มาตรวัดตลาดรถ
ฝุ่นจ๋า ทำยังไงดี
เปรียบเทียบยอดจำหน่ายรถยนต์ประจำเดือนมกราคม-มีนาคม 2019/2018
ตลาดโดยรวม | +11.1% |
รถยนต์นั่ง | +8.6 % |
รถกิจกรรมกลางแจ้ง (SUV) | +4.6 % |
รถอเนกประสงค์ (MPV) | +126.0 % |
กระบะขับเคลื่อน 2 ล้อ | +11.8 % |
กระบะขับเคลื่อน 4 ล้อ | +6.4 % |
อื่นๆ | +7.2 % |
ห้วงเวลาที่ผ่านมา ปัญหาเกี่ยวกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือบางทีก็เรียกว่า ฝุ่นจิ๋ว หรือชื่อเป็นทางการก็คือ ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เป็นปัญหาที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นข้อถกเถียงกันในหลากหลายวงการ บ้างก็ว่า รถยนต์นี่แหละที่เป็นตัวต้นเหตุ บ้างก็ว่า เป็นเพราะน้ำมันไม่บริสุทธิ์ บ้างละ หรือเกิดจากการเผาหญ้า ใบไม้ ทางภาคเหนือบ้างละแต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฟากทางด้านสมาคมผู้สื่อข่าวรถยนต์ ก็หยิบยกเอาขึ้นมาเป็นเสวนาวิชาการ ในหัวข้อ ยูโร 5/EV แก้ปมมลพิษ หรือจุดเปลี่ยนอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไขปัญหามลภาวะทางอากาศที่รุนแรงมากขึ้นทุกขณะ ซึ่งที่ผ่านมาภาครัฐก็พยายามหามาตรการแก้ไข รวมถึงการส่งเสริมการลงทุนรถที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า (EV) และการเตรียมปรับใช้มาตรฐานใหม่ของเครื่องยนต์สันดาปภายใน พักนี้ เรื่องของรถยนต์ไฟฟ้า คงได้ยินข่าวคราวกันหนาหูขึ้น เพราะมีค่ายรถยนต์หลายค่ายในบ้านเรานำเข้ามาจำหน่ายกันหลายยี่ห้อ แต่ประเด็นก็คือ ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้ จะเกิดล้านห้า ล้านหกไปมากมาย เรียกว่า เกินกว่าจะเอื้อมถึง แต่ก็ยังมีความพยายามที่จะพัฒนาเพื่อให้ได้รถยนต์ไฟฟ้าที่ราคาถูกลงในอนาคต ภาครัฐเองก็มีแนวคิดปรับมาตรฐานไอเสียสำหรับเครื่องยนต์สันดาปภายในให้เร็วขึ้น เป็นยูโร 5 ในปี 2564 และยูโร 6 ในปี 2565 พร้อมกับการผลักดันให้โรงกลั่น ผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 5 ออกมาป้อนตลาด ก่อนการบังคับใช้มาตรฐานใหม่สำหรับรถยนต์ เพราะเห็นว่าน้ำมันยูโร 5 จะช่วยลดมลพิษ และฝุ่นละอองได้ทันที แม้ว่าเครื่องยนต์จะยังคงเป็นมาตรฐานเดิมก็ตาม โดยเครื่องยนต์ยูโร 4 เมื่อเติมน้ำมันยูโร 5 จะลดฝุ่นละอองได้ 25 % และในอนาคตเมื่อเครื่องยนต์ได้มาตรฐานยูโร 5 เมื่อเติมน้ำมันยูโร 5 จะลดลงถึง 5 เท่า ด้านกระทรวงพลังงาน ก็แจ้งว่าปี 2564 จะมีน้ำมันยูโร 5 รองรับ 500 ล้านลิตร และครอบคลุมทั่วประเทศปี 2567 และจะพยายามส่งเสริมให้คนหันมาใช้ โดยแนวทางหนึ่ง คือ การพยายามทำราคาให้น่าสนใจ ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าอาจจะถูกกว่าน้ำมันทั่วไป แต่ในเวลาเดียวกัน การเปลี่ยนมาตรฐานดังกล่าว จะใช้เงินลงทุนพอสมควร เฉลี่ย 2.5-5 หมื่นบาท/คัน ขณะที่ต้นทุนจากยูโร 4 เป็นยูโร 