รู้ลึกเรื่องรถ
นั่งผิดมีสิทธิ์ป่วย
คนที่ใช้รถในเมืองหลวงอย่างผม ถึงจะใช้รถส่วนตัวเป็นประจำ แต่ก็มีบางโอกาส ที่การเสียค่าโดยสารรถแทกซีคุ้มค่ากว่าเมื่อเทียบกับค่าน้ำมันของรถส่วนตัว บวกกับความเครียดขณะขับ แล้วยังแถมความเครียดจากการหาที่จอด และบางครั้งอาจต้องเสียค่าจอดแถมอีกด้วย ปีหนึ่งๆ ผมจึงใช้บริการรถแทกซีหลายครั้งเหมือนกัน ถ้าไม่โชคร้ายเพราะหาคันที่ว่างยาก แล้วต้องขึ้นคันที่โกโรโกโสแล้วละก็ สภาพรถแทกซียุคนี้ดีพอสมควรครับ มารยาทของคนขับใช้ได้เป็นส่วนใหญ่ ความปลอดภัยก็พอไหว แม้เทคนิคการขับจะยังไม่ถูกต้อง เพราะไม่มีโอกาสได้เรียนวิธีขับที่ถูกต้องมาเลย
แต่สิ่งที่สะดุดตาผมเป็นพิเศษอย่างหนึ่งก็คือท่านั่งขับของคนขับรถแทกซีเหล่านี้ ดีกว่าท่านั่งขับของคนที่ขับรถส่วนตัว จากการสังเกตมาแรมปีของผม ผมพยายามคิดหาสาเหตุอยู่นานพอสมควร ก็ได้คำตอบสำหรับตัวเองอย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งที่จริงแล้วก็ต้องยอมรับว่าเป็นการคาดเดาหรือทึกทักเอาเอง เพราะไม่ได้มีงานวิจัยหรือหลักฐานทางวิชาการมารองรับ
ผมเชื่อว่าการที่คนขับรถแทกซี มีท่านั่งที่ผิดน้อยกว่าพวกเรา ซึ่งขับรถส่วนตัวกันนั้นน่าจะมีสาเหตุมาจากประสบการณ์โดยตรงของพวกเขาจากการที่ต้องนั่งขับเป็นเวลานานหลายชั่วโมงติดต่อกัน ว่าหากนั่ง "ผิดท่า" จะทำให้ปวดเมื่อยในเวลาอันสั้น หรือไม่ก็ถึงขั้นป่วยไปเลย คงมีการทดลองท่าต่างๆ จนพบท่าที่ขับได้นานโดยไม่มีอาการเจ็บปวดหรือเมื่อยล้าผิดปกติท่านั่งขับรถที่ค่อนข้างถูกต้องหรือผิดน้อยนั้น แค่มองสักหนึ่งถึงสองวินาทีก็ตัดสินได้แล้วครับคือขาท่อนบนกับท่อนล่างทำมุมกันมากกว่าหนึ่งมุมฉากเล็กน้อย ลำตัวเอนไปด้านหลังเล็กน้อย และลำตัวอยู่ไม่ห่างจากพวงมาลัยเกินไป เมื่อจับพวงมาลัยขณะขับทางตรง โดยมือซ้ายจับที่เลขเก้าหรือสิบ มือขวาจับที่เลขสามหรือสองแล้ว (เมื่อเปรียบเทียบวงพวงมาลัยกับหน้าปัดนาฬิกา) แขนยังไม่เหยียดสุด นี่คือภาพคร่าวๆ นะครับ ไม่ใช่ท่าที่ถูกต้องที่สุด
