำน้ำมืออาชีพในกรุงเทพ ฯ และภูเก็ต จำนวน 36 คน รวมทั้งนักวิชาการด้านชีววิทยาของปะการัง และนักวิชาการของอุทยานแห่งชาติรวม 6 คน ได้กู้ปะการังให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมา แต่ครั้งนี้พวกเราใช้เรือ LIVE-ABOARD สองลำ แต่ละลำสามารถบรรจุนักดำน้ำได้ประมาณ 22 คน พร้อมห้องนอน ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก บริษัท บุญรอด จำกัด ในด้านค่าน้ำมันเรือ และอาหาร
นอกจากกู้ปะการังแล้ว พวกเรายังเก็บขยะที่ถูกคลื่นยักษ์พัดลงมา มีทั้งเทนท์ ต้นมะพร้าว ต้นไม้ที่ถูกถอนรากถอนโคนจมอยู่ใต้น้ำที่อ่าวเกือกม้าของเกาะแปดสิมิลัน พวกเราสังเกตว่า ต้นกัลปังหาที่อยู่น้ำลึกยี่สิบกว่าเมตรลงไปจนถึงระดับสี่สิบเมตรนั้น ได้ล้มคว่ำนอนอยู่กับพื้นทรายใต้น้ำเป็นจำนวนมาก ในบริเวณเกาะแปดและเกาะเก้าของสิมิลัน เนื่องจากพวกเรามีเวลาน้อย จึงคิดว่าจะกลับมาอีก
วันที่ 19-24 มกราคม 2548 ผมกลับไปพร้อมกับนักดำน้ำทั่วไปที่มิได้เจาะจงเฉพาะนักดำน้ำมืออาชีพรวมทั้งหมด 136 คน มาร่วมกันทำงานโดยใช้เรืออันดามัน พรินเซสส์ อีกครั้ง
ครั้งนี้ผมกับนักดำน้ำมืออาชีพประมาณ 20 คน ตั้งทีมทำงานน้ำลึกขึ้นมา ใช้ชื่อทีมว่า "คอมมานโด" เพื่อลงไปตั้งต้นกัลปังหา ที่ล้มอยู่บนพื้นทราย โดยใช้เส้นลวดเคลือบพลาสติคมัดกัลปังหาให้ติดกับเส้นเหล็ก แล้วตอกลงไปในพื้นทราย ความลึกที่พวกเราลงไปอยู่ที่ระดับสามสิบกว่าเมตรเกือบทั้งหมดซึ่งเป็นงานที่ยาก และมีเวลาอยู่ใต้น้ำในระดับนี้น้อยมาก จึงต้องดำหลายครั้งกว่าจะเสร็จ
นับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สำหรับพวกเรา ในการสำรวจและฟื้นฟูปะการัง เพราะทั้งสามครั้งเราได้รวบรวมนักดำน้ำเกือบ 300 คน และจากผลสรุปของการสำรวจครั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรได้ประกาศเปิดอุทยานแห่งชาติสิมิลันอีกครั้ง หลังจากปิดมาเป็นเวลากว่าสามอาทิตย์
เราหวังว่า ที่นี่จะมีปะการังงดงาม เป็นมรดกให้ลูกหลานได้ชื่นชมตลอดไป
ABOUT THE AUTHOR
ศ
ศรันต์ กิตติวัณณะกุล
ภาพโดย : ศรันต์ กิตติวัณณะกุลนิตยสาร 417 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2548
คอลัมน์ Online : โลกใต้ทะเล