เทคนิค(car)
ข้อมูลจำเพาะ เพาเวอร์แอมพ์ติดรถยนต์
ข้อมูลจำเพาะ หรือสเปค เพาเวอร์แอมพ์ติดรถยนต์ มีความสำคัญในการกำหนดว่า แอมพ์จะตอบสนองความต้องการของระบบเสียงได้หรือไม่ เป็นสิ่งจำเป็นที่ทางค่ายผู้ผลิต จะต้องออกข้อกำหนดข้อมูลจำเพาะที่ชัดเจน และสมบูรณ์ ตัวอย่างเช่น ข้อมูลจำเพาะของแอมพ์ที่ดี สำหรับแอมพ์ 4 แชนแนล เช่น 50 วัตต์x4 แชนแนล RMS ซึ่งกำลังขับทุกแชนแนล จะต้องมีแรงขับต่อเนื่องที่ 4 โอห์ม ด้วยความเพี้ยน THD ต่ำกว่า 0.1 % ตั้งแต่ช่วง 20-20,000 HZ
ทุกส่วนของสเปคคือสิ่งสำคัญ และอัตรากำลังขับที่เป็นจริง ในบางครั้งทางค่ายผู้ผลิตอาจไม่ได้ให้ข้อมูลมามาก ทำให้ผู้บริโภคต้องคาดเดาเอง หลายคนอาจเกิดการเข้าใจผิด เราจะมาเปิดเผยแต่ละความหมายของข้อมูลจำเพาะ ว่าทำไมจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น
แอมพ์รุ่นนี้ระบุกำลังขับไว้ 50 วัตต์ นั่นเป็นการบอกให้เรารู้ว่า แอมพ์ตัวนี้มีกำลังขับมากพอที่เราต้องการหรือไม่ ส่วนอื่นๆ ที่ตามมา คือ ถ้าใช้โหลดต่ำกว่า 4 โอห์ม แอมพ์จะสามารถให้กำลังขับได้เท่าไร หรือในกรณีขับที่โหลด 2 โอห์ม แอมพ์ก็ควรให้กำลังขับเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งนั่นควรจะเป็นสิ่งที่ระบุไว้ในข้อมูลจำเพาะ
แต่ในปัจจุบันก็ยังมีแอมพ์บางยี่ห้อที่ไม่ได้ระบุรายละเอียดที่สำคัญ เช่น แอมพ์สามารถให้กำลังขับได้ 50 วัตต์x4 แชนแนล RMS ด้วยแรงขับต่อเนื่อง 4 โอห์ม และ 100 วัตต์x4 แชนแนล RMS ที่ 2 โอห์ม ทำให้รู้ว่าแอมพ์ถูกสร้างขึ้นให้มีกำลังขับได้มากพอ ที่จะสามารถส่งกำลังขับได้ตามความเป็นจริง ซึ่ง RMS มาจากคำว่า ROOT MEAN SQUARE เป็นการคำนวณค่ากำลังขับเฉลี่ยต่อเนื่อง เพราะไม่เพียงแต่นำไปขับลำโพงทวีเตอร์ และอื่นๆ แต่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการใช้นำไปขับลำโพงซับวูเฟอร์อีกด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการฟังเพลง การเซทอัพระบบเสียง และการเล่นที่อิมพีแดนศ์ที่อาจต่ำกว่า 4 โอห์ม
ไม่ว่าแอมพ์จ่ายกระแสไฟได้รวดเร็วเพียงพอ และผลิตเสียงดนตรีได้มีคุณภาพ แต่ยังมีปัจจัยที่เรียกว่า ค่า SLEW RATE (แรงดันไฟฟ้าขาออกที่ฉับพลันในแต่ละช่วงเวลา) เช่น 100 โวลท์/หนึ่งในล้านวินาที (อ้างอิงที่โหลด 4 โอห์ม) ทำให้รู้ว่าแอมพ์มีความรวดเร็วในการขยายสัญญาณเป็นอย่างไร ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี แต่มักจะไม่ระบุให้ทราบจากผู้ผลิตแอมพ์บางราย และ DAMPING FACTOR (การหยุดสั่นค้างกรวยลำโพง) เป็นอีกค่าหนึ่งที่บอกว่า ลำโพงจะทำงานต่อเมื่อมีสัญญาณเสียงเกิดขึ้น และเมื่อไม่มีสัญญาณเสียงผ่านเข้าไป กรวยลำโพงจะต้องหยุดการสั่นด้วย เพราะนั่นคือ คุณภาพเสียงที่สะอาด ค่านี้ยิ่งสูงยิ่งดี สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยในการกำหนดว่า แอมพ์มีความสามารถในการทำงานเป็นอย่างไร
