รู้ไว้ใช่ว่า
ขนคนเข้าเมือง
ในฐานะที่เป็น "สื่อ" กับเขาด้วย ถ้าจะตามกระแส คสช. ช่วยออกแรงสักนิดหนึ่ง สะท้อนภาพความจริงในบ้านเรา เผื่อผู้รับผิดชอบนำไปปรับปรุงแก้ไข ตามทิศทางที่ควรจะเป็น ส่งผลให้บ้านเมืองเราเนี้ยบยิ่งขึ้น ดังที่เราๆ ท่านๆ และ คสช. มุ่งมาดปรารถนาอย่างแรง กระทั่งมีการพูดกันเยอะถึงกรณี "กลัวเสียของ" ถ้าไม่ลุยถั่วปัดกวาดทุกซอกทุกมุมให้สะอาดหมดจด และเชื่อว่าโต้โผใหญ่เจ้าของสื่อเล็กๆ อย่าง 4 WHEELS คงไม่ขัดข้อง ถ้าจะโดนประกาศเรียกตัวไปคุยด้วย ฮะแอ้ม...โต้โผคงยินดี หรือไม่ก็ยกมะเหงกใส่ผม พร้อมทำปากขมุบขมิบ ชนิดที่คนเขียนการ์ตูน ใส่ตัวอักษรยึกยืออ่านไม่ออก แปลว่าคำด่านั่นแหละ
เกี่ยวกับการขนต่างด้าวเข้ามาในบ้านเรา จนหลายท้องที่ พี่ไทยกลายเป็น "ชนกลุ่มน้อย" ทำท่าจะอยู่ยากเข้าไปทุกที บางแห่งพวกนี้หากินแบบชั่วๆ กระโดดเข้าไปให้รถชน แล้วยกพวกเข้ามารุม เรียกค่าเสียหายจากคนขับ นั่นแหละ
การขนต่างด้าวเข้ามาแบบดุ่ยๆ ไม่ถูกต้องตามกระบวนการนั้นอันตราย กลายเป็น "คนเถื่อน" ไม่รู้ใครเป็นใคร ก่อเหตุขึ้นมาก็ยุ่งยาก ไม่ต้องอื่นไกล สปป. ลาว ประเทศเล็กๆ คนของเขายังหวงแผ่นดินมากกว่าเรา ดังที่รู้ๆ กันอยู่
สิ่งหนึ่งที่มองว่ามาดไม่เข้มเท่าที่ควร คือ มาตรการ "ยึดรถ" ใช้ขนต่างด้าวเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เท่าที่ปรากฏ ศาลท่านไม่ริบรถตามโจทก์ร้องขอ มองว่า "ไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิด" กฎหมายของเราชี้ไปในแนวนั้น นี่แหละคือ สิ่งที่ คสช. น่าจะพิจารณาแก้ไข เพื่อขันนอทป้องปราม ไม่เชื่อดูคดีนี้เป็นตัวอย่าง
"นายด่านใหญ่" เป็นชาวบ้านทั่วไป ไม่ใช่เจ้าหน้าที่ประจำด่าน แกมองว่า ใช้มอเตอร์ไซค์ขนต่างด้าวเข้ามาบ้านเราแบบเถื่อน ก็ได้เงินใช้สบายๆ ประเทศชาติเสียหายตูไม่สน ครั้งหลังสุด โดนเจ้าหน้าที่สกัดไว้ได้ นำตัวไปฟ้องศาล อัยการโจทก์ร้องขอให้ริบรถมอเตอร์ไซค์ เขียนฟ้องพรรณนาไว้ด้วยว่า รถนั้นใช้ในการกระทำผิด
นายด่านใหญ่ ชื่อเท่ซะไม่มี อยู่แถวชายแดนซะด้วย รับสารภาพตามฟ้องทุกอย่าง
ศาลชั้นต้นสบายหน่อย อ่านฟ้องแล้วตัดสินได้เลย ลงโทษ นายด่านใหญ่ ตาม พรบ. คนต่างด้าว พศ. 2522 ม. 64 วรรค 1 จำคุก 6 เดือน ปรับ 1 หมื่นบาท รับลดกึ่ง โทษจำคุกรอลงอาญาไว้ 2 ปี จ่ายค่าปรับ 5 พันบาท แล้วกลับบ้านได้ รถมอเตอร์ไซค์ไม่ใช่ทรัพย์สินที่ใช้ทำผิดโดยตรง ไม่ริบอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ริบรถตามฟ้อง
ศาลอุทธรณ์อ่านแต่สำนวนในห้องทำงาน แล้วเอาด้วยกับศาลชั้นต้น พิพากษายืน จำเลย คือ นายด่านใหญ่ หน้าบาน
โจทก์ยังติดใจเรื่องศาลไม่ริบรถมอเตอร์ไซค์ของ นายด่านใหญ่ ยื่นฎีกาขึ้นไป
ศาลฎีกาคว้าสำนวนที่มาถึงคิว ส่องดูด้วยความละเหี่ยใจ เพราะงานเยอะจัด แล้วชี้ขาดว่า
แม้ได้ความตามฟ้อง และนายด่านใหญ่ ผู้เป็นจำเลยให้การรับสารภาพ ทำนองว่าใช้รถจักรยานยนต์ของกลางไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน รับจ้างพาคนต่างด้าวให้นั่งซ้อนท้าย แล้วขับขี่พาหลบหนีการตรวจค้นและจับกุมของเจ้าพนักงาน ศาลฎีกาก็มองว่า รถของกลางเป็นแค่ยานพาหนะทั่วไป ที่จำเลยนำมาใช้ เพื่อช่วยให้คนต่างด้าวพ้นจากการจับกุมเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นทรัพย์ที่ใช้ในการทำผิด ฐานช่วยเหลือคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรและอยู่ในราชอาณาจักร ฝ่าฝืน พรบ. คนต่างด้าว ฯลฯ ตามฟ้อง ศาลจะต้องริบ ศาลฎีกายังย้ำหัวตะปูอีกว่า แม้ฎีกาของโจทก์เป็นปัญหาข้อกฎหมาย แล้วศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกา แต่มันก็คือ ฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี อันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลของศาลล่าง ให้ยกคำร้องของโจทก์ที่พยายามฎีกา และขอริบรถนั้นเสีย
ที่ปรากฏไม่ได้หมายความว่า ศาลหย่อนข้อ ไม่ริบรถนะครับ ท่านว่าไปตามกฎหมายแบบเป๊ะๆ คนที่ทำผิดขนต่างด้าวเข้าประเทศ หายห่วงไปอักโข โดนจับโดนยึดรถ ในที่สุดก็ไม่ริบ โทษทัณฑ์อาจได้รับความปรานี รอลงอาญาอีกด้วย ตามช่องทางของกฎหมายอีกนั่นแหละ
ตานี้ถ้าผู้ดูแลบ้านเมืองเห็นว่าการเข้มงวด การยึดรถ ซึ่งเป็นพาหนะจำเป็นในการขนต่างด้าว ถ้าเป็นรถยนต์ยัดกันมาได้ไม่รู้เท่าไร เป็นการป้องปรามที่เข้มแข็ง คนทำผิดคิดหน้าคิดหลัง กล้าลงทุนโดนริบรถไหม ต่างด้าวเข้าเมืองแบบเถื่อนๆ ได้ยากขึ้น ก็ไม่ยาก รีบแก้กฎหมายให้ชัดเจน ศาลท่านก็ริบรถเอามาดูเล่นได้สบาย จริงไหม
ABOUT THE AUTHOR
ณ
ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน เมษายน ปี 2560
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า