คนขับแทกซีรายสุดท้ายที่ขับให้ผมนั่ง คือต้นเหตุที่ทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่า น่าจะเขียนเน้นเรื่องนี้อีกครั้ง รายนี้ยังหนุ่มอายุราวยี่สิบห้า รูปร่างล่ำบึก อาจจะชอบเพาะกายเป็นงานอดิเรก ท่านั่งขับของเขาสะดุดตาผมทันทีที่ขึ้นไปนั่ง พนักพิงทำมุมประมาณสี่สิบห้าองศากับแนวราบ หัวของนักขับรายนี้จึงอยู่ต่ำมาก มองดูเหมือนท่าคนกำลังลุกจากที่นอน แต่หัวของเขาต้องตั้งฉากกับแนวราบ เพื่อจะได้มองเห็นทางและ "ขับได้" ลำตัวกับส่วนหัวจึงทำมุมกันแบบที่ว่า แค่มองดูก็เมื่อยแทนแล้ว
ผมคิดว่าคนทั่วไปไม่น่าจะอยู่ในท่านี้ได้เกินสิบนาทีโดยไม่เมื่อยจนสุดทน แต่รายนี้กล้ามคอใหญ่จนลำคอเกือบเท่าส่วนหัว เลยมีความสามารถพิเศษ ผมมองไปที่มือและแขน แค่จับพวงมาลัยที่ตำแหน่งเก้านาฬิกาสิบห้านาที แขนก็เกือบตรงแล้ว ไม่มีทางที่จะจับพวงมาลัยส่วนบนสุดได้ถึง โดยไม่เผยอตัวขึ้นมา ถ้าเอนพนักพิงขนาดนี้ แล้วยังจับพวงมาลัยถึง แสดงว่าต้องเลื่อนเก้าอี้ไปด้านหน้ามากทีเดียว ผมชำเลืองดูส่วนขา เห็นเข่าของเขาห่างจากส่วนล่างของแผงหน้าปัดแค่เอานิ้วมือสอดได้เท่านั้น เป็นท่าขับรถที่วิปริตเอาการ อยากถามเหมือนกันครับว่า นั่งขับท่านี้ได้นานแค่ไหน และรู้สึกอย่างไรบ้าง แต่ผมไม่ชอบก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของใคร ก็เลยไม่ได้คำตอบ
มาปรับท่านั่งที่ถูกต้องของเรากันดีกว่า เริ่มต้นที่เบาะรองนั่ง ถ้าปรับได้ ให้เน้นระดับสูงไว้ก่อนครับมากน้อยแค่ไหนต้องรอตอนปรับพนักพิง ถ้าเบาะรองนั่งปรับความสูงไม่ได้ ก็ปรับระยะเพียงอย่างเดียว ระยะที่ถูกต้อง คือระยะที่เหยียบแป้นคลัทช์จนยันพื้นแล้ว ขาซ้ายของเราเหยียดเกือบสุดแต่ก็ต้องดูด้วยว่าขาขวาของเราเหยียบคันเร่งเป็นเวลานานได้สบายหรือไม่ แล้วยกเท้าจากคันเร่งมาเหยียบแป้นเบรคได้ถนัดและ "ได้แรง" หรือเปล่า ถ้าเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ ก็เน้นเฉพาะขาขวาอย่างที่ว่านี่แหละครับ หากเป็นรถราคาสูงหน่อยเราสามารถกระดกเบาะรองนั่งได้อีก คือเลือกให้ส่วนหน้าเชิดขึ้นได้ด้วย
เน้นความสะดวกสบายเป็นหลักครับ คือให้ส่วนหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย ถ้าไม่แน่ใจ เพราะไม่มีตำแหน่งมาตรฐาน มองดูของรถอื่นรุ่นที่กระดกเบาะนั่งไม่ได้เป็นตัวอย่างก็ได้ ข้อสำคัญคืออย่าให้ส่วนหน้าสูงเกินไป เพราะจะทำให้ต้องเอนพนักพิงมากตาม ถ้าส่วนหน้าสูงเกิน จะค้ำทำให้เหยียบแป้นได้ไม่ถนัด แล้วแรงกดใต้ขาพับจะทำให้เลือดไหลเวียนได้ลำบากด้วย ถ้าเป็นรถราคาค่อนข้างสูง (อีกแล้ว) จะมีที่ปรับความยาวของเบาะรองนั่งด้วย อย่าปรับให้ยื่นมาจนใกล้ขาพับนะครับ ควรมีความห่างระหว่างขอบเบาะรองนั่งจนถึงขาพับ ขนาดที่เอานิ้วมือสามนิ้วสอดได้
