DIY...คุณทำเองได้
ไส้กรองอากาศรถยนต์
เครื่องยนต์จำเป็นต้องอาศัยอากาศในการจุดระเบิด เพื่อให้ได้กำลังออกมาใช้งาน แต่เครื่องยนต์ไม่สามารถรับอากาศจากภายนอกโดยตรงได้ เพราะฝุ่นละอองที่ปะปนอยู่ในอากาศ อาจทำให้เครื่องยนต์เสียหาย หรือลดประสิทธิภาพลง ดังนั้นรถทุกคันจึงต้องมีไส้กรองอากาศ เพื่อกรองสิ่งสกปรก ขนาดของฝุ่นละอองในอากาศนั้นมีตั้งแต่ 0.001-1 ไมครอน (ฝุ่นละอองที่มองเห็นด้วยตาเปล่าได้ มีขนาดประมาณ 10 ไมครอน) ดังนั้นไส้กรองอากาศที่สามารถดักจับฝุ่นละอองได้ ต้องมีประสิทธิภาพดีจริง การดูแล และตรวจเชคไส้กรองอากาศให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน จึงนับเป็นสิ่งสำคัญ ที่เราผู้ใช้รถจะต้องดูแล
ไส้กรองอากาศ มี 3 ประเภท
1. ไส้กรองอากาศชนิดแห้ง ทำจากเส้นใยสังเคราะห์ เส้นใยพืช และขนสัตว์ ส่วนใหญ่ใช้งานแล้วทิ้ง แต่ยังสามารถนำออกมาทำความสะอาดโดยการเป่าได้ ไส้กรองอากาศที่ติดมากับรถจากโรงงาน นิยมใช้ไส้กรองอากาศแบบนี้ เนื่องจากมีราคาถูก
2. ไส้กรองอากาศชนิดเปียก หรือไส้กรองอากาศแบบน้ำมัน ใช้น้ำมันเป็นตัวดักจับฝุ่นละออง ใช้กันในรถรุ่นเก่า มีลักษณะเหมือนกับไส้กรองชนิดแห้ง แต่ในแผ่นไส้กรอง จะมีน้ำมันหล่อไว้ภายใน อากาศจะไหลผ่านไปในหม้อกรองลงสู่ด้านล่างที่มีน้ำมันขังอยู่ เศษฝุ่นละอองที่หนักกว่าจะวิ่งไปสู่น้ำมัน และถูกจับเอาไว้ ไส้กรองอากาศชนิดนี้ มักไม่นิยมทำความสะอาด พอฝุ่นจับมากแล้วทิ้งเลย
3. ไส้กรองอากาศชนิดเคลือบด้วยสารที่มีความหนืด เช่น พ่นด้วยน้ำมันให้แผ่นกรองอากาศเกิดความเหนียว เพื่อเพิ่มความสามารถในการดักจับฝุ่น จุดประสงค์เพื่อให้อากาศไหลผ่านได้มากกว่าไส้กรองปกติ มักใช้กับรถที่โมดิฟายด์เครื่องยนต์ สามารถใช้งานได้หลายครั้ง ด้วยการล้างทำความสะอาดแล้วเคลือบน้ำยาใหม่
ต้องตรวจเชคตอนไหน ?
อายุการใช้งานของไส้กรองอากาศจะสั้นหรือยาวขึ้นอยู่กับการใช้งาน และสภาพแวดล้อมเป็นหลัก ระยะการตรวจเชคที่ง่ายที่สุด คือ การวัดจากระยะทางที่รถวิ่งเป็นหน่วยกิโลเมตร โดยทั่วไปบริษัทรถยนต์ใช้วิธีนี้ในการตรวจ โดยกำหนดการเปลี่ยนไส้กรองอากาศไว้ทุกๆ 20,000-40,000 กม.
