รู้ไว้ใช่ว่า
ไทยเสรี !
บ้านเมืองเราใช้คำว่า "เสรี" ค่อนข้างเปลืองเอาการ เช่น กรณีเกิดอุบัติเหตุจำพวกรถราบนท้องถนน มีร่างของผู้เคราะห์ร้ายบาดเจ็บ หรือชะตาขาด ถึงแก่ชีวิต สภาพของเขาเหล่านั้นย่อมอเนจอนาถ ไม่น่าดูชม ตัวเขาหรือพ่อแม่ญาติพี่น้อง ย่อมไม่ต้องการให้ใครมาถ่ายภาพ ถ่ายคลิพวีดีโอ นำไปเผยแพร่ทางสื่อ หรืออินเตอร์เนทแน่นอน
ถามไอ้คนที่เอาไปเผยแพร่ เป็นภาพของพวกสูมั่ง ยอมไหม โอเคไหม คนอื่นเอาไปโชว์ทั่วบ้านทั่วเมือง เดี๋ยวนี้ทั่วโลกเสียด้วยซ้ำ ถ้าโพสต์ลงอินเตอร์เนท ชัวร์ ไม่มีใครหน้าระรื่น บอกว่ายินดีครับ แต่ประเทศไทยทำกันอย่างเสรี ต่างชาติที่เขารู้อะไรควรไม่ควร พากันมึน เอาง่ายๆ มะกันบ้าเรื่องเสรีสุดๆ ยังไม่ประพฤติอย่างพวกเราในเรื่องนี้ ข้อสำคัญคือ "รัฐ" นั่นแหละไม่จัดการ กลายเป็นการันตี ให้ทำกันได้อย่างสบายเรื่อยไปๆ
อีกอย่าง คือ "การใช้เสียง" เป็นมานานแล้ว เมื่อก่อนเราเห่อ "เครื่องขยายเสียง" ตอนนั้นเป็นของใหม่ สมัยผมเป็นเด็ก ตื่นเต้นมาก เห็นเป็นของแปลก ลำโพงเหล็กแท้ๆ ไหงส่งเสียงคน ดังสนั่นไปไกลขนาดนั้น ใครๆ ก็อยากจ่อปากที่ไมโครโฟนสักที อยากรู้ว่าเสียงของเราเป็นไง จนกลายเป็นคนบ้าไมโครโฟน มีงานใช้เครื่องเสียง ต่อยตีกันเพราะแย่งไมโครโฟนประไร กิจกรรมการใช้เสียงของบ้านเราแบบฟุ่มเฟือย สืบทอดมาจนกระทั่งบัดนี้ งานเล็กงานน้อย งานกุศล รวมญาติรวมมิตรไม่กี่คน นึกสนุก หาเครื่องเสียงมาเปิด ดึกดื่นค่อนคืน ไม่สนใจใครทั้งนั้น ใครขวางมีเรื่อง นิสัยนี้ติดไปเมืองนอก วัดหรือชุมชนไทย แรกๆ ก็ประพฤติ จนฝรั่งตาค้าง แต่เขาเอาจริง ไม่ยอมให้ทำ
เอางี้ เผื่อท่านไม่รู้ว่าบ้านเรามีกฎหมายห้ามปรามกะเขาด้วย มาดูคดีนี้สักเรื่อง ดูซิว่าโทษหนักแค่ไหน ที่สำคัญ คนทำผิดค้าความซะอีก แสดงว่า ข้าไม่ยอมรับกฎนี้ เมืองไทยต้องประชาธิปไตย เอ๊ย เสรีเรื่องใช้เสียงสิน่า
"นายเจื้อยแจ้ว" พิศวาสการใช้เสียงอย่างหนัก ใช้รถขนเครื่องเสียง พร้อมจอทีวีและซีดี มาที่ปากซอยสุขุมวิท 55 ทางลงรถไฟฟ้าบีทีเอส เปิดเพลงคาราโอเกะแจกฟรี ไม่มีใครจ้าง ดังลั่นไปทั่วบริเวณราวๆ 30 นาที แบบไม่ขออนุญาตใคร ชาวบ้านร้านถิ่นหูจะแตก จึงแจ้งตำรวจ ยังดีที่มีเจ้าหน้าที่มาจัดการ จับกุม นายเจื้อยแจ้ว ยึดอุปกรณ์ส่งเสียงต่างๆ ไปดำเนินคดี เอาผิดอย่างแรง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 370 ขั้นสูงสุดปรับตั้ง 100 บาท ซึ่งเป็นลหุโทษ นายเจื้อยแจ้ว ควักค่าปรับจ่ายที่โรงพัก ก็เสร็จเรื่อง แต่ไม่ยอมจ่าย