5 ก็อยู่ในระดับเท่าๆ กัน ทั้งนี้ มองว่าหากรัฐต้องการแก้ปัญหาจริงๆ ควรมองให้รอบด้าน โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากรถเก่าซึ่งมีส่วนอย่างมาก หากไม่ได้รับการซ่อมบำรุงที่ถูกต้อง และหากเป็นรถที่มีอายุการใช้งานยาวนานมากการซ่อมบำรุงจะช่วยอะไรไม่ได้ ต้องโอเวอร์ฮอลเท่านั้น โดยด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานในผลการวิจัยว่า เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2562 กระทรวงพลังงานได้ประกาศมาตรการเพื่อลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 เพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้น้ำมันดีเซล มาตรฐานยูโร 5 ที่มีการปลดปล่อยสารประกอบกำมะถันให้เหลือเพียงไม่เกิน 10 PPM จากมาตรฐานยูโร 4 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ประเมินว่า หากผู้ประกอบการเปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม (น้ำมันมาตรฐานยูโร 5) แทนการใช้น้ำมันดีเซลธรรมดา (น้ำมันมาตรฐานยูโร 4) ภายใต้การอุดหนุนราคาน้ำมันในปัจจุบันจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่ง ทำให้ค่าใช้จ่ายน้ำมันรวมค่าซ่อมบำรุงที่คำนวณในรูปมูลค่าปัจจุบันมีค่าต่ำกว่าการใช้รถบรรทุกตามมาตรฐานยูโร 4 นอกจากนี้ ยังประเมินอีกว่า ค่าใช้จ่ายในการปรับสภาพรถจะเป็นภาระต้นทุนของผู้ประกอบการ ดังนั้นการเพิ่มแรงจูงใจอื่น เช่น การชดเชยค่าใช้จ่ายปรับสภาพรถ รวมทั้งการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลยูโร 5 เพิ่มเติม จะมีส่วนช่วยลดภาระของผู้ประกอบการ ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจปรับสภาพรถเพื่อเปลี่ยนมาใช้น้ำมันดีเซลยูโร 5 ได้อย่างมีประสิทธิผล ขณะเดียวกันภาครัฐก็น่าจะจูงใจให้ประชาชนปรับพฤติกรรมมาใช้น้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียมผ่านการอุดหนุนให้ราคาจำหน่ายน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม (น้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5) ซึ่งแพงกว่าน้ำมันดีเซลทั่วไปเพียงประมาณลิตรละ 3.50 บาท (อุดหนุนลิตรละ 1.00 บาท) รวมถึงการเร่งรัดให้ผู้ประกอบธุรกิจโรงกลั่นปรับปรุงคุณภาพน้ำมันดีเซลให้เป็นมาตรฐานยูโร 4 พลัสโดยลดค่ากำมะถันให้เหลือ 30 PPM ก่อนที่การปรับปรุงโรงกลั่นทั้งหมดจะแล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถผลิตน้ำมันดีเซล ยูโร 5 ได้อย่างสมบูรณ์ในประมาณปี 2566 นี่ก็เรื่องเดียวกับ ไก่เกิดก่อนไข่ หรือไข่เกิดก่อนไก่ละครับ ท่านผู้ชม ใครจะไปเติมน้ำมันดีเซลเกรดพรีเมียม ที่แพงกว่าน้ำมันดีเซลทั่วไป ลิตรละ 3.50 บาท ละครับ
ABOUT THE AUTHOR
ม
มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มิถุนายน ปี 2562
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