ขั้นต่อไปคือพนักพิง ถ้าเบาะรองนั่งถูกต้อง คือไม่เชิดหน้าเกินไป พนักพิงที่อยู่ในตำแหน่งเหมาะสม ก็จะเอนไปด้านหลังไม่มาก พอเรานั่งสะโพกยันพนักพิงสนิทดีแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากมองจากด้านข้างจะเห็นท่อนขาส่วนบน ทำมุมกับลำตัวประมาณเก้าสิบองศาหรือหนึ่งมุมฉากพอรู้สึกว่านั่งสบาย ให้ความรู้สึกว่านั่งในท่านี้นานๆ ก็คงไม่เมื่อยแล้ว ถ้ารถของเราปรับระดับสูงต่ำของพวงมาลัยได้เลือกให้พวงมาลัยอยู่สูงไว้ก่อนครับ แต่ก็ต้องไม่บดบังส่วนสำคัญของมาตรวัดต่างๆ
คราวนี้ถึงขั้นตอนสำคัญที่ผิดกันมากที่สุด นั่นคือระยะระหว่างลำตัวกับพวงมาลัยระยะที่ถูกต้องคือระยะที่กำส่วนบนสุดของพวงมาลัย โดยที่ลำตัวยังพิงพนักพิงสนิทแล้วแขนของเราเกือบเหยียดสุด แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเกือบเหยียดสุดน่ะมันแค่ไหน ? มีวิธีง่ายๆ ครับ ระยะที่ถูกต้องคือเมื่อพิงพนักพิง (ห้ามชะโงก) แล้ว เหยียดแขนข้างหนึ่งไปวางบนส่วนของพวงมาลัย ตรงข้อมือ (ตรงข้อจริงๆ) ที่งอได้นะครับ ไม่ใช่ส่วนที่เราคาดสายนาฬิกา จะอยู่บนวงพวงมาลัยพอดี เพราะฉะนั้นพอเราเปลี่ยนเป็นกำส่วนนี้แขนก็จะหย่อนเล็กน้อย ทำไมต้องใช้ระยะนี้ ? ถ้าเลือกระยะนี้ถูกต้องหมายความว่า เราสามารถจับวงพวงมาลัยได้ทุกส่วนโดยไม่ต้องชะโงกตัวมาข้างหน้า หรือห่อไหล่เพื่อให้จับส่วนบนถึง บางคนอาจจะแย้งว่าตั้งระยะไกลกว่านี้มาเป็นสิบปีแล้ว ไม่เห็นเป็นอะไร
ไม่แปลกครับ ถ้ายังไม่เคยเจอสิ่งที่ดีกว่า เราก็จะไม่รู้หรอกครับ ว่าที่มีอยู่หรือใช้อยู่นั้นมันแย่กว่าหรืออย่างน้อยก็ไม่ดีพอหรือไม่ได้ดีที่สุด การหมุนพวงมาลัยให้เบาแรงและรวดเร็วปลอดภัยต้องใช้การยืดหรืองอข้อศอกเป็นหลักในการออกแรงครับ ใช้ข้อมือกับกล้ามเนื้อที่หัวไหล่เป็นส่วนประกอบ ถ้าต้องเหยียดแขนจนสุดพร้อมกับชะโงก แม้จะจับพวงมาลัยถึง ก็หมายความว่าเราใช้กล้ามเนื้อที่หัวไหล่ได้อย่างเดียว ซึ่งแม้จะมีระบบผ่อนแรงก็ยังหนักเกินไป
