กองบรรณาธิการ "ฟอร์มูลา" ยกทีมไปหาเหตุผลกันที่ "สนามทดสอบยางบริดจ์สโตน"เพื่อพิสูจน์ประสิทธิภาพของยางใหม่ เมื่อเปรียบเทียบกับยางเก่า ทั้งแบบจำลองกรณีการใช้งานทั่วไป และกรณีที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุในหน้าฝน
หลังอ่านจบแล้ว เรามั่นใจว่าคุณจะได้ข้อเท็จจริง เพื่อประกอบการพิจารณาว่า ฝนนี้คุณควร
จะเปลี่ยนยางเส้นใหม่ได้หรือยัง ?
ตั้งแต่คุณเริ่มใช้รถยนต์มา เราเชื่อว่ามีคำแนะนำสารพัดเกี่ยวกับเรื่องยาง จนคุณสับสน และไม่รู้จะเชื่อใครดี โดยเฉพาะหัวข้อที่ว่า "เมื่อไหร่จึงจะเหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนยางเส้นใหม่" บางคนบอกว่า 2 ปี ยางก็หมดอายุแล้ว แต่บางคนบอก ยางสมัยนี้ 3-4 ปี ก็ยังใช้ได้แจ๋วอยู่
เกณฑ์การพิจารณาสำหรับการเปลี่ยนยางเส้นใหม่ เราเคยนำเสนอโดยละเอียดไปแล้วเมื่อ 2 เดือนก่อนในคอลัมน์ "รอบรู้เรื่องรถ" สรุปก็คือ ระยะเวลาของการเปลี่ยนยาง กำหนดตายตัวไม่ได้ แต่จะต้องดูจาก ข้อแรก ดอกยางมีความลึกน้อยกว่า 3 มม. ข้อต่อมา ยางมีอายุเกิน 6 ปี นับจากวันผลิต ข้อสุดท้ายโครงสร้างยางชำรุดเสียหาย เสี่ยงต่ออุบัติเหตุจากการแตกระเบิด
และจากเกณฑ์ที่ว่านี้นี่เอง เราจึงนำยางเก่าเกินเกณฑ์ มาทดสอบเปรียบเทียบกับยางใหม่เบิกห้างไม่ได้บอกว่าใครดีกว่าใคร (เพราะไม่ต้องทดสอบก็รู้กันอยู่แล้ว) แต่เพื่อตอบคำถามที่ยังไม่เคยมีใครพิสูจน์ ว่ายางใหม่มีประสิทธิภาพดีกว่ายางเก่าแค่ไหน โดยเราเน้นหนักเป็นพิเศษ สำหรับการทดสอบการใช้งานในหน้าฝน อย่างที่คุณกำลังเผชิญอยู่บ่อยๆ ในระยะนี้
เราทดสอบอย่างไร ?
รถยนต์
ทีมทดสอบของเราใช้รถยนต์ โตโยตา วีออส เครื่องยนต์ 1,499 ซีซี กำลังสูงสุด 109 แรงม้า ที่ 6,000 รตน. แรงบิดสูงสุด 14.5 กก.-ม. ที่ 4,000 รตน. ระบบห้ามล้อด้านหน้าแบบจาน ด้านหลังแบบดุม มีระบบป้องกันล้อลอค เอบีเอส ระบบกระจายแรงเบรค อีบีดี และระบบเสริมแรงเบรค บีเอ มาเป็นคันทดสอบ
ยางรถยนต์
