ยิ่งใกล้กำหนดเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ความเคลื่อนไหวในแวดวงอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ ของเราก็ยิ่งคึกคัก ยกเว้นอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งแต่เดิมคาดว่าจะ ขึ้นชั้น เป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคนี้ แต่กลับกลายเป็นว่า ยิ่งใกล้กำหนด ดูเหมือนเราจะยิ่งทำตัวเองให้ไม่พร้อมเรา ในที่นี้ผมหมายถึงภาครัฐ ที่ควรจะทำหน้าที่ส่งเสริม และสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ ให้แข็งแกร่งเพื่อรับบท ผู้นำ แห่งอาเซียน ทว่าที่ผ่านมา รัฐกลับทำให้อุตสาหกรรมของเราอ่อนแอลง ทั้งโดยทางตรง ด้วยโครงการประชานิยม รถคันแรก และโดยทางอ้อม ด้วยการทุจริตคอร์รัพชันและการดื้อแพ่ง รักษาการ จน กำลังซื้อ และ อารมณ์ซื้อ ของผู้บริโภคถดถอย ส่งผลให้ยอดขายรถยนต์ไตรมาสแรกของปีติดลบกว่า 40 เปอร์เซนต์ เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ จึงไม่แปลกที่เริ่มมีข่าวปล่อยออกมาว่า บรรดาผู้ผลิตรถยนต์ทั้งรายใหญ่ รายย่อย กำลังพิจารณา ย้ายฐาน การลงทุนไปที่อื่น ส่วนรายที่ยังจดๆ จ้องๆ ก็เริ่มมองหา ทำเล ใหม่ ที่สงบสันติเหมาะแก่การทำมาค้าขายมากกว่าเรา เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ในบ้านเราส่วนใหญ่เป็นของนักลงทุนชาวญี่ปุ่น เพราะฉะนั้น คนที่จะยืนยันข่าวนี้ได้ดีที่สุดก็คือผู้บริหาร สมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น หรือจามา (JAMA: JAPAN AUTOMOBILE MANUFACTURERS ASSOCIATION, INC.) นั่นเอง เมื่อเร็วๆ นี้ ผมมีโอกาสได้พบปะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บริหารของจามา ซึ่งนอกจากเรื่องโครงการขับประหยัดและปลอดภัยที่เขาอยากทำร่วมกับเราหลังจากประสบความสำเร็จในญี่ปุ่นมาแล้ว ผมก็ไม่พลาดที่จะถามคำถามสำคัญเกี่ยวกับข่าวที่ได้ยินมา คำถามแรก คือ ผู้ผลิตของญี่ปุ่นจะย้ายฐานจากไทยไปลงทุนที่อื่นหรือไม่ เรื่องนี้จามาบอกว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยยังแข็งแกร่ง ทั้งตัวอุตสาหกรรมโดยตรง และอุตสาหกรรมสนับสนุน ดังนั้น ผู้ผลิตที่อยู่มานาน ลงหลักปักฐานอย่างมั่นคง จะไม่ย้ายหนีไปไหนแน่นอน ส่วนนักลงทุนรายใหม่ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วน อาจชะลอการตัดสินใจลงทุนออกไปจนกว่าเหตุการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ ถามต่อว่า ประเทศไหนเป็นคู่แข่งด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ที่น่ากลัวของไทยในภูมิภาคนี้ เขาบอกว่า ไม่มี และไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นอินโดนีเซีย เพราะไทยกับอินโดนีเซีย มีศักยภาพที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน โดยไทยถนัดผลิตรถพิคอัพ และอีโคคาร์ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคภายในประเทศ ขณะที่อินโดนีเซียมีความสามารถด้านการผลิตรถ เอมพีวี ที่เหมาะกับผู้บริโภคของเขาอยู่แล้ว พูดง่ายๆ ไทยกับอินโดนีเซียเป็นเสือ 2 ตัวที่อยู่ในถ้ำเดียวกันได้อย่างสบาย ตรงกันข้าม จามาเตือนให้เราระวังนโยบาย THAILAND PLUS ONE ที่ผู้ผลิตหลายรายกำลังให้ความสนใจ ซึ่งหมายถึงการที่พวกเขายังคงเลือกประเทศไทยเป็นฐาน แต่อาจแบ่งเม็ดเงินลงทุนจากเราไปให้เพื่อนบ้านใกล้เคียงอย่าง ลาว เวียดนาม เขมร และเมียนมาร์ เพื่อเป็นกำลังสำรอง ซึ่งอาจกลายเป็นกำลังหลักในวันข้างหน้า ถ้าไทยยังทะเลาะกันไม่เลิกอยู่อย่างนี้ ฉะนั้น ถึงเราจะได้ครอบครอง สามีตีตรา ก็อย่าประมาท กิ๊ก ข้างบ้านเป็นอันขาด !
บทความแนะนำ