ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เส้นกราฟของยอดขายรถเพิ่มสูงชันขึ้นเรื่อยๆ จากสภาพเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ประชาชนเริ่มมีความมั่นใจในการใช้เงินมากขึ้น   ปี 2544 ยอดขายรถยนต์เลยเส้น 3 แสนคัน ส่วนปีที่ผ่านมาขายไปเกือบ 4 แสนคัน คาดกันว่าอีกไม่เกิน 2 ปี ยอดขายรถโดยรวมจะกลับมาอยู่ที่ 6 แสนคันเช่นเดียวกับยุคฟองสบู่   ส่วนในปีนี้คาดว่าตลาดรถยังคงร้อนระอุขึ้นไปอีก และคงจะเป็นปีของตลาดรถเล็กซึ่งมี โตโยตา วีออส และฮอนดา ซิที ใหม่ เป็นแกนนำ คาดว่าจะมีค่ายรถยนต์อื่นนำรถขนาดเล็กมาจำหน่ายเพิ่มขึ้นอีก และในช่วงต้นปีนี้ ฮอนดาจะเผยโฉม ฮอนดา แอคคอร์ด ใหม่ หลังจากที่ปล่อยให้โตโยตา แคมรี และ นิสสัน เซฟีโร ทำตลาดนำไปก่อน   ค่ายที่จะมีความคึกคักไม่เบาคือ เกีย ที่จะนำ เอมพีวี รุ่น คาร์นิวัล มาประกอบในประเทศ ทำให้ราคาลดลง จึงเป็นหอกข้างแคร่กับ เชฟโรเลต์ ซาฟีรา และ ฮอนดา สตรีม แถมยังได้เปรียบตรงที่มีขนาดตัวใหญ่กว่า นอกจากนี้ยังมี คาเรนส์ มีนี เอมพีวี ใช้เครื่องยนต์ดีเซล เทอร์โบเป็นอาวุธ ซึ่งทำยอดขายไม่เบาในงาน มอเตอร์ เอกซ์โป ที่ผ่านมา แถมท้ายด้วย โซเรนโต เข้ามาชิงตลาดรถเอสยูวี ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน และประกาศเป้าหมายในการจำหน่ายรถทุกรุ่นในปีนี้อยู่ที่ 10,000 คัน นับว่าไม่เบาทีเดียวสำหรับรถยนต์จากแดนโสม   ส่วนค่ายรถจากอิตาลี หลังจากที่ได้นำ อัลฟา โรเมโอ 156 เข้ามาปูทางระยะหนึ่งแล้ว คาดว่าปีนี้จะมีรถเก๋งจาก เฟียต ออกมาเปิดตัวอีกครั้ง ซึ่งห่างหายไปนานจากตลาดรถเมืองไทย ส่วนจะเป็นรุ่นใด คงต้องคอยดูกันต่อไป   ค่าย ซาบ ได้นำ 9-3 สปอร์ทซีดานรุ่นใหม่ล่าสุด ออกมาทำตลาดอย่างจริงจัง สังเกตได้จากภาพยนตร์โฆษณาทางโทรทัศน์ที่ยิงถี่ยิบ   ในปีนี้เราคงมีรถนำเข้ารุ่นใหม่จากค่ายต่างๆ มาเผยโฉมให้เห็นกันมากขึ้น โดยมีการแลกเปลี่ยนรถกันระหว่างแหล่งผลิตต่างๆ ซึ่งคิดอัตราภาษีนำเข้าอยู่ในระดับที่ต่ำมาก ตามข้อกำหนด ไอโค เช่นเดียวกับในปีที่ผ่านมาซึ่งมี ฟอร์ด เอสเคพ/มาซดา ทรีบิวท์/ฮอนดา สตรีม/ฟอร์ด เทียร์รา ฯลฯ ที่จะเข้ามาแข่งขันกับรถประกอบในประเทศซึ่งมีราคาใกล้เคียงกัน   ปี 2003 ยอดขายรถในบ้านเราคาดกันว่าจะอยู่ที่ 4.2-4.6 แสนคัน แถมบางสำนักคาดการณ์ไว้ถึงระดับเกือบ 5 แสนคัน ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ถ้าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจเอื้ออำนวยและผู้นำประเทศยักษ์ใหญ่ทั้งหลายเลิกจองล้างจองผลาญกันเสียที