เราได้รับการสนับสนุนยางใหม่จากบริษัท ไทยบริดจสโตน จำกัด ยี่ห้อ บริดจ์สโตน รุ่น โพเทนซา อาร์อี 060 ขนาด 185/60 R15 ผลิตเมื่อสัปดาห์ที่ 10 ของปี 2550 เพื่อทดสอบเปรียบเทียบกับยางเก่า ยี่ห้อเดียวกัน ที่ผลิตตั้งแต่สัปดาห์ที่ 40 ของปี 2545 ยางทั้ง 2 ชุด เมื่อติดตั้งกับรถจะใช้ความดันลมยางหน้า 32 ปอนด์/ตรน. ยางหลัง 30 ปอนด์/ตรน. ตามสเปคที่ผู้ผลิตรถยนต์กำหนด
สนามทดสอบ
ทั้งกระบวนการทดสอบ เราเลือกใช้สนามทดสอบยางบริดจ์สโตน ตั้งอยู่ที่อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เนื่องจากเป็นสนามทดสอบมาตรฐาน สามารถควบคุมตัวแปร คือ ความฝืดของพื้นผิวปริมาณ และระดับน้ำบนพื้นถนน ได้เป็นอย่างดี
การวัดผล
ใช้เครื่องวัดสมรรถนะดาทรอน ที่เราใช้เป็นประจำในการทดสอบรถยนต์ เครื่องนี้ทำงานโดยการยิงคลื่นไมโครเวฟไปกระทบพื้น และรับการสะท้อนกลับของคลื่นมายังเครื่องรับโดยประมวลผลออกมาเป็นตัวเลขทางฟิสิคส์ ท้ายสุดเราจึงนำผลลัพท์ที่ได้ไปวิเคราะห์เปรียบเทียบต่อไป ที่สำคัญ การทดสอบแต่ละหัวข้อจะทำซ้ำ 3-5 ครั้ง มากหรือน้อยตามค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน ถ้ายิ่งมากยิ่งต้องทดสอบหลายครั้ง ตัวเลขของผลลัพท์ที่ได้จากการทดสอบจะนำมาหาค่าเฉลี่ยเพื่อให้ได้ผลที่เที่ยงตรงที่สุด
1. การห้ามล้อ
เราทดสอบการห้ามล้อที่ 3 ระดับความเร็ว คือ 60/80 และ 100 กม./ชม. โดยทดสอบยางเก่าที่พื้นแห้งในแต่ละระดับความเร็ว หลังจากนั้นกลับมาทดสอบที่พื้นเปียก แล้วจึงทดสอบด้วยยางใหม่ตามขั้นตอนเดียวกัน การทดสอบแต่ละระดับความเร็วจะทำซ้ำ 5 ครั้งเพื่อหาค่าเฉลี่ย และเมื่อทดสอบที่ความเร็วนั้นๆ สำเร็จจะนำรถไปวิ่งวนรอบสนามทดสอบ 1 รอบ เพื่อลดความร้อนของระบบห้ามล้อ
กราฟแสดงระยะการห้ามล้อที่ 3 ระดับความเร็ว
60 กม./ชม.
15.8 ยางเก่าพื้นแห้ง
14.8 ยางใหม่พื้นแห้ง
29.3 ยางเก่าพื้นเปียก
28.7 ยางใหม่พื้นเปียก
80 กม./ชม.
26.8 ยางเก่าพื้นแห้ง
28.1 ยางใหม่พื้นแห้ง
50.9 ยางเก่าพื้นเปียก
44.5 ยางใหม่พื้นเปียก
100 กม./ชม.
