แม้พิษของ COVID-19 จะทำให้ยอดขายรถบ้านเราปีนี้ตกต่ำกว่าปีก่อนไม่น้อยกว่า 30 % แต่ผมก็ยืนยันว่าไม่เห็นด้วย ถ้ารัฐจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลืออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยด้วยการสร้าง “ดีมานด์เทียม” เหมือนคราวที่ตลาดรถถูกโจมตีด้วย “มวลน้ำ” เมื่อเกือบสิบปีก่อนตอนแรกที่รัฐบอกว่า อยากจะกระตุ้นการซื้อขายรถใหม่ ด้วยวิธีให้ผู้ซื้อนำค่ารถ หรือเงินดาวน์ไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้ประจำปีนั้น ผมโอเคนะครับ เพราะมันก็คล้ายๆ กับการลดภาษีเงินได้ให้แก่ผู้จองที่พักเวลาไปท่องเที่ยว หรือซื้อสินค้า กินข้าวนอกบ้าน ฯลฯ เพื่อส่งเสริมการใช้จ่ายของผู้มีกำลังซื้อ ซึ่งเป็นมาตรการที่รัฐออกมาแทบทุกปีในระยะหลัง วิธีนี้ สนับสนุนการซื้อขายให้คึกคักขึ้น เนื่องจากผู้ซื้อจะได้ส่วนลดเล็กๆ น้อยๆ ผ่านกระบวนการคำนวณภาษีเงินได้ ซึ่งมีกลไกค่อนข้างเป็นระบบ เป็นธรรม และโปร่งใส ที่สำคัญ คือ ผลของมาตรการพิสูจน์แล้วว่า ไม่ทำให้เกิด “ดีมานด์เทียม” หรือความต้องการในตลาดที่เกินจริงแต่อย่างใด ฉะนั้น ถ้าจะนำมาตรการนี้มาใช้กับตลาดรถในช่วงวิกฤต ผมจึงไม่มีอะไรขัดข้อง แต่ดูเหมือนบางคนในรัฐบาลจะคิดว่ามันไม่ “แรง” พอ เลยเริ่มมีการพูดถึงแนวคิดที่ไม่ต่างจากนโยบาย “รถคันแรก” ที่เคยสร้างความปั่นป่วนให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยนานหลายปี ทบทวนให้อีกทีสำหรับคนขี้ลืม โครงการรถคันแรกเกิดขึ้นหลังวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 ซึ่งทำให้ยอดขายรถตกต่ำลงอย่างมาก เนื่องจากกำลังซื้อส่วนใหญ่ลอยหายไปกับสายน้ำ รัฐเลยผุดไอเดียให้ใครก็ตามที่ซื้อรถเป็นคันแรกในชีวิต ได้รับภาษีสรรพสามิตของรถคันนั้นคืน แต่ไม่เกิน 100,000 บาท โดยมีเงื่อนไขสำคัญ คือ ซื้อแล้วห้ามขายภายใน 5 ปี ผลของนโยบายนี้ ทำให้ตลาดรถช่วงนั้นขยาย และหดตัวอย่างไม่เป็นธรรมชาติ จากการแห่ซื้อของผู้ที่ไม่มีความจำเป็น และไม่มีความพร้อมอย่างแท้จริง ซึ่งต่อมาก็กลายเป็นปัญหาของผู้ประกอบการอย่างยาวนาน ทั้งด้านการผลิต และการขายที่ผิดแผนไปหมด จนเพิ่งจะลืมตาอ้าปากได้เมื่อ 2-3 ปีมานี้ ก่อนจะเจอ COVID-19 ถล่มอีกครั้ง ส่วนแนวคิดล่าสุดของรัฐบาลที่ทำให้ได้กลิ่น “รถคันแรก” ลอยมาเต็มๆ ก็คือ รัฐดำริจะรับซื้อรถเก่าอายุ 15 ปีขึ้นไปในราคา 100,000 บาท โดยผู้ขายต้องนำเงินที่ได้ไปซื้อรถใหม่ แม้จะไม่มีรายละเอียดให้พิจารณา และครม. ยังไม่เคาะออกมา แต่คาดว่า โครงการนี้คงต้องใช้งบประมาณมหาศาล เพราะนอกจากจะรับซื้อแล้ว รัฐยังมีภาระต้องนำรถที่ซื้อมาไปทำลายอย่างถูกวิธีอีกด้วย ไม่นับความปั่นป่วนในตลาดรถทั้งมือหนึ่ง และมือ-สอง ที่คง “เอาเรื่อง” ไม่แพ้คราวรถคันแรก ซึ่งเมื่อรวมกับภัยจาก COVID-19 ที่ไม่มีทีท่าว่าจะวางใจได้ในเร็ววัน ก็ขอเตือนด้วยภาษาวัยรุ่นไว้ ณ ที่นี้เลยว่า อย่าหาทำ !
บทความแนะนำ