เนื่องจากแนวแรงมันผิดหลักกลศาสตร์ครับ ท่านั่งบัดซบแบบที่เอนพนักพิงระดับครึ่งนั่งครึ่งนอนจนจับวงพวงมาลัยด้านบนไม่ถึง ถ้าไม่เผยอตัวจากพนักพิง เป็นท่าที่อันตรายอย่างมาก และผมไม่เข้าใจว่า พวกวัยรุ่นและเลยวัยรุ่นที่ชอบขับรถทั้งเครื่องแรงและไม่แรงจริง นิยมใช้ท่านี้กันได้อย่างไร เพราะไม่มีรถแข่งประเภทไหนเลยในโลกนี้ ที่คนขับใช้ท่าไล่ตั้งแต่ ฟอร์มูลา วันหรือสูตรหนึ่ง หรือสูตรอื่นประเภทเดียวกันรองลงมา แนสคาร์ แรลลีทุกประเภท ดีทีเอม ควอร์เตอร์ไมล์ ดริฟท์ หรืออะไรอื่นอีกก็ตาม ผู้ขับล้วนเลือกระยะพวงมาลัยใกล้ตัวพอดีทั้งนั้น และพนักพิงก็ค่อนข้างตั้ง
มีพิเศษอยู่บ้างในรถสูตรหนึ่งและบางประเภทที่เน้นความเพรียวลม จึงให้นักขับนั่งในท่าที่ลำตัวค่อนข้างเอนไปด้านหลัง แต่เบาะรองนั่งของเขาก็กระดกเชิดหน้าขึ้นรับครับ ไม่ใช่เบาะราบแบบรถเก๋งแล้วเอนแต่พนักพิงอย่างเดียว เหมือนคนขับที่ต้องขยับตัวขึ้นมาทุกๆ ห้านาที เพราะมันต้องไถลลงไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว
และที่สำคัญที่สุด พวงมาลัยของเขาอยู่ใกล้ตัวครับ ผมพยายามหาสาเหตุของความนิยมท่านั่งขับที่อันตรายแบบนี้ของคนไทยมานานแล้ว เชื่อว่าน่าจะมาจากการเอาอย่างได้ไม่ครบ เอาอย่างแบบผิวเผิน แม้จะมองด้วยตาได้ ก็ไม่คิดจะมองให้ดี คงมองเห็นภาพท่านั่งของนักขับรถสูตรต่างๆ ที่หาดูง่ายกว่าแบบอื่น โดยเฉพาะรถสูตรหนึ่ง โดยไม่สังเกตเลยว่าถึงจะเอนลำตัวแต่พวงมาลัยของเขาอยู่ใกล้ตัวในระยะที่เหมาะสม คอยมองดูในรายการของยูบีซีก็ได้ครับว่าเวลาจับพวงมาลัย แขนของเขายังงออยู่ในท่าสบาย สามารถหมุนพวงมาลัยครึ่งรอบ โดยให้แขนไขว้กันได้เลย
นี่คือตัวอย่างของการหลับหูหลับตาเอาอย่าง และกำลังระบาดไปทั่วประเทศที่หัดขับรถกันตามสะดวก และเอาอย่างกันได้ทันทีโดยไม่ต้องหาเหตุผล ผมเชื่อว่าผู้ที่ใช้ท่านั่งแบบนี้จำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถคว้าพวงมาลัยได้ถึง ในยามฉุกเฉินหรือขณะขับรถที่กำลังเสียการทรงตัวประสบอุบัติเหตุถึงตาย หรือไม่ก็ทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงตายไปด้วยมามากแล้ว
(อ่านต่อฉบับหน้า)
ABOUT THE AUTHOR
เ
เจษฎา ตัณฑเศรษฐี
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2548
คอลัมน์ Online : รู้ลึกเรื่องรถ