ส่วนกำลังขับที่ระบุว่า PEAK POWER นั้น ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับ RMS เพราะธรรมชาติของดนตรีเป็นแบบไดนามิคอยู่แล้ว (ช่วงเสียงดนตรีที่ดังสุด และเบาที่สุด) และเราก็ยังไปให้ความสนใจกับมัน แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นการวัดสัญญาณ PLUSES สั้นๆ ที่ไม่ใช่ประสิทธิภาพการทำงานของแอมพ์กับดนตรี และยังคงต้องพึ่งการวัดกำลังขับอย่างต่อเนื่อง (RMS) เพื่อให้สามารถเปรียบเทียบกับแอมพ์อื่นๆ ได้
ส่วน THD ที่ต่ำกว่า 0.1 % บอกบางสิ่งเกี่ยวกับความเพี้ยนที่แอมพ์ได้ผลิตขึ้น เมื่อแอมพ์เริ่มที่จะขับเกินกำลัง (OVERDRIVEN) เป็นความเพี้ยนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับ THD คือ TOTAL HARMONIC DISTORTION ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งในการวัดความผิดเพี้ยนที่เป็นมาตรฐาน และบ่อยครั้งที่ปราศจากตัวเลขข้อมูลสเปค โดยเฉพาะแอมพ์ที่มี THD ถึง 1 % หรือมากกว่านี้ แต่คุณไม่ต้องการใช้แอมพ์ที่มีความเพี้ยนที่สูงระดับนี้
ในช่วงความถี่ตั้งแต่ 20-20,000 HZ บอกเราได้ว่าแอมพ์นี้สามารถผลิตเสียงดนตรีได้ครอบคลุมตลอดทุกย่าน ยกเว้น แอมพ์สำหรับซับวูเฟอร์อาจแตกต่างไปจากนี้ และแอมพ์บางตัวมีช่วงความถี่ที่ลดระดับลงที่ความถี่ต่ำ และสูง เป็นส่วนหนึ่งของข้อมูลจำเพาะในปัจจุบัน ที่จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าแอมพ์สามารถผลิตกำลังขับที่ใดก็ได้ในช่วงย่านเสียงปกติ ข้อมูลจำเพาะระบุที่ 1 KHZ มันควรจะมีสเปคที่บอกถึงค่า +/- ของดีบีเท่าไร เพื่อที่จะได้รู้ว่าแอมพ์ตอบสนองความถี่เป็นอย่างไร
นั่นคือ รายละเอียดของแอมพ์ที่ควรรู้ นอกจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะคิดออกว่าแอมพ์ที่มีการออกแบบเป็นอย่างดี สามารถให้เสียงดนตรีอย่างที่ต้องการหรือไม่ ในบางครั้งแอมพ์ที่มีสเปคดีมาก ก็ไม่ได้หมายความว่าเสียงจะดีเสมอไป แต่ก็ไม่ยากเกินไปสำหรับการตัดสินใจ แค่ดูที่โครงสร้าง และความรู้สึกที่ดีที่มีต่อแอมพ์ตัวนั้นๆ ก็อาจจะช่วยในเรื่องการตัดสินใจของคุณได้เป็นอย่างดี
ABOUT THE AUTHOR
น
นายจอร์จ
ภาพโดย : อินเตอร์เนทนิตยสาร 409 ฉบับเดือน ตุลาคม ปี 2557