มาตรวัดตลาดรถ
น่าจะดีนะ
ที่พาดหัวเอาไว้อย่างนี้ ไม่ใช่ว่าภาพรวมของประเทศเรา จะมีแนวโน้มที่ทำให้ซวนเซลงไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะเท่ากับว่าตอนนี้เราผ่านจุดต่ำสุดขึ้นมาแล้ว ถ้าเป็นเส้นกราฟก็คงต้องบอกว่า กำลังอยู่ในระยะพักตัว เพื่อเตรียมที่จะก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงเหตุที่ทำให้กล้าฟันธงแบบผู้รู้ ก็เพราะเหตุการณ์บ้านเมืองเรา หากเป็นทางด้านการเมือง ก็ต้องเรียกว่า สงบนิ่ง ไม่มีการเคลื่อนไหว ถ้าทางด้านเศรษฐกิจ ก็ต้องบอกว่า ไม่ว่าจะด้านไหน ถ้าเป็นการส่งออกก็กระเตื้องขึ้นเรื่อยๆ ตามแต่สภาวะเศรษฐกิจโลก ไม่ว่าจะสำนักไหน ต่างก็คาดการณ์กันว่าปีนี้ สภาพเศรษฐกิจของเราจะดีขึ้นแน่นอน หลังจากผ่านมาได้ 10 เดือน แค่ในเดือนตุลาคม ที่ผ่านมา การส่งออกรถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวสูงถึง 25.9 % โดยเฉพาะการส่งออกรถกระบะ รถบัส และรถบรรทุก ไปตลาดโอเชียเนียและกลุ่มประเทศ EU ที่ขยายตัวมากถึง 38.9 % และ 344.5 % ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวที่ต่อเนื่องของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ช่วยหนุนการลงทุนภายในประเทศ รวมถึงภาคลอจิสติคส์ให้กลับมาขยายตัวดี ประกอบกับมูลค่าส่งออกสินค้าไทยในเดือนตุลาคม เดือนเดียว อยู่ที่ 20,083 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว 13.1 % หนุนให้มูลค่าส่งออกไทยในช่วง 10 เดือนแรกของปีนี้ ขยับขึ้นมาอยู่ที่ 9.7 % ยังมีเรื่องการขยายตัวของการส่งออกสินค้าในหมวดยานยนต์ สินค้าอีเลคทรอนิคส์ รวมถึงสินค้าที่ราคาเกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้ การส่งออกสินค้าไทยในช่วง 2 เดือนสุดท้าย ของปีนี้ คาดว่า จะมีมูลค่าเฉลี่ยเกินกว่า 19,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบยังมีแนวโน้มที่จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงปลายปี บรรดาสำนักวิจัยหลายแห่ง ก็เลยปรับเพิ่มประมาณการมูลค่าส่งออกสินค้าไทยตลอดทั้งปี 2560 มาอยู่ที่ 9 % จากคาดการณ์เดิมที่ 7 % ตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจของไทย แค่เพียงไตรมาสที่ 3 ตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 3 ก็ขยายตัวดีกว่าที่คาด ส่วนในไตรมาสที่ 4 น่าจะยังรักษาระดับการเติบโตไว้ได้ อันจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2560 น่าจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 4.0 % และส่งผลให้ GDP ตลอดทั้งปี 2560 ขยับเข้าใกล้กรอบของการประมาณการในช่วง 3.5-4.0 % ดูตัวเลขชื่นใจกันไปพอเป็นสังเขป คราวนี้มาดูสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ซึ่งอาจส่งผลต่อห่วงโซ่การผลิตของไทยกันบ้าง ผลจากการเยือนเอเชียของท่านประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กับนานาประเทศ ที่เกิดเป็นความตกลงที่นักลงทุนญี่ปุ่นจะไปขยายฐานการผลิตในสหรัฐฯ เพื่อลดการส่งออกยานยนต์จากญี่ปุ่น มีผลต่อเนื่องมายังห่วงโซ่การผลิตของไทย จากที่ปัจจุบันไทยเป็นซัพพลายเออร์วัตถุดิบและชิ้นส่วนยานยนต์ เพื่อผลิตเป็นสินค้าสำเร็จรูปในญี่ปุ่น แล้วส่งออกไปยังสหรัฐฯ อาจมีการปรับเปลี่ยน เช่น ต้องส่งวัตถุดิบและชิ้นส่วนไปผลิตในสหรัฐฯ โดยตรง ซึ่งจะต้องเสียภาษีนำเข้า ทำให้สินค้าไทยอาจถูกทดแทนด้วยชิ้นส่วนจากแหล่งอื่นที่ต้นทุนต่ำกว่า ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า รถยนต์นั่งเป็นกลุ่มที่ญี่ปุ่นน่าจะเข้าไปเพิ่มการผลิตในสหรัฐฯ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีขนาดความจุ 1,000-1,500 ซีซี ตามมาด้วย 1,500-3,000 ซีซี เพราะสหรัฐฯ นำเข้ารถยนต์นั่งจากญี่ปุ่นในสัดส่วนสูงถึง 22 % ของการนำเข้ารถยนต์นั่งของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี การโยกย้ายฐานการผลิตคงต้องใช้เวลาและรอความชัดเจนจากนโยบายของสหรัฐฯ ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดได้โดยง่าย จึงยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ขอแถมด้วยเรื่องสุดท้าย เพราะตอนนี้ยังเป็นร่างอยู่ ยังไม่ได้ประกาศใช้เป็นกฎหมาย ว่าด้วยเรื่องของ "ธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์" ซึ่งหมายความว่า การประกอบกิจการค้าโดยเจ้าของ นำเอารถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ของตนออกให้บุคคลธรรมดาเช่า และให้คำมั่นว่าจะขายรถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ หรือว่าจะให้รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์นั้นตกเป็นสิทธิ์แก่ผู้เช่า โดยมีเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงิน เป็นจำนวนเท่านั้นเท่านี้ ที่อยากเก็บเอามาบอกหนนี้ก็คือ ในหัวข้อที่ (4) ในกรณีผู้เช่าซื้อผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อรายงวด 3 งวดติดๆ กัน และผู้ให้เช่าซื้อมีหนังสือบอกกล่าว ผู้เช่าซื้อให้ใช้เงินรายงวดที่ค้างชำระนั้นภายในเวลาอย่างน้อย 30 วันนับแต่วันที่ผู้เช่าซื้อได้รับหนังสือ และผู้เช่าซื้อละเลยเสียไม่ปฏิบัติตามหนังสือบอกกล่าวนั้น ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ บรรดาผู้ที่ยังผ่อนค่างวดอยู่ ลองขวนขวายไปหามาอ่านกันให้ละเอียด จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของบริษัทเงินทุนได้ในอนาคต รวมทั้งข้าพเจ้าเองด้วย ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ท่านทุกผู้ทุกนามเทอญ
ABOUT THE AUTHOR
ม
มือบ๊วย
นิตยสาร 399 ฉบับเดือน มกราคม ปี 2561
คอลัมน์ Online : มาตรวัดตลาดรถ