ระหว่างช่วงการใช้งานที่ยังไม่ถึงเวลาเปลี่ยน เราสามารถยืดอายุการใช้งานของไส้กรองอากาศ โดยการกำจัดฝุ่นละอองที่ไส้กรองอากาศกักไว้ ให้สามารถดักจับฝุ่นใหม่ได้ ด้วยวิธี "เป่า" ทุกๆ ประมาณ 5,000 กม. หรือถ้าเป็นไปได้ ทุกเดือนยิ่งดี โดยจะต้องเป่าจากภายในออกสู่ภายนอกเท่านั้น ถ้าเป่าย้อนทาง ลมที่เป่าจะดันให้ฝุ่นละอองฝังตัวลึกแน่นเข้าไปอีก การเป่ากรอง ทำให้อากาศสามารถผ่านกรองได้สะดวกขึ้น ช่วยประหยัดน้ำมัน แน่นอนว่าประสิทธิภาพการกรองอากาศอาจลดลงไปบ้าง แต่ก็ไม่ต้องเปลี่ยนใหม่เร็ว
วิธีการวัดประสิทธิภาพไส้กรองอากาศ
มีวิธีทดสอบต่างกันไปตามมาตรฐานของสถาบันต่างๆ เช่น ASHARE, AFI และ NBS โดยวิธีทดสอบที่นิยมใช้ก็มี
1. วิธีชั่งน้ำหนัก (WEIGHT TEST) ใช้ฝุ่นสังเคราะห์เป็นตัวทดสอบผ่านไส้กรองอากาศ แล้วนำไปชั่งน้ำหนัก มักใช้ทดสอบกับไส้กรองอากาศที่มีประสิทธิภาพต่ำ (ไส้กรองอากาศรถยนต์ใช้วิธีทดสอบแบบนี้)
2. วิธี DUST SPOT EFFICIENCY ทดสอบโดยนำฝุ่นบรรยากาศมาผ่านไส้กรองเพื่อกรอง แล้วนำมาหาค่าอัตราการส่องสว่างของแสง วิธีนี้จะใช้กับไส้กรองอากาศประสิทธิภาพสูง
3. วิธี DOP PENETRATION โดยใช้กลุ่มควัน ของ DOP (DIOCTYL PHTHALATE) แล้ววัดหาความเข้มข้นของละออง DOP ใช้ทดสอบไส้กรองอากาศที่มีประสิทธิภาพสูงมาก
อุปกรณ์
1. เครื่องปั๊มลม และหัวเป่า
2. ไขควง
3. ไส้กรองอากาศ
ขั้นตอนการถอดไส้กรองอากาศ
1. ตรวจสอบหม้อพักกรองอากาศ และวางแผนวิธีการถอด
2. ค่อยๆ ปลดคลิพลอคออก โดยดันขึ้นด้านบนก่อน แล้วดึงตัวล่าง จนครบทุกตัว
3. นำไส้กรองอากาศออกมาตรวจสอบ แล้วพิจารณาว่าควรเปลี่ยนใหม่หรือไม่
4. เป่าไส้กรองอากาศ โดยเป่าจากด้านในสู่ด้านนอก
5. ถ้าเป่าด้านในเสร็จแล้ว ให้เป่าบริเวณรอบๆ ตัวกรองอีกครั้งหนึ่ง
6. นำหัวเป่า มาเป่าหม้อพักกรองด้านใน เพราะอาจมีฝุ่นติดค้างอยู่
7. เป่าฝาครอบด้านในของหม้อพักกรอง อีกครั้งหนึ่ง
8. อาจเป่าฝาครอบกรองด้านนอกด้วยก็ได้
9. เมื่อเป่าเสร็จ ใส่กลับที่เดิม โดยนำกรองอากาศใส่เข้าไปในเบ้าก่อน
10. ค่อยๆ ใส่ฝาครอบ โดยต้องตรวจเชคตำแหน่งต่างๆ ให้เข้ากันพอดี
11. ใส่คลิพลอคต่างๆ ให้ครบ ต้องแน่นสนิทเสมอ
12. สุดท้าย เป่าคราบฝุ่น และเศษขยะต่างๆ ที่ค้างอยู่ในห้องเครื่องให้หมด เป็นอันเสร็จ
ABOUT THE AUTHOR
ว
วิธวินท์ ไตรพิศ
ภาพโดย : ราชวัตร แสงจันทรานิตยสาร 417 ฉบับเดือน กรกฏาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : DIY...คุณทำเองได้