42.3 ยางเก่าพื้นแห้ง
42.8 ยางใหม่พื้นแห้ง
90.0 ยางเก่าพื้นเปียก
64.1 ยางใหม่พื้นเปียก
จากผลการทดสอบมีข้อสังเกตว่า ที่ถนนแห้ง ทั้ง 3 ระดับความเร็ว ไม่ว่าจะเป็นยางเก่าหรือใหม่จะมีระยะการห้ามล้อที่ใกล้เคียงกันมาก จนดูเหมือนจะไม่มีนัยสำคัญต่อระยะทางในการหยุดรถซึ่งมีความเป็นไปได้ ด้วยเหตุที่ยางของบริดจ์สโตนรุ่นที่เรานำมาทดสอบ ใช้เทคโนโลยีเนื้อยางพิเศษ 2 ชั้น (AQ DONUTS) ที่เจ้าของบแรนด์ โฆษณาว่าช่วยให้หยุดได้ใกล้เคียงยางใหม่
แต่ก็เป็นเพียงพื้นแห้งเท่านั้น เพราะประสิทธิภาพที่ลดลงของยางเก่า แสดงออกมาชัดเจนที่การห้ามล้อบนพื้นเปียก ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. ยางใหม่หยุดรถได้ดีกว่ายางเก่า 0.6 ม. ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. ยางใหม่หยุดรถได้ดีกว่ายางเก่า 6.4 ม. และที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ยางใหม่หยุดรถได้ดีกว่ายางเก่า 25.9 ม. เทียบได้กับรถเก๋งมาจอดเรียงกันประมาณ 6 คัน หรือคนยืนเรียงกันไหล่ชนไหล่ 52 คนเชียวนะครับ
ด้านความต่างของระยะหยุดรถทางเปียกกับแห้งของยางใหม่ ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. บนพื้นเปียกต้องใช้ระยะทางในการหยุดรถมากขึ้นกว่าพื้นแห้ง 13.9 ม. ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. บน พื้นเปียกต้องใช้ระยะทางในการหยุดรถมากขึ้นกว่าพื้นแห้ง 16.4 ม. และที่ความเร็ว 100 กม./ชม. บนพื้นเปียกต้องใช้ระยะทางในการหยุดรถมากขึ้นกว่าพื้นแห้ง 21.3 ม.
เกิดเรื่องน่าสนใจที่ความต่างของระยะหยุดรถทางเปียกกับแห้งของยางเก่า โดยที่ความเร็ว 60 กม./ชม. บนพื้นเปียกต้องใช้ระยะทางในการหยุดรถมากขึ้นกว่าพื้นแห้ง 13.5 ม. ที่ความเร็ว 80 กม./ชม. บนพื้นเปียกต้องใช้ระยะทางในการหยุดรถมากขึ้นกว่าพื้นแห้ง 24.1 ม. และที่ความเร็ว 100 กม./ชม. บนพื้นเปียกต้องใช้ระยะทางในการหยุดรถมากขึ้นกว่าพื้นแห้งถึง 47.7 ม. คราวนี้เทียบได้กับรถเก๋งมาจอดเรียงกันประมาณ 11 คัน หรือคนยืนเรียงกัน ไหล่ชนไหล่ 85 คนเลยทีเดียว
สำหรับหัวข้อนี้ จึงสรุปได้ว่า ที่พื้นแห้ง ยางเก่าและยางใหม่หยุดได้ใกล้เคียงกัน ที่พื้นเปียก ยางใหม่หยุดรถได้ดีกว่ายางเก่า ส่วนระยะหยุดรถทางเปียกกับทางแห้งของยางใหม่มีความแตกต่างกัน แต่น้อยกว่าระยะหยุดรถทางเปียกกับทางแห้งของยางเก่ามากซึ่งจะแตกต่างกันมากขึ้นในทิศทางเดียวกับความเร็วที่เพิ่มขึ้น
2. การห้ามล้อเมื่อมีน้ำหนักบรรทุก
การทดสอบในหัวข้อนี้ เราทดสอบเพียงความเร็วเดียว คือ 80 กม./ชม. เนื่องจากเป็นความเร็วที่ปลอดภัย และเหมาะสมเมื่อมีการบรรทุกน้ำหนักมาก โดยเราเพิ่มน้ำหนักบรรทุกขึ้นอีก 295 กก. ประกอบด้วยถุงทรายที่บรรจุไว้ในที่เก็บสัมภาระด้านหลังหนัก 100 กก. และบรรทุกผู้โดยสาร 3 คน น้ำหนักรวม 195 กก. นอกเหนือจากผู้ขับ และผู้ควบคุมเครื่องดาทรอน ที่มีน้ำหนักรวม 145 กก. ซึ่งนั่งประจำตำแหน่งด้านหน้าอยู่แล้ว
การทดสอบแต่ละระดับความเร็วจะทำซ้ำ 5 ครั้ง เพื่อหาค่าเฉลี่ย และเมื่อทดสอบที่ความเร็วนั้นๆ สำเร็จ จะนำรถไปวิ่งวนรอบสนามทดสอบ 1 รอบ เพื่อลดความร้อนของระบบห้ามล้อ
กราฟแสดงการห้ามล้อเมื่อมีน้ำหนักบรรทุก
ยางเก่า 80 กม./ชม.
