เยอรมนี-รถเก๋งระดับหรูขนาดกะทัดรัด MERCEDES-BENZ C-CLASS (เมร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาสส์) รุ่นใหม่ เปิดตัวแล้วผ่านระบบออนไลน์เมื่อตอนบ่ายของวันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ 2021 ทั้งตัวถัง 4 ประตูซีดาน ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.24 และตัวถัง 5 ประตูตรวจการณ์ ซึ่งมีค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านอากาศ 0.27 ทั้ง 2 ตัวถังเริ่มเปิดรับการสั่งจองแล้วเมื่อวันอังคารที่ 30 มีนาคม 2021 แต่ต้องรอจนถึงฤดูร้อนจึงจะเริ่มออกโชว์รูมในเยอรมนีและอีกหลายประเทศในยุโรปนับเป็นรถรุ่นที่ 5 มีรหัสโรงงาน W206 และเป็นทายาทสายตรงของรถขนาดเล็กที่ครองตำแหน่งรถขายดีที่สุดของค่าย “ดาวสามแฉก” ติดต่อกันมานานกว่า 1 ทศวรรษ ทั้งตัวถังซีดาน และตัวถังตรวจการณ์ ซึ่งยาว และกว้างกว่ารถรุ่นเดิม เป็นผลงานรังสรรค์ของทีมงานซึ่งมี CHRISTIAN FRUH (คริสเตียน ฟรูห์) วิศวกรชาวเยอรมันเป็นผู้นำ หน้าตาและรูปทรงองค์เอวตัวถังเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นผลลัพธ์ของการออกแบบที่ค่อนข้างอนุรักษนิยม แม้ผู้ผลิตยืนยันว่าชิ้นส่วนตัวถัง และรายละเอียดต่างๆ ล้วนเปลี่ยนไปจากรุ่นเดิมทั้งหมด ส่วนภายในห้องโดยสารที่ดูหรูหรา และทันสมัยกว่ารถรุ่นเดิม ก็มีลักษณะการออกแบบในหลายจุดที่กล่าวได้ว่าได้รับอิทธิพลเป็นอย่างมากจากรถอนุกรมพี่ คือ MERCEDES-BENZ S-CLASS (เมร์เซเดส-เบนซ์ เอส-คลาสส์) รุ่นล่าสุด ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ แผงหน้าปัดอุปกรณ์ ในระยะแรกทั้ง 2 ตัวถังมีรถให้เลือก 7 โมเดล คือ MERCEDES-BENZ C 180 (เบนซิน 125 กิโลวัตต์/170 แรงม้า) MERCEDES-BENZ C 200/C 200 4MATIC (เบนซิน 150 กิโลวัตต์/204 แรงม้า) MERCEDES-BENZ C 300/C 300 4MATIC (เบนซิน 190 กิโลวัตต์/258 แรงม้า) MERCEDES-BENZ C 220 D (ดีเซล 147 กิโลวัตต์/200 แรงม้า) MERCEDES-BENZ C 300 D (ดีเซล 195 กิโลวัตต์/265 แรงม้า) เครื่องยนต์ทุกขนาดในรถที่กล่าวนี้เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทช์คู่ 9 จังหวะ และระบบ MILD-HYBRID หรือไฮบริดแบบอ่อน ที่ช่วยประหยัด เชื้อเพลิง และบูสต์กำลังเครื่องยนต์ในช่วงสั้นๆ ได้สูงสุด 15 กิโลวัตต์/20 แรงม้า ที่จะตามมาในระยะถัดไป คือ MERCEDES-BENZ C 300 E ซึ่งเป็นรถ PLUG-IN HYBRID (พลัก-อิน ไฮบริด) หรือไฮบริดชนิดต้องมีการเสียบปลั๊กเพื่อชาร์จไฟ ซึ่งใช้เครื่องยนต์เบนซิน 1,992 ซีซี ทำงานร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า 95 กิโล-วัตต์/129 แรงม้า และแบทเตอรี 25.4 กิโลวัตต์ชั่วโมง สามารถวิ่งด้วยพลังไฟฟ้าล้วนๆ ได้ไกลประมาณ 100 กม. เมื่อวัดตามมาตรฐาน WLTP