มาตรวัดตลาดรถ
ค่อยๆ ดีขึ้น
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์สะสม มกราคม-ธันวาคม 2020/2019
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ เดือนธันวาคม 2020/2019
ตลาดโดยรวม | -21.4 % |
รถยนต์นั่ง | -31.0 % |
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) | -2.2 % |
กระบะ 1 ตัน | -19.5 % |
รถเพื่อการพาณิชย์ และรถประเภทอื่นๆ | +12.3 % |
ตลาดโดยรวม | +16.6 % |
รถยนต์นั่ง | +16.4 % |
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) | +37.7 % |
กระบะ 1 ตัน | +14.4 % |
รถเพื่อการพาณิชย์ และรถประเภทอื่นๆ | +5.4 % |
ผ่านพ้นปี 2563 กันมาได้อย่างสะบักสะบอม ซึ่งไม่น่าเป็นห่วงเท่าไรนัก เพราะสถานการณ์เป็นไปทั้งโลก ไม่ใช่เฉพาะเพียงเราแต่ผู้เดียว ในแวดวงการผลิตรถยนต์บ้านเรา สามารถทำได้ 1,426,970 คัน น้อยกว่าปีที่แล้ว 29.14 % เช่นเดียวกับที่ขายในประเทศ ทำได้เพียง 792,146 คัน น้อยกว่าปีที่แล้ว 21.4 %เก็บเอาเรื่องที่ผ่านมาที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว พักไว้ก่อน แล้วมาคุยกันในเรื่องอนาคต ที่ดูจะมีแสงสว่างปลายอุโมงค์กันดีกว่า ในปี 2564 นี้ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ (MEGA PROJECTS) ของภาครัฐ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน ที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของภาคธุรกิจ/อุตสาหกรรม แผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งระยะเร่งด่วนฉบับล่าสุด พ.ศ. 2561 ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) มีมูลค่าการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานโดยรวมทั้งสิ้น 1.77 ล้านล้านบาท โดยการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมระบบรางหลายโครงการ มีกำหนดเริ่มก่อสร้างในช่วงปี 2564 ที่สำคัญ ได้แก่ โครงการรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงของ และสายบ้านไผ่-นครพนม โครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน รวมถึงรถ ไฟฟ้าสายสีส้มส่วนต่อขยาย จะเชื่อมต่อระบบขนส่งครอบคลุมพื้นที่สู่ภูมิภาคกว้างขวางขึ้น ขณะเดียวกันโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC: EASTERN ECONOMIC CORRIDORS) ยังเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์หลักที่การลงทุนขนาดใหญ่อีกหลายโครงการกำลังจะเริ่มก่อสร้าง ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูง เชื่อม 3 สนามบินช่วงสุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา โครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุดและแหลมฉบังระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา ด้วยมูลค่าลงทุนรวมประมาณกว่า 6.0 หมื่นล้านบาท ในปี 2564 (จากมูลค่ารวมกว่า 6.8 แสนล้านบาท ตลอดทั้งโครงการ) การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่ต้องเร่งตัวตามแผน จะหนุนโอกาสการเติบโตของธุรกิจ และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องให้ฟื้นตัวเร็วขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า โครงการต่างๆ ที่ว่ามานี้ จะช่วยหนุนให้ยอดการขายรถยนต์เพิ่มขึ้นได้บ้าง ไม่มากก็น้อย มาดูรายละเอียดกันบ้าง ว่านักเศรษฐศาสตร์ หรือบรรดานักวิเคราะห์การตลาดของบ้านเรา มีความเห็นอย่างไรกันบ้าง ต่อตลาดรถยนต์ในบ้านเรา โดยศูนย์วิจัยกสิกร ประเมินไว้ว่า การผลิตรถยนต์ของไทยในระยะ 3 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มขยายตัว 3.0-4.0 % จากปัจจัยดังนี้ ยอดขายในประเทศมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 3.0-4.0 % ตามภาวะเศรษฐกิจที่ทยอยฟื้นตัว โดยคาดว่าความต้องการรถเพื่อการพาณิชย์จะขยายตัวดี อานิสงส์จากการขยายตัวของภาคก่อสร้าง ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ และธุรกิจลอจิสติคส์ นอกจากนี้ ผู้ประกอบการมีแผนเปิดตัวรถรุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของยอดขายมีแนวโน้มจำกัด เนื่องจากกำลังซื้อผู้บริโภคคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตามทิศทางเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง และสถาบันการเงินยังคงเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อ ปริมาณส่งออกรถยนต์จะเติบโตเฉลี่ย 4.0-5.0 % ปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจโลกทยอยฟื้นตัว อีกทั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนช่วยหนุนการส่งออกในภูมิภาค ตลอดจนการจัดทำข้อตกลงยอมรับร่วม (MRA) ในภูมิภาคอาเซียน เกี่ยวกับผลตรวจสอบ และรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของยานยนต์และชิ้นส่วน จะช่วยลดขั้นตอนการถูกตรวจสอบซ้ำ อย่างไรก็ตาม ยังมีความไม่แน่นอนจากความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน รวมทั้งรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกมีนโยบายสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า อาจกระทบต่อการส่งออกรถยนต์ของไทย ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายใน นั่นคือประเด็นใหญ่ๆ ที่ภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ของบ้านเรา จะต้องพิจารณา และปรับตัวตามความต้องการของตลาดโลก ส่วนบรรดาผู้ผลิตชิ้นส่วนรายเล็กรายน้อย ก็ต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน และน่าจะมากกว่าผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่ที่มีอยู่ในปัจจุบัน ขออวยพรให้สามารถก้าวข้ามขีดจำกัดที่มีอยู่ และปรับตัวให้เท่าทันกับความต้องการของสภาวการณ์ของโลก เพื่อความอยู่รอดของบริษัท และพนักงานทุกคน ด้วยความจริงใจครับ
ABOUT THE AUTHOR
ม
มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มีนาคม ปี 2564
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