26.8 ยางเก่าพื้นแห้ง
27.6 ยางเก่าพื้นแห้ง+แบกน้ำหนัก
50.9 ยางเก่าพื้นเปียก
51.3 ยางเก่าพื้นเปียก+แบกน้ำหนัก
ยางใหม่ 80 กม./ชม.
28.1 ยางใหม่พื้นแห้ง
26.1 ยางใหม่พื้นแห้ง+แบกน้ำหนัก
44.5 ยางใหม่พื้นเปียก
39.0 ยางใหม่พื้นเปียก+แบกน้ำหนัก
จากการทดสอบที่พื้นแห้งในหัวข้อที่แล้ว จะเห็นได้ว่า ยางใหม่และยางเก่ามีผลใกล้เคียงกันแต่ที่น่าสังเกต คือ เมื่อเพิ่มน้ำหนักบรรทุก ยางใหม่ให้ระยะหยุดรถสั้นลง 2 เมตร แต่ยางเก่าให้ระยะหยุดไกลขึ้น 0.8 ม. ส่วนที่พื้นเปียก จากหัวข้อที่แล้วจะเห็นได้ว่า ยางใหม่และยางเก่ามีผลที่แตกต่างกัน โดยยางใหม่หยุดได้ดีกว่า คราวนี้เมื่อเพิ่มน้ำหนักบรรทุก ยางใหม่ให้ระยะหยุดสั้นลง 5.5 ม. และยางเก่าให้ระยะหยุดไกลขึ้น 0.4 ม. ผลทดสอบเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการทดสอบ โดยการเพิ่มน้ำหนักบรรทุกบนพื้นแห้ง
การเพิ่มน้ำหนักที่เบาะหลัง และที่เก็บสัมภาระรวม 295 กก. จึงมีนัยสำคัญต่อระยะหยุดรถกล่าวคือ ยางใหม่สามารถหยุดรถได้ดีขึ้น ส่วนยางเก่าหยุดรถได้แย่ลงเล็กน้อย ที่เป็นเช่นนี้น่าจะเกี่ยวกับเรื่องแรงเสียดทาน ซึ่งมีผลมาจากระบบห้ามล้อด้านหลังแม้จะเป็นแบบดุมแต่เมื่อมีน้ำหนักบรรทุกมากจึงใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพขึ้น ที่สำคัญยางใหม่ก็สามารถสนองตอบอย่างสอดคล้อง และส่งเสริมระบบห้ามล้อได้ ส่วนยางเก่า แม้ระบบห้ามล้อหลังจะสามารถใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพขึ้นแล้วก็ตาม แต่ยางเก่ากลับไม่สามารถสนองตอบได้อย่างสอดคล้องกับระบบห้ามล้อ
สำหรับหัวข้อนี้ จึงสรุปได้ว่า เมื่อบรรทุกน้ำหนักมาก ยางใหม่สามารถหยุดรถได้ในระยะทางที่สั้นกว่าการบรรทุกน้ำหนักน้อย แต่ยางเก่า หากบรรทุกน้ำหนักมาก กลับหยุดรถได้ในระยะทางที่ไกลกว่าการบรรทุกน้ำหนักน้อย
3. เสียงที่เกิดขึ้นจากยาง
ในหัวข้อนี้เราทดสอบใน 2 กรณี ได้แก่ ระดับเสียงภายในห้องโดยสาร และภายนอกห้องโดยสาร
ระดับเสียงภายในห้องโดยสาร
เราทดสอบโดยการใช้เครื่องวัดระดับเสียงระบบดิจิทอล แสดงหน่วยเป็นเดซิเบล วัดเสียงภายในห้องโดยสารที่ระดับใบหู โดยปิดระบบปรับอากาศ ในระดับความเร็ว 60/80/100/120 และ 140 กม./ชม. ที่พื้นถนนแห้งในบริเวณเดียวกัน ทั้งยางเก่า และใหม่ แต่ละระดับความเร็วจะทำซ้ำ 3 ครั้งเพื่อหาค่าเฉลี่ย
กราฟแสดงระดับเสียงภายในห้องโดยสาร (กราฟเส้น)