ตำรวจเจ้าของคดีเกาหัว อัยการก็เกาหัว เมื่อรับภาระนำตัว นายเจื้อยแจ้ว ไปฟ้องที่ศาล และเมื่อลงแรงขนาดนี้แล้ว อัยการจึงขอริบอุปกรณ์ต่างๆ ของ นายเจื้อยแจ้ว ซะด้วย
จำเลย คือ นายเจื้อยแจ้ว ไม่ธรรมดา สู้คดี ให้การปฏิเสธ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นต้องออกแรงทำคดีใหญ่ ใช้พลังตัดสินลงโทษปรับ นายเจื้อยแจ้ว 100 บาท สั่งริบเครื่องขยายเสียง ส่วนอุปกรณ์อื่นๆ ไม่ริบ
เสียดายค่าปรับ กับเครื่องขยายเสียง นายเจื้อยแจ้ว จ้างทนายหมดไปไม่รู้กี่เท่าค่าปรับ ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้อง และคืนเครื่องขยายเสียงให้เขา
ศาลอุทธรณ์ไม่กลัวเมื่อย พิจารณาแล้ว พิพากษายืน ตามที่ศาลชั้นต้นว่าไว้
นายเจื้อยแจ้ว มีลักษณะที่เราเรียกว่า หัวหมอ จ้างทนายเล่นเกมยาว ยื่นฎีกา อ้างนั่นนี่เพื่อให้เข้าข้อกฎหมาย คดีขึ้นสู่ศาลสูง
ศาลฎีกาหัวเราะมิได้ร่ำไห้มิออก สูคิดว่าพวกตูว่างนักหรือไง ถึงให้ทำคดีใหญ่ยังงี้อีก เมื่อส่องดูสำนวนไม่กี่แวบ ก็ชี้ขาดออกมาว่า
การส่งเสียงทำให้เกิดเสียงหรือการกระทำความอื้ออึง โดยไม่มีเหตุอันควร จนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อนนั้น เพียงแต่จำเลยส่งเสียง ทำให้เกิดเสียง หรือกระทำความอื้ออึง แล้วเป็นผลให้บุคคลทั่วไป ซึ่งไม่จำกัดตัวว่าเป็นผู้ใด และไม่ถือจำนวนมากน้อยเป็นสำคัญ ในบริเวณที่เกิดเหตุตกใจหรือเดือดร้อนแล้ว ก็ถือว่าการกระทำของจำเลย เป็นการทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อนแล้วละ ลงโทษได้
ศาลฎีกายอมเมื่อยนิดหน่อยกับคดีนี้ พิพากษายืนตามศาลล่าง
ข้อกฎหมายที่ดันคดีนี้ให้ถึงศาลฎีกา นายเจื้อยแจ้ว และทนาย คงอ้างว่า ไหนละคนที่เดือดร้อน ใครบ้าง จำนวนกี่คน ทำไมโจทก์ไม่ระบุ ไม่เอามาเป็นพยาน ขณะเกิดเหตุ ไม่เห็นมีใครมาชี้หน้า นายเจื้อยแจ้ว ร้องว่าตกใจหรือเดือดร้อน เพลงที่เปิดก็ยอดนิยมทั้งนั้น ประมาณนี้แหละครับ
รกโรงรกศาลแท้ๆ อีกอย่างโทษหนักขนาดนี้นี่เอง การใช้เสียงในบ้านเมืองเราจึงเสรีอย่างสุดๆ ต่อไปและต่อไป
จากคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15954/2553
ABOUT THE AUTHOR
ณ
ณรงค์ นิติจันทร์
นิตยสาร 417 ฉบับเดือน ธันวาคม ปี 2557
คอลัมน์ Online : รู้ไว้ใช่ว่า