รู้ไว้ใช่ว่า
จวกตรงสี่แยก
ตราบใดที่ยังขับรถตะลอนๆ สิ่งที่หนีไม่พ้นคือ "สี่แยก" ซึ่งเป็นจุดนัดพบที่ไม่ควรให้รถนัดพบกันเป็นอันขาด ถ้าคนไปพบกันพอไหว
คดีต่อไปนี้ ก็เป็นรายการใหญ่เจอใหญ่ที่สี่แยกแห่งหนึ่ง เรามาดูลีลาการตัดสินของศาลว่าจะเป็นอย่างไรศาลท่านชี้เรื่องทางเอกทางโทแบบไหน ถ้าคนทำผิดบาดเจ็บสาหัสเพราะการกระทำของตนเอง ติดคุกไหม
ใหญ่เจอใหญ่รายนี้คือ รถพ่วงเจอสิบล้อ ทั้งสองคันห้อมาถึงสี่แยกพร้อมๆ กัน ปรากฏว่ารถบรรทุกสิบล้อขับขี่โดย "นายเบรค" ไม่ยักเบรคหรือชะลอ เพราะถือว่าเป็นทางเอก เหยียบคันเร่งพารถผ่านสี่แยกแบบหวือหวา คิดว่าจะพ้นแต่ไม่พ้น เพราะรถพ่วงซึ่งมี "นายยั้ง" ก็มาอีกทางหนึ่งซึ่งเป็นทางโทโดยไม่ยั้งเช่นกันเพราะมองไม่เห็นหรือเดาใจกันผิดก็แล้วแต่
รถทั้งสองจึง "โดนกัน" (ภาษากฎหมาย) กลางสี่แยก พลิกตะแคงอยู่ที่สี่แยกทั้งคู่ เสาไฟสัญญาณจราจรพลอยป่นปี้ไปด้วย สำหรับตัวคนคือ นายเบรคและลูกชายที่นั่งมาบนรถสิบล้อบาดเจ็บ แต่นายเบรคและนายยั้งก็ยังทะลึ่งหนี เพราะกลัวตำรวจ กลัวว่ามีใครตาย เดี๋ยวต้องติดคุก
พอรู้ทีหลังว่าไม่มีใครม่องเท่ง เฉพาะนายเบรค ซึ่งอุตส่าห์หนีทั้งๆ ที่เครื่องในบอบช้ำถึงขั้นต้องเข้าโรงพยาบาล อาการสาหัสไปไหนไม่รอด ทั้งสองเลยยอมให้ตำรวจซิวตัวมาดำเนินคดี เมื่อเดินเหินได้แล้ว
เรื่องถึงอัยการ เลี้ยวไปที่ศาล ต่างฝ่ายต่างปฏิเสธไม่ยอมรับผิด เพราะเถ้าแก่ซึ่งเป็นเจ้าของรถหนุนหลังเกรงว่าจะต้องรับผิดซ่อมรถให้อีกฝ่าย ไหนจะค่าซ่อมไฟสัญญาณจราจรของหลวงอีกต่างหาก จึงตั้งหลักไว้ก่อน อ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งผิด
พอสืบพยานโจทก์ ซึ่งมีอัยการเป็นคนทำหน้าที่เสร็จแล้ว นายยั้งได้ข้อมูลมาว่าถ้ารับสารภาพคงจะไม่ติดตะราง เพราะไม่มีใครตาย เถ้าแก่ก็ตกลงกันได้เรื่องรถเสียหาย จึงกลับลำถอนคำให้การเดิม ให้การใหม่รับสารภาพเพื่อกินของถูก ขณะที่นายเบรค คนขับรถสิบล้อที่บาดเจ็บสาหัสและถือว่าตัวเองมาทางเอกยังปฏิเสธสู้คดีต่อไป
ศาลชั้นต้น พิจารณาแล้วตัดสินลงโทษนายยั้งคนขับรถพ่วง เฉพาะข้อหาหลบหนีไม่แจ้งเจ้าพนักงานปรับ 2,000 บาท ส่วนนายเบรค ศาลเอาผิดข้อหาขับรถประมาททำให้มีคนบาดเจ็บสาหัส ลงโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 6,000 บาท ไม่มีการลดโทษให้ใครเพราะถือว่าจำนนต่อหลักฐาน
การที่ศาลชั้นต้น เอานายเบรค คนขับรถสิบล้อเข้าตะรางตั้ง 1 ปี ไม่รอลงอาญา แถมปรับอีกต่างหาก นายเบรค รับไม่ได้ เพราะเห็นว่าตนเองมาทางเอก คนที่บาดเจ็บสาหัสคือ ตัวนายเบรคเอง จึงให้ทนายยื่นอุทธรณ์อ้างว่าไม่ผิด
ศาลอุทธรณ์ พิจารณาแล้วเห็นจริงตามที่นายเบรคอ้าง พิพากษาแก้ ให้ยกฟ้องนายเบรคเสีย
อัยการโจทก์ ไม่เออออด้วย ขัดขาไว้ด้วยการยื่นฎีกาเพื่อเอาผิดนายเบรค ให้ได้ เพราะเห็นว่าทางเอกทางโทก็ต้องระมัดระวังเมื่อขับถึงสี่แยก นายเบรคมีความผิดชัวร์ยกฟ้องได้อย่างไร
ศาลฎีกา เพ่งดูคดีนี้ด้วยความชำนาญ แล้วชี้ขาดออกมาดังนี้
จากการตรวจสถานที่เกิดเหตุจากปากคำของตำรวจ พบว่ารถสิบล้อที่นายเบรค มาแรง เฉี่ยวชนรถพ่วงแล้วพลิกคว่ำไถลไปอีกตั้งไกล สี่แยกมีป้ายบอกให้หยุดเฉพาะทางด้านที่เป็นทางโทก็จริง แต่นายเบรคต้องชะลอรถแม้ไม่มีป้ายบอกให้หยุดเนื่องจากเป็นทางเอก ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย
งานนี้แม้นายยั้ง ซึ่งมาทางโทไม่ทำตามกฎจราจรเมื่อถึงทางแยก แต่นายเบรค ซึ่งมาทางเอกก็ต้องชะลอรถดูแลความปลอดภัย เมื่อได้ความว่านายเบรคไม่ระวัง ขับรถเข้าสี่แยกด้วยความเร็วสูงจนเกิดเหตุขึ้น จึงมีความผิด ยกฟ้องไม่ได้หรอก
แต่นายเบรค อย่าเพิ่งตกอกตกใจ เพราะการขับรถประมาทไม่ได้เกิดจากการมีเจตนาชั่วร้าย มีคนบาดเจ็บถึงสาหัสก็คือตัวนายเบรค และลูกชายซึ่งได้รับผลร้ายจากการกระทำของตัวเองพอสมควรแล้ว ไม่เคยติดตะรางมาก่อน จึงให้โอกาสซะหน่อย
ศาลฎีกา จึงพิพากษาแก้ ให้ลงโทษนายเบรค ตามที่ศาลชั้นต้นว่าไว้ แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี สำหรับโทษจำคุก และให้คุมประพฤติไปรายงานตัวกับทำกิจกรรมบริการสังคม 20 ชม.
ถือว่าเคลียร์นะครับ สำหรับการตัดสินของศาลเรื่องทางเอกทางโท นั่นหมายความว่าทุกฝ่ายต้องระวัง และศาลเอาผิดว่าประมาทร่วมกันได้ ไม่ใช่ทางเอกเป็นใหญ่ ไม่ผิดเลย
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1171/2544
ABOUT THE AUTHOR
ณ
ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน กันยายน ปี 2546
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า