(กม./ชม./เดซิเบล)
ยางเก่า 60-56 80-61 100-64 120-69 140-73
ยางใหม่ 60-54 80-60 100-64 120-67 140-72
จากผลการทดสอบจะเห็นได้ว่า ยางใหม่มีระดับเสียงภายในห้องโดยสารต่ำกว่ายางเก่า พูดง่ายๆ ว่าเงียบกว่าในทุกระดับความเร็ว ยกเว้นในความเร็ว 100 กม./ชม. ที่มีระดับเสียง 64 เดซิเบลเท่ากันและถ้าวัดค่าเฉลี่ยในทุกระดับความเร็วออกมาแล้ว ยางใหม่จะเงียบกว่ายางเก่า 1.2 เดซิเบล
จึงสรุปได้ว่า เสียงที่เกิดขึ้นภายในห้องโดยสารของรถจากการใส่ยางใหม่ น้อยกว่าเสียงที่เกิดขึ้นภายในห้องโดยสารของรถที่ใส่ยางเก่า
ระดับเสียงภายนอกห้องโดยสาร
กราฟแสดงระดับเสียงภายนอกห้องโดยสาร
100 กม./ชม.
83 ยางเก่า
79 ยางใหม่
เราทดสอบโดยการใช้เครื่องวัดระดับเสียงระบบดิจิทอล แสดงหน่วยเป็นเดซิเบล วัดเสียงเมื่อรถวิ่งผ่านที่ระดับ ความสูงระดับกึ่งกลางวงล้อ โดยวัดเสียงห่างจากรถ 2 ม. รถทดสอบจะปิดระบบปรับอากาศ และวิ่งในระดับความเร็ว 100 กม./ชม. ที่พื้นถนนแห้งบริเวณเดียวกันทั้งยางเก่าและใหม่ แต่ละระดับความเร็วจะทำซ้ำ 3 ครั้งเพื่อหาค่าเฉลี่ย
จากผลการทดสอบจะเห็นได้ว่า ยางใหม่มีระดับเสียง 79 เดซิเบล ซึ่งต่ำกว่ายางเก่าที่มีระดับเสียง 83 เดซิเบล มากกว่ากันถึง 4 เดซิเบล จึงสรุปได้ว่า ระดับเสียงภายนอกห้องโดยสารของยางใหม่เงียบกว่ายางเก่า
4. การบังคับควบคุม
เราทดสอบโดยนำรถไปวิ่งบนทางโค้งที่มีพื้นผิวแบบพิเศษ เมื่อฉีดน้ำจะลื่นมากกว่าปกติเพื่อไม่ต้องทดสอบด้วยความเร็วสูงซึ่งอันตรายมาก โดยใช้ 4 ระดับความเร็ว คือ 40/42.5/45 และ 50 กม./ชม. แต่ละความเร็วจะทดสอบซ้ำ 5 ครั้ง แล้วจับความรู้สึก
ยางใหม่ ความเร็วคงที่ 40 กม./ชม. แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพการยึดเกาะถนนที่ดีอย่างเห็นได้ชัด พวงมาลัยอยู่ในตำแหน่งที่ควบคุมง่าย ตัวรถไม่ออกอาการอันเดอร์ และโอเวอร์สเตียร์ให้รู้สึก การเดินคันเร่งสัมพันธ์กับการควบคุมพวงมาลัย การเกาะเข้าโค้งทำได้อย่างแม่นยำ
ความเร็วคงที่ 42.5 กม./ชม. การเกาะถนนอยู่ในเกณฑ์ดี พวงมาลัยยังอยู่ในตำแหน่งที่ควบคุมง่าย แต่ความเร็วนี้ผู้ขับสามารถรับรู้ได้ถึงอาการอันเดอร์สเตียร์ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนักตัวรถยังอยู่ในสภาพที่สามารถควบคุมได้ การเกาะโค้งเริ่มกว้างขึ้นไม่แม่นยำเหมือนที่ความเร็ว 40.0 กม./ชม.
ความเร็วคงที่ 45.0 กม./ชม. ยางใหม่เริ่มออกอาการอันเดอร์สเตียร์ ต้องอาศัยการควบคุมพวงลัยช่วยเพื่อให้เข้าโค้งต่อไปได้ การเกาะโค้งเริ่มกว้างขึ้นมาก แต่ก็ยังพอนำรถเข้าโค้งได้พวงมาลัยตอบสนองได้ไม่เต็มที่
ความเร็วคงที่ 50.0 กม./ชม. ยางใหม่ไม่สามารถยึดเกาะถนนได้ดีเลย พวงมาลัยไม่ตอบสนองการควบคุม รถขณะเข้าโค้งไม่สามารถทำได้ ตัวรถหลุดออกจากโค้งตามแรงเหวี่ยงขณะเริ่มเข้าโค้งเพียงไม่กี่เมตรเท่านั้น
ส่วนยางเก่า ความเร็วคงที่ 40.0 กม./ชม. เริ่มแสดงอาการอันเดอร์สเตียร์ให้รู้สึก แต่ยังสามารถควบคุมรถได้ การเกาะเข้าโค้งเริ่มกว้าง จากเลนในสุด บานออกไปเลนกลางพวงมาลัยตอบสนองได้ไม่แม่นยำเท่าที่ควร
ความเร็วคงที่ 42.5 กม./ชม. แสดงออกถึงอาการอันเดอร์ และโอเวอร์สเตียร์ (โดยแถออกนอกโค้งพร้อมกันทั้ง 4 ล้อ) อย่างเห็นได้ชัด การควบคุมรถทำได้ยาก พวงมาลัยตอบสนองเพียงเล็กน้อย การเกาะโค้งกว้างมากจนไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในเลนส์ได้ ทั้งนี้ผู้ขับต้องอาศัยประสบการณ์การควบคุมรถอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้ตัวรถหลุดออกจากการควบคุม
ความเร็วคงที่ 45.0 กม./ชม. ยางเก่าไม่สามารถเข้าโค้งได้ดี ตัวรถลื่นแฉลบไปตามความเร็วพวงมาลัยไม่สามารถตอบสนองได้ ซึ่งทั้งหมดแม้ผู้ขับจะใช้ประสบการณ์ควบคุมรถอย่างเต็มที่ก็ไม่สามารถนำรถเข้าโค้งได้เลย ที่ความเร็วคงที่ 50.0 กม./ชม. เราจึงไม่ทดสอบเพราะอาจเกิดอันตราย
จากการจับความรู้สึกข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า รถที่ใส่ยางใหม่มีประสิทธิภาพในการบังคับควบคุมดีกว่ายางเก่า
5. ความสั่นสะเทือน
เราทดสอบโดยการนำรถไปวิ่งบนทางขรุขระในสนามทดสอบ โดยใช้ความเร็วในการทดสอบ 60/80 และ 100 กม./ชม. แต่ละความเร็วจะทดสอบซ้ำ 5 ครั้ง แล้วจับความรู้สึก
ยางใหม่ ความเร็วคงที่ 60 กม./ชม. สามารถดูดซับแรงสั่นสะเทือนได้ดี ตัวรถไม่แสดงอาการแฉลบ หรือร่อนเมื่อต้องเปลี่ยนเลนในสภาพถนนต่างระดับ สามารถควบคุมพวงมาลัยได้อย่างง่ายดาย
ความเร็วคงที่ 80 กม./ชม. ประสิทธิภาพการดูดซับแรงสั่นสะเทือนยังดีเช่นเดิมมีบ้างที่ผู้ขับรับรู้ถึงแรงสะเทือนที่ถ่ายทอดมายังพวงมาลัย แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ตัวรถไม่แสดงอาการแฉลบ หรือร่อนในสภาพถนนต่างระดับ
ความเร็วคงที่ 100 กม./ชม. ยางใหม่เริ่มแสดงอาการสั่นสะเทือนจนรับรู้ได้ พวงมาลัยเริ่มดึงซ้าย/ขวาตามสภาพถนน อาการแฉลบ และร่อน เริ่มแสดงให้เห็นอย่างต่อเนื่องผู้ขับต้องออกแรงควบคุมเพื่อไม่ให้ตัวรถเสียอาการ
ส่วนยางเก่า ความเร็วคงที่ 60 กม./ชม. แสดงอาการสั่นสะเทือนให้รับรู้ได้ทันทีการดูดซับแรงสั่นสะเทือนทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร อาการแฉลบ และร่อน มีให้เห็นบ้าง
ความเร็วคงที่ 80 กม./ชม. ยางเก่าแสดงอาการสั่นสะเทือนมากขึ้น การดูดซับแรงสั่นสะเทือนทำได้ไม่ดี พวงมาลัยสะท้านมาถึงมือผู้ขับ ผู้ขับต้องออกแรงบังคับพวงมาลัยเพื่อให้รถไม่เสียอาการ
ความเร็วคงที่ 100 กม./ชม. ยางเก่าส่งผ่านแรงสั่นสะเทือนมายังภายในห้องโดยสาร เสียงดังฟังชัด พวงมาลัยบังคับควบคุมยาก อาการแฉลบ และร่อนต้องลุ้นตลอดช่วงทดสอบ ผู้ขับต้องออกแรงบังคับควบคุมรถอย่างมาก เพื่อไม่ให้รถเสียอาการ
จึงสามารถสรุปได้ว่า รถที่ใส่ยางเก่า สั่นสะเทือนมากกว่ารถที่ใส่ยางใหม่
ตกลงฝนนี้ ต้องเปลี่ยนยางไหม ?
การจะเปลี่ยนยางเส้นใหม่ เราแนะนำคุณว่า ต้องพิจารณาว่ายางของคุณเก่า หรือไม่สมควรจะใช้แล้วจริงๆ กล่าวย้ำอีกครั้ง คือ ข้อแรก ดอกยางมีความลึกน้อยกว่า 3 มม. ข้อต่อมา ยางมีอายุเกิน 6 ปี นับจากวันผลิต ข้อสุดท้าย โครงสร้างยางชำรุดเสียหาย เสี่ยงต่ออุบัติเหตุจากการแตกระเบิด
จากการที่เรานำยางเก่าที่สมควรเปลี่ยนตามเกณฑ์ที่ว่าไว้ในข้างต้นมาทดสอบ ได้ผลสรุปออกมาชัดเจนว่า ประสิทธิภาพของยางเก่า ลดลงจากยางใหม่ ใน 5 หัวข้อด้วยกัน
การห้ามล้อที่พื้นแห้ง แม้ยางเก่าและยางใหม่จะหยุดได้ใกล้เคียงกัน (เราคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเทคโนโลยีของยาง) แต่ที่พื้นเปียก ซึ่งหน้าฝนเราจะต้องเผชิญเป็นประจำยางใหม่หยุดรถได้ดีกว่ายางเก่ามาก ยิ่งในความเร็วสูงระดับ 100 กม./ชม. มีความแตกต่างกันถึง 25.9 ม.
การห้ามล้อเมื่อมีน้ำหนักบรรทุกมาก ผลการทดสอบฟ้องว่า การบรรทุกคน และสิ่งของน้ำหนักมาก (ซึ่งเราจำลองมาจากการขับรถช่วงวันหยุดเทศกาล ที่จะต้องพาเพื่อนหรือญาติ พร้อมทั้งสัมภาระอันหนักอึ้งไปด้วย) ทั้งพื้นเปียก และพื้นแห้ง จะส่งผลให้รถที่ใช้ยางเก่ามีประสิทธิภาพการห้ามล้อที่แย่ลง แต่ยางใหม่จะมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
ระดับเสียง ยางเก่ามีระดับเสียงที่ดังกว่ายางใหม่ในทุกกรณี ทั้งเสียงภายในห้องโดยสารที่คุณจะต้องทนรำคาญไปตลอดทาง และเสียงภายนอกห้องโดยสารที่ดังกว่าเช่นกันซึ่งในข้อหลังนี้อาจไม่ค่อยส่งผลกระทบกับตัวเจ้าของรถสักเท่าไร แต่ถ้าคุณเป็นคนที่ห่วงใยคนอื่นมาก ก็อาจนับเป็นเหตุผลได้
การบังคับควบคุม เมื่อนำรถวิ่งที่ถนนเปียกลื่น ยางเก่า มีประสิทธิภาพลดลง ผู้ทดสอบควบคุมรถไปในทิศทางที่ต้องการได้ยากกว่า โดยรถจะออกอาการอันเดอร์สเตียร์ (UNDER STEER) หรือการเลี้ยวไม่เข้า หน้าแถออกจากโค้ง (เนื่องจากรถทดสอบขับเคลื่อนล้อหน้า) ได้ง่ายกว่า
ความสั่นสะเทือน ยางเก่าส่งผลด้านความสั่นสะเทือนมากกว่ายางใหม่ เนื่องจากเนื้อยางที่แข็งกว่ายางใหม่ ทำให้การซับแรงสั่นสะเทือนมีประสิทธิภาพลดลง
5 หัวข้อที่เราทดสอบ เราอยากให้เป็น 5 เหตุผลสำคัญในการพิจารณาการเปลี่ยนยางเส้นใหม่ของคุณ เราสรุปได้จากข้อเท็จจริงของข้อมูลที่ทดสอบว่า ยางเก่ามีระยะการห้ามล้อที่ถนนลื่นมากกว่ายางใหม่ 6 คันรถ ยางเก่าบรรทุกน้ำหนักมากแล้วหยุดยากขึ้น ยางเก่าขับขี่แล้วเกิดเสียงดังมากขึ้น ยางเก่าเลี้ยวโค้งที่ถนนเปียกลื่นมีอัตราเสี่ยงในการหลุดโค้งตกถนนได้ง่ายกว่า และรถที่ใส่ยางเก่านั่งแล้วสั่นสะเทือนกว่ารถที่ใส่ยางใหม่
เราไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ถ้าบริษัทขายยางจะรวยขึ้น หรือจนลง และเราไม่อาจตัดสินใจแทนคุณได้ แต่ถึงตรงนี้ เราเคารพมันสมองของคุณ เพราะคุณสามารถตัดสินใจได้แล้วว่า ถ้าบังเอิญคุณยังใช้ยางเก่าเกินเกณฑ์อยู่ คุณจะ "เปลี่ยน"หรือ "ไม่เปลี่ยน" ยางเส้นใหม่ เมื่อพิจารณาจากข้อมูล และข้อสรุปจากการทดสอบของเรา
เรื่องโดย : กองบรรณาธิการ
ภาพโดย : ราชวัตร แสงจันทรา
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2550
คอลัมน์ Online : พิเศษ(formula)
ลิงค์สำหรับแชร์ : https://autoinfo.co.th/article/53228
BMW
ผู้ผลิตยานยนต์
บมจ.ยนตรกิจบาวาเรีย หรือ BMW เป็นบริษัทผลิตยานยนต์ของประเทศเยอรมนี บริษัทก่อตั้งในปีค.ศ. 1916 เมื่อแรกก่อตั้งเป็นบริษัทผลิตเครื่องยนต์อากาศยานสำหรับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
Gallery (10)
Promotions
Lorem ipsum dolor sit amet, consetetur sadipscing elitr, sed diam nonumy eirmod tempor invidunt ut labore et dolore magna aliquyam erat, sed diam voluptua. At vero eos et accusam et justo duo dolores et ea.
รุ่นรถเพิ่มเติม
Lorem ipsum dolor sit amet, consetetur sadipscing elitr, sed diam nonumy eirmod tempor invidunt ut labore et dolore magna aliquyam erat, sed diam voluptua. At vero eos et accusam et justo duo dolores et ea.
VDO
Lorem ipsum dolor sit amet, consetetur sadipscing elitr, sed diam nonumy eirmod tempor invidunt ut labore et dolore magna aliquyam erat, sed diam voluptua. At vero eos et accusam et justo duo